ไหปีศาจ - บทที่ 459 กลยุทธ์ในการชะลอสงคราม
บทที่ 459 กลยุทธ์ในการชะลอสงคราม
บทที่ 459
กลยุทธ์ในการชะลอสงคราม
ระบบการปกครองของพระราชวังเป่ยหมิงมีลักษณะพิเศษแตกต่างจากที่อื่น
ประการแรกเหล่าเด็กที่มีพรสวรรค์ดีเยี่ยมจะได้รับการคัดเลือกจากทั่วอาณาจักร จากนั้นพวกเขาก็จะได้รับการฝึกฝน ทั้งความสามารถ คุณสมบัติ นิสัยใจคอ ความภักดี รวมถึงด้านอื่น ๆ จนคู่ควรต่อตำแหน่งของนายน้อยแห่งวังหลวงผู้ได้รับการคัดเลือก
แน่นอนว่ามันไม่ใช่เพียงแค่การเลือกเด็กที่มีพรสวรรค์เท่านั้น หลายคนเองก็ได้รับเลือกมาโดยการสุ่มเพื่อมารับตำแหน่งนายน้อยแห่งวังหลวง
ผู้ที่ถูกเลือกจากทั้งหมด จะได้รับการชำระล้างบาปจากสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ จึงจะสามารถเป็นว่าที่ผู้สืบทอดของผู้ปกครองสูงสุดแห่งพระราชวังเป่ยหมิงได้
นั่นทำให้ทางพระราชวังเป่ยหมิงพยายามอย่างมากในการฝึกฝนเยาวชนเหล่านี้ โดยมีการฝึกฝนเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบด้าน โดยเฉพาะในเรื่องความภักดี เพราะความภักดีนั้นสำคัญยิ่งกว่าความเข้มแข็ง
ความสำคัญของนายน้อยแห่งวังหลวง นั้นอาจจะเรียกได้ว่าสำคัญเสียยิ่งกว่าองค์ชายของระบบการปกครองในราชวงศ์มังกรเร้นกายเสียอีก
การไม่มีผู้สืบทอด ไม่ใช่ปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ง่าย ๆ องค์จักรพรรดิของอาณาจักรต่าง ๆ จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะมีบุตรชายหลายคน
ในเมื่อนายน้อยแห่งวังหลวงคนอื่น ๆ ตายไปกันหมดแล้ว ดังนั้นพระราชวังเป่ยหมิง จึงต้องคัดเลือกนายน้อยแห่งวังหลวงใหม่อีกครั้ง
ปัญหาก็คือ
หากไม่ได้สัมผัสกับการชำระล้างบาปของสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ก็จะไม่สามารถเข้าร่วมการเป็นนายน้อยแห่งวังหลวงของพระราชวังเป่ยหมิงได้ เพราะมันเป็นธรรมเนียมตั้งแต่ยุคของบรรพบุรุษ
อย่างไรก็ตามด้วยสภาพของสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้ มันจึงไม่สามารถทำพิธีชำระล้างบาปได้อีกแล้ว
ฉะนั้นถ้าหากสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถฟื้นตัวกลับมา
เหวินเสี่ยวก็จะเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถสืบทอดบัลลังก์ของผู้ปกครองสูงสุดได้
ยิ่งไปกว่านั้นหากสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้รับการรักษา พระราชวังเป่ยหมิงก็อาจจะต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอนาคตอันใกล้นี้
เหล่าผู้มีอำนาจต่างก็ไม่มีทางเลือกอื่น เพราะมันเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง พวกเขาต้องการนายน้อยแห่งวังหลวงที่สามารถฝากฝังพระราชวังเป่ยหมิง และสานต่อความหวังในอนาคตได้
โชคดีที่เหวินเสี่ยวนั้นยอดเยี่ยมในทุกๆด้าน โดยเฉพาะในด้านความภักดี จึงไม่มีใครสามารถตั้งคำถามในความเหมาะสมของเขา
ปัญหาก็คือ
เหล่าผู้มีอำนาจของพระราชวังเป่ยหมิง ต่างก็ตกอยู่ในอาการหงุดหงิด
เขาฆ่านายน้อยแห่งวังหลวงคนอื่น ๆ เพื่อกลายเป็นคนเดียวที่เหลือรอดงั้นเหรอ? พวกเขาจะต้องพึ่งพาเหวินเสี่ยว ให้เพื่อสานต่อความหวังของพระราชวังเป่ยหมิงจริง ๆ งั้นเหรอ ?
