ไหปีศาจ - บทที่ 470 กักขัง
บทที่ 470 กักขัง
บทที่ 470
กักขัง
ลั่วอู๋ไม่แปลกใจกับปฏิกิริยาของเหวินเสี่ยวเท่าไหร่
ความสัมพันธ์ระหว่างเขาทั้งสองนั้นละเอียดอ่อน
หากลั่วอู๋ทำตามข้อตกลงสำเร็จ เหวินเสี่ยจะทำลายตัวเอง และปล่อยอีกบุคลิกออกมา
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากลั่วอู๋ล้มเหลว เหวินเสี่ยวและคนของพระราชวังเป่ยหมิงจะย้อนกลับมาเล่นงานเขาในทันที เหวินเสี่ยวนั้นไม่สามารถตายได้เนื่องจากตำแหน่ง ส่วนลั่วอู๋ก็ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่แน่หากเขาทำไม่สำเร็จ
“ถ้าข้าทำมันสำเร็จ เจ้าก็จะต้องทำลายตัวเอง” ลั่วอู๋หัวเราะ “เจ้าแน่ใจแล้วใช่ไหม?”
ดวงตาของเหวินเสี่ยเปล่งประกาย ดูเหมือนว่ามันจะไม่เต็มใจ แต่มันก็ยังคงพูดออกมาว่า “ตราบใดที่เจ้ารักษาสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั่นได้ล่ะก็ ข้าก็ยินดีที่จะจ่าย”
ลั่วอู๋ถอนหายใจ
นี่คือหน้าที่ของผู้ปกป้อง
มันคือหน้าที่ที่ตราตรึงอยู่ในหัวใจของพวกเขา
ตอนนี้ เหวินเสี่ยวดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่
เขามีดวงตาที่ดูบ้ามาก
ลั่วอู๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ทำไมเจ้าถึงไม่ปรึกษากับอาจารย์ของเจ้าดูล่ะ? ทั้งสองบุคลิกของเจ้าต่างก็ต้องใช้เวลากว่าชั่วขณะหนึ่ง เพื่อที่จะปรับตัวให้ตรงจุดเลยใช่ไหมล่ะ? บางทีเขาอาจจะพอช่วยเจ้าได้”
“ไม่ ข้าไม่อยากติดต่อกับเจ้านั่น” เหวินเสี่ยวกลอกตาไปมา
เห็นได้ชัดว่า ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองนั้นไม่ค่อยจะลงรอยกัน
แต่จริง ๆ แล้ว มันตรงกันข้าม
“งั้นเหรอ” ลั่วอู๋กล่าว “มันคงถึงเวลาแล้ว ที่เจ้าจะต้องบอกข้าว่าสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระราชวังเป่ยหมิงเป็นอะไรกันแน่”
เหวินเสี่ยวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “มันเป็นความลับของพระราชวังเป่ยหมิง ถึงแม้ว่าทุกคนจะรู้ดีว่าที่นี่ได้รับการปกป้องจากสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เคยได้เห็นสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ”
“แล้วเจ้าไม่รู้งั้นเหรอ?” ลั่วอู๋ถาม
เหวินเสี่ยวพยักหน้า
ลั่วอู๋รู้สึกประหลาดใจมาก
นี่มันช่างลึกลับ ถ้าพระราชวังเป่ยหมิงอยู่ภายใต้การปกป้องควบคุมของสัตว์วิญญาณที่ทรงพลังขนาดนั้น แล้วทำไมพวกเขาส่วนใหญ่ถึงไม่เคยได้พบเห็นมันกันเลย
ไม่เคยเกิดเหตุวิกฤตมากว่าหลายพันปีแล้วอย่างงั้นเหรอ?
แล้วถ้าหากว่าเกิดเหตุขึ้นมา พวกเขาจะได้รับการปกป้องเลยทันทีงั้นเหรอ ?
ทำไมถึงต้องซ่อนเร้น การปกปิดตัวตนมันสำคัญมากขนาดนั้นเลยหรือ?
แบบนี้มันจะไม่มีปัญหาจริง ๆ เหรอ หรือว่าพวกเขากลัวว่าตัวตนของมันจะสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คน?