มันยากที่ใคร ๆ จะยอมรับความเป็นจริงนี้
เมื่อได้ยินคำพูดของลั่วอู๋ เหวินเสี่ยวก็เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด เขาพูดด้วยน้ำเสียงอันทุ้มต่ำ “ถ้าเขาไม่สามารถรักษาสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ ข้าจะฆ่าเขาด้วยมือของข้าเอง แต่ก่อนหน้าที่จะรู้ผลได้โปรดเคารพเพื่อนของข้าด้วย”
ลั่วอู๋พูดไม่ออกไปชั่วขณะ
มันไม่มีทางอื่น
ถ้าเขาไม่สามารถช่วยรักษาสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ เหวินเสี่ยวก็จะพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อฆ่าเขาโดยไม่ต้องสงสัยเลย
“เชิญแขกผู้มีเกียรติไปพักซะ และจงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างดี ห้ามมีการละเลยใด ๆ ทั้งสิ้น” จูกู่เฉิง หายใจเข้าลึก ๆ เขาไม่สามารถหักล้างสิ่งที่ลั่วอู๋กล่าวถึงทั้งสองประการได้เลย
ถ้าเขารักษาสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ ก็ห้ามลงมือกับลั่วอู๋
แค่ถ้าหากเขาไม่สามารถรักษามันได้ ก็ห้ามลงมือกับ เหวินเสี่ยว
สถานะของทั้งสองคนต่างปกป้องกันและกัน เว้นแต่เหล่าผู้มีอำนาจของพระราชวังเป่ยหมิงลงมือด้วยอารมณ์โกรธชั่ววูบโดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม ซึ่งไม่มีทางเป็นการตัดสินใจที่ดีได้แน่
ลั่วอู๋รู้สึกโล่งใจ
สถานการณ์อันสับสนได้รับการคลี่คลาย
โชคดีจริง ๆ ที่ ซวนหยู่ฮาน ถูกฆ่าตาย มิฉะนั้นเหวินเสี่ยวคงจะต้องถูกฆ่าตายเป็นแน่ และถ้าพวกเขาไม่สามารถช่วยสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ พวกเขาทุกคนก็จะต้องตายกันหมด
ฉูจงฉวน ถามด้วยเสียงต่ำ “ลั่วอู๋ เจ้าแน่ใจหรือว่า เจ้าสามารถช่วยรักษาสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งพระราชวังเป่ยหมิงได้?”
“ใครจะไปรู้เล่า ข้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์คือตัวอะไร” ลั่วอู๋ตอบ
“ไม่จริงน่า แล้วเจ้ายังกล้าพูดแบบนั้นไปอีกนะ”
“อย่าลังเลที่จะลองสิ”
ถ้าเขาไม่มาเขาก็ต้องฆ่าเหวินเสี่ยวทิ้ง มิฉะนั้นเหวินเสี่ยวจะหาทางวางแผนฆ่าเขาตายตลอดทั้งวันซึ่งมันน่ารำคาญมากจริงๆ
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฉูจงฉวน ก็พูดไม่ออกไปชั่วขณะ
ลั่วอู๋ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องกังวลไป ข้ามีแผนเสมอ อย่างน้อย ๆ เจ้าก็แน่ใจได้ว่า คนของพระราชวังเป่ยหมิงจะไม่โจมตีพวกเจ้า”
ด้วยคำพูดเหล่านี้พรรคพวกของเขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
พวกเขายังคงเชื่อมั่นในความสามารถของลั่วอู๋
พรรคพวกลั่วอู๋ได้รับเชิญให้ลงไปด้านล่างด้วยความเคารพเหลือแต่เหวินเสี่ยวคนเดียวที่ยังอยู่ในขณะที่เหล่าผู้มีอำนาจของพระราชวังเป่ยหมิง ทำได้เพียงแค่ทิ้งความโกรธไม่ให้ถูกเห็นเก็บไว้ในใจ
ปล่อยให้ท่ามกลางห้องโถงหางกวงที่แทบจะกลายเป็นซากปรักหักพัง เหลือเพียงจูกู่เฉิงและเหวินเสี่ยว เพียงสองคน
พวกเขายืนเงียบอยู่เป็นเวลานาน จากนั้น จูกู่เฉิง ก็กล่าวขึ้นช้าๆ“ ข้าเคยให้ความสำคัญกับเจ้ามากด้วย คุณสมบัติของเจ้า เจ้าจะต้องสามารถปราบปราม ซวนหยู่ฮาน ได้อย่างแน่นอน แต่เจ้ากลับเลือกสัตว์วิญญาณสายสนับสนุนเป็นคู่พันธสัญญาเสียอย่างนั้น กระนั้นแล้วข้าก็ยังคงเลือกให้เจ้าเป็นนายน้อยแห่งวังหลวง เพราะข้ายังคิดว่าเจ้ามีโอกาสอยู่ แต่แล้วเจ้าก็บุกเข้าไปในพื้นที่ขั้วโลก ปราบภูตปีกแสง และเลือกเดินทางเข้าสู่เส้นทางแห่งผู้สนับสนุนออกตามหาวิธีในการรักษาสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ข้าได้แค่หยุดรอคอยเจ้าเพียงอย่างเดียว ”
เหวินเสี่ยวมองไปที่จูกู่เฉิง ผู้ปกครองสูงสุดที่ในอดีตคอยดูแลเขา ภาพในอดีตเหล่านั้นได้ฉายผ่านความคิดของเขา แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขามีอารมณ์แปรปรวนใด ๆ
บางทีอารมณ์ส่วนใหญ่ของเขาถูกผนึกไว้โดยอีกบุคลิกหนึ่ง
“แต่ข้าก็ดีใจ ที่เจ้ากลับมาและแข็งแกร่งขึ้นมาก” ทันใดนั้น จูกู่เฉิง ก็หัวเราะ “เทพตกสวรรค์เป็นสัตว์วิญญาณที่ดีมากเลยทีเดียว”
ในดินแดนแห่งนี้ เขาไม่ได้ยึดติดกับความแตกต่าง ระหว่างความดีและความชั่ว
หากมันมีแต่คำว่า “ชั่ว” มันก็คงไม่ใช่สัตว์วิญญาณที่ได้ชื่อว่า “เทพ”
และการทรยศต่อความเชื่อภายในตัวเอง ก็ไม่ใช่อาชญากรรม
ยิ่งไปกว่านั้น จูกู่เฉิง ยังเห็นได้ว่า แม้เหวินเสี่ยวจะละทิ้งจรรยาบรรณภายในของเขา แต่ความภักดีต่อพระราชวังเป่ยหมิงก็ยังคงหนักแน่นฝังลึกอยู่ในไขกระดูก
“ พระราชวังเป่ยหมิงในปัจจุบันไม่ต้องการผู้ปกครองสูงสุดที่ใจกว้าง แต่เราต้องการผู้ปกครองสูงสุดที่สามารถทำทุกวิถีทางได้เพื่อเป้าหมาย”
“เจ้าเหมาะสมแล้วกับตำแหน่งนั้น” จูกู่เฉิง กล่าว
ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้เขาคงไม่ “ใจดี” กับ ลั่วอู๋
หากเหวินเสี่ยวไม่เป็นไปตามความคาดหวังภายในของเขา เขาก็คงไม่มีวันที่จะทำตัวใจอ่อน
เหวินเสี่ยวดูเหมือนจะไม่เต็มใจเล็กน้อย แต่เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงพูดออกมาไม่ได้ ส่งผลให้เขาพูดถามไปว่า “สัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างไรบ้าง?”
“มันแย่มาก มันอาจมีเวลาเหลือเพียงไม่ถึงเดือน หรืออาจจะหลายปี พวกเราไม่สามารถตรวจสอบสถานะจริง ๆ ของสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้” จูกู่เฉิง ถามกลับ “เด็กหนุ่มที่ชื่อว่า ลั่วอู๋ มีหนทางรักษาจริงๆหรือ?”
“ ไม่รู้สิ” เหวินเสี่ยวตอบ
จูกู่เฉิง ขมวดคิ้ว
“ แต่ถ้าเขาทำไม่ได้ ข้าก็มีวิธีที่ทำได้”
คิ้วของ จูกู่เฉิง คลี่ออก
วิธีแก้ปัญหาของเหวินเสี่ยวคือการฆ่าลั่วอู๋ แล้วยืมมือของภูตไห แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงไม่ทำตามนั้น
ตามหลักเหตุผล เขาควรจะรวบรวมผู้ใช้พลังวิญญาณที่แข็งแกร่งของพระราชวังเป่ยหมิง เข้าสังหารลั่วอู๋ นั่นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
บางทีนั่นอาจจะเป็นเพราะสิ่งที่นักบุญพูดถึง
ไม่ว่าจะสว่างแค่ไหนก็จะมีความมืดอยู่เสมอ แต่ไม่ว่าจะมืดแค่ไหนก็จะมีร่องรอยของแสงสว่างเสมอ
หลังจากการติดต่อกันเป็นเวลานานตอนนี้เหวินเสี่ยวและลั่วอู๋ได้สร้างมิตรภาพเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว
……
……
“ เข้ามาสิเจ้าหนุ่ม” ผู้อาวุโสคนหนึ่งกัดฟันพลางชี้ทาง