ความคิดสุดท้ายนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้
ลั่วอู๋จึงปฏิเสธความคิดนี้ไป
โลกใบนี้เต็มไปด้วยสัตว์วิญญาณแปลกประหลาดมากมาย แม้แต่คนทั่ว ๆ ไปก็ต้องมีความอดทนสูงเพื่อที่จะสามารถมีชีวิตอยู่ร่วมกับสัตว์วิญญาณที่อันตรายพวกนั้น
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเกิดว่าสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในตำนานที่คอยปกป้องทั่วทั้งทวีปมาเป็นเวลากว่าหลายพันปี มันจะถูกผู้คนปฏิเสธได้จริงงั้นหรือ? ลั่วอู๋ไม่เชื่อ
เหวินเสี่ยวครุ่นคิดสักพัก แล้วก็พูดออกมาว่า “แม้จะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้พบเห็นสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ จากการคาดเดาทั้งหมด”
“พูดเกี่ยวกับมันมาให้ข้าที” ลั่วอู๋พูดด้วยความสนใจ
จากการคาดเดา
การคาดเดาที่เหวินเสี่ยวกำลังพูดถึงนั้นไม่มีปรากฏขึ้นมาในหนังสือของหอสมุดหยุนเฉียน
“เมื่อหลายพันปีก่อนได้มีการคาดเดาว่า บางทีสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้อาจจะกำลังแบกแผ่นดินทั่วทั้งทวีปเอาไว้บนหลังของมัน และลอยอยู่ท่ามกลางท้องทะเล” เหวินเสี่ยวกล่าว
ลั่วอู๋ถามอย่างรีบร้อน “ไม่มีใครเคยพบเห็นมันบนทะเลเลยงั้นเหรอ?”
เหวินเสี่ยวส่ายหัว “ไม่มีใครลงไปถึงส่วนลึกของแผ่นดินใหญ่ได้มาก่อนเลย เพราะที่แห่งนั้นมันมีพลังบางอย่างขว้างกั้นอยู่ เพื่อไม่อนุญาตให้สิ่งมีชีวิตเข้าไปใกล้ได้”
ลั่วอู๋พยักหน้า
ดูเหมือนว่าจะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างแผ่นดินใหญ่กับสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกป้องมันอยู่
แต่มันก็เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น ลั่วอู๋ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์คือตัวอะไรกันแน่
แม้ว่าเขาจะสามารถเข้าไปพบกับสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่ามันคือสัตว์วิญญาณชนิดไหน เขาจึงได้แต่เก็บข้อสงสัยนี้เอาไว้ในใจ
“ข้าไม่ได้คาดหวังว่าเจ้าจะบอกข้าเกี่ยวกับเรื่องนั้นเลย” ลั่วอู๋หัวเราะ
เหวินเสี่ยวกล่าว “อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้าเจ้าก็จะได้พบเจอกับสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ตัวจริง ข้าหวังว่าจะสามารถบอกกับข้าได้ว่าสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นคือสัตว์วิญญาณแบบไหน หลังจากที่เจ้ากลับมา”
ลั่วอู๋รู้สึกแปลกใจ
แต่แล้ว เขาก็พอจะเข้าใจในสิ่งที่เหวินเสี่ยวกล่าว
เขาสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อระราชวังเป่ยหมิงและปกป้องสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้น แต่เขากลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขานั้นกำลังปกป้องอะไรอยู่ ดังนั้น เขาจึงเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ความอยากรู้อยากเห็น ไม่เกี่ยวว่ามันจะดีหรือร้าย มันเป็นเพียงแค่อารมณ์เท่านั้น
“ได้เลย” ลั่วอู๋ยิ้ม
ในขณะที่เขากำลังจะออกจากลานไปยังห้องโถงของพระราชวัง ลั่วอู๋ก็พบว่าผู้ควบคุมกฎในบริเวณรอบนั้น ดูเหมือนว่าจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
พวกเขาดูมีความจริงจังและพร้อมเพรียงมากขึ้น ราวกับว่าพวกเขากำลังปฏิบัติภารกิจที่สำคัญอยู่
พวกเขาเข้าล้อมรอบลานที่พรรคพวกของลั่วอู๋อาศัยอยู่ อย่างไร้ร่องรอย
“นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?” ลั่วอู๋ขมวดคิ้ว