เบื้องหน้าของพวกเขาคือลานกว้างขนาดใหญ่ดูสง่างามพร้อมด้วยสภาพแวดล้อมอันสวยงาม มีคนรับใช้หลายคนคอยรอให้บริการและมีผู้รักษาความสงบคอยตรวจตราอยู่
นี่คือที่ที่พักของพรรคพวกลั่วอู๋
“เจ้าไม่เบื่อที่จะต้องกัดฟันของตัวเองหรือ ?” ลั่วอู๋ ถาม
“มันเหนื่อยมากที่จะต้องยับยั้งจิตสังหารและความต้องการฆ่า” ผู้อาวุโสจ้องมองไปที่เขา “อย่ามาล้อเล่นกับข้า และเจ้าเองก็ไม่ควรทำอะไรที่ผิดปกติ”
“ขอบคุณที่เตือน” ลั่วอู๋แสยะยิ้มอย่างไม่สนใจคำขู่
หลังจากนำพรรคพวกลั่วอู๋ มาถึงที่นี่ผู้อาวุโสก็พร้อมที่จะเดินจากไป
ลั่วอู๋พูดอย่างสงสัย “เจ้าไม่พาข้าไปพบสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์เลยเหรอ ? ข้าคิดว่าพวกเจ้ากำลังรีบเสียอีก”
“ มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่เจ้าจะได้เห็นสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ พวกเราต้องใช้เวลาเตรียมตัวอย่างน้อยสิบวันถึง เตรียมตัวรับความตายของเจ้าได้เลย” ผู้อาวุโสกล่าว
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่เชื่อใจข้าเท่าไหร่นะ”
“ การเชื่อเรื่องของเจ้ามันมีแต่จะทำให้อะไร ๆ ช้าลง แม้ว่าพวกข้าไม่คิดที่จะสละโอกาสใด ๆ แต่พวกข้าก็ไม่ได้โง่ ด้วยขนาดขุมกำลังของพระราชวังเป่ยหมิง พวกเรายังหมดหนทางแล้ว เด็กอย่างเจ้าจะทำอะไรได้ อีกไม่กี่วันเท่านั้นล้างคอรอได้เลย” ผู้อาวุโสเยาะเย้ย
ถ้าสิ่งนี้มันง่ายนัก ทำไมเหวินเสี่ยวถึงต้องลำบากไปตามหาภูตไห
ตามหาภูตไหที่มีตัวตนเป็นเพียงแค่ตำนาน
เด็กหนุ่มตรงหน้านี้ สามารถเทียบเคียงกับภูตไหได้งั้นเหรอ?
ดังนั้นเหล่าผู้มีอำนาจหลายคนของพระราชวังเป่ยหมิง จึงเชื่อว่านี่เป็นเพียงคำพูดของพวกเขาที่ใช้เอาตัวรอด
ลั่วอู๋หัวเราะแล้วพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ทัศนคติของเจ้ามันแย่เกินไปแล้ว ข้าไม่อยากรักษามันเลย ไม่อยากเลย”
“ เจ้า … ” ผู้อาวุโสโกรธมาก แต่ก็นึกถึงคำพูดของผู้ปกครองสูงสุด เขาจึงไม่กล้าที่จะโจมตีหรือก่อเรื่องอะไร ทำได้เพียงพูดด้วยเสียงต่ำ “เจ้าต้องการทำอะไร”
“ เจ้าดุมากไป จนจู่ๆ ข้าก็ไม่อยากรักษามันแล้ว” ลั่วอู๋ กล่าว
ผู้อาวุโสถอนหายใจยาวแล้วจ้องมองไปยังเขาพร้อมลดเสียงลงด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุด “แบบนี้พอใจรึยัง”
“ยังไม่พอ ข้าต้องการไปห้องสมุดของพระราชวังเป่ยหมิง” ลั่วอู๋ กล่าว
ตอนนี้พวกเขาปลอดภัยแล้ว
แต่สถานที่สำคัญบางแห่ง เป็นจุดที่พวกเขาไม่สามารถเข้าถึงได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามลั่วอู๋นั้นสนใจในประวัติศาสตร์ของพระราชวังเป่ยหมิง
ผู้อาวุโสจ้อง “เจ้ามันได้คืบเอาศอก”
“ งั้นข้าก็จะปล่อยให้มันตาย”
“เจ้ามันน่ารำคาญขนาดนี้ได้อย่างไรกัน” ผู้อาวุโสโกรธมาก “ไปดูให้เต็มตาเลย อย่างไรก็ตามเจ้าก็ต้องตายในอีกสิบวันข้างหน้าอยู่แล้ว คอยดูเถอะ ”
ผู้อาวุโสโยนการดูแลลั่วอู๋ให้กับคนรับใช้ของเขาแล้วจึงเดินจากไปด้วยความโกรธ
และด้วยเหรียญที่เขาให้มา ลั่วอู๋จึงสามารถเข้าสู่ หอสมุดหยุนเฉียน ซึ่งเป็นห้องสมุดของพระราชวังเป่ยหมิงได้ แน่นอนว่าสิทธิ์ในการเข้าถึงของลั่วอู๋นั้นต่ำมาก ดังนั้นเขาจึงเข้าไปได้เพียงแค่เฉพาะชั้นแรกเท่านั้น
“ขอบคุณมาก” ลั่วอู๋ ยิ้มพร้อมโบกมือลา