ดูเหมือนว่าเหวินเสี่ยวจะไม่ค่อยเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาจึงเดินเข้าไปหาหัวหน้าของผู้ควบคุมกฎฉีโปจิง “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“ นี่เป็นคำสั่งของเหล่าผู้อาวุโส เพื่อเสริมกำลังและปกป้องแขกเพื่อไม่ให้เกิดเหตุร้ายแรง ” ฉีโปจิง กล่าว
ผู้อาวุโสของพระราชวังเป่ยหมิงนั้นมีด้วยกัน 7 คน ซึ่งแต่ละคนนั้นมีบารมีที่สูงศักดิ์
สีหน้าของเหวินเสี่ยวบูดบึ้ง “เหตุร้ายแรงอะไรกัน”
ฉีโปจิงตกใจ แต่เขาก็ไม่ได้ตอบคำถามของเหวินเสี่ยว
ใบหน้าของลั่วอู๋จมลงเล็กน้อย
หลายวันมานี้ ทีมผู้ควบคุมกฎนั้นได้เข้าติดตามพวกเขาอย่างลับ ๆ ซึ่งเขาเองก็รู้ตัวดี
แต่นี่มันมีจำนวนมากเกินไป และเข้ามาล้อมรอบลานเอาไว้
“นี่ไม่ใช่การปกป้อง แต่นี่มันคือการกักขัง!” ลั่วอู๋กล่าวอย่างเย็นชา
เขาได้เคยพบกับเหล่าผู้อาวุโสของพระราชวังเป่ยหมิงมาแล้ว แต่เขาไม่เคยได้เข้าไปพบพวกเขาอย่างใกล้ชิดเลย บางทีเขาคงไม่อยากเผชิญหน้ากับความโกรธของลั่วอู๋ก็ได้
ฉีโปจิงยังไม่ตอบ
เขาแค่ทำตามคำสั่ง
ลั่วอู๋โกรธจัด
อย่างไรก็ตาม ไม่มีทางที่หลายคนของพระราชวังเป่ยหมิงจะรู้สึกไม่พอใจลั่วอู๋ และฉีโปจิงเองก็อาจจะได้รับคำสั่งจากผู้อาวุโสหลายคนก็ได้ หรือบางทีอาจจะเป็นคำสั่งจากวังหลวงด้วยซ้ำ
“พวกเจ้ากลัวว่า ข้าจะหนีไปสินะ” ดวงตาของลั่วอู๋หรี่ลงเล็กน้อย
เหวินเสี่ยวตอบว่า “เจ้ามีหินทะลวงมิติอยู่ในมือ ไม่แปลกที่พวกเขาจะเป็นห่วงว่าจะแอบหนีไปคนเดียว พวกเขาคงต้องการอะไรเป็นตัวรับประกัน”
อย่างที่เหวินเสี่ยวกล่าว พระราชวังเป่ยหมิงน่าจะต้องการหลักประกันซึ่งลั่วอู๋ก็หักล้างอะไรไม่ได้
เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้ แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีให้เห็น
“ ได้เลย” ลั่วอู๋เงียบไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ ข้าจะยอมให้พวกเขาทั้งหมดจะอยู่ในฐานะตัวประกันก็ได้ พวกเจ้าวางใจได้เลย แต่ตอนนี้ข้าอยากคุยกับพวกเขา”
ไม่มีใครขัดข้อง
ในขณะนี้พวกเขาไม่กล้าที่จะมีปัญหากับลั่วอู๋
ลั่วอู๋หันกลับไปที่ลาน และรวบรวมพรรคพวกทั้งสี่คนเข้าไปในห้องห้อง หนึ่ง
“มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ? ทำไมพวกเราถึงถูกจองจำกันล่ะ?” ฉูจงฉวนตอบกลับอย่างรวดเร็ว
ลั่วอู๋พยักหน้าและพูดว่า “เกือบไปแล้ว ถ้าข้าล้มเหลวล่ะก็ เจ้าก็จะตกที่นั่งลำบากไปด้วย ดังนั้น ข้าจึงต้องพาเจ้าไปด้วย”
“ทำไมล่ะ?” ฉู จงฉวนรู้สึกมึนงง
คนอื่นต่างจ้องมองไปที่ลั่วอู๋
ลั่วอู๋พูดขึ้นในทันที “ข้าไม่มีเวลามาอธิบาย หลังจากนี้ หลี่หยินและองค์หญิงเจียโรวจะอธิบายให้เจ้าฟังเอง อย่าถามอะไรตอนนี้เลย”
ด้วยคลื่นพลังวิญญาณที่ออกมาจากมือของลั่วอู๋ คนทั้งสี่ของฉู จงฉวนถูกนำเข้าสู่มิติไห
จากนั้น ลั่วอู๋ก็ได้เรียกแมลงกินวิญญาณ 4 ตัว และผีธรรมดา 4 ตัวออกมา
“พวกเจ้ามีหน้าที่คอยปล่อยลมหายใจ” ลั่วอู๋ออกคำสั่งแมลงกินวิญญาณ
แมลงกินวิญญาณทั้งสี่ได้ดูดซับพลังวิญญาณเล็กน้อยจากพรรคพวกทั้งสี่คนของฉู จงฉวน และสามารถปลดปล่อยลมหายใจเลียนแบบพวกเขาทั้งสี่คนได้
ลั่วอู๋มองไปที่ผีทั้งสี่ “พวกเจ้ามีหน้าที่ทำเสียงเหมือนกับคนที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ภายในห้อง”
ผีทั้งสี่พยักหน้า
พวกมันได้รับพลังวิญญาณจากไหปีศาจ ดังนั้นพวกมันจึงสามารถใช้พลังได้ไม่มากเท่าไหร่ แต่มันก็เพียงพอสำหรับการเคลื่อนไหว
เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ลั่วอู๋ก็เดินออกไปจากลาน
ช่วงเวลาในการสนทนานั้นสั้นมาก เขาใช้เวลาไม่ถึง 3 นาทีด้วยซ้ำ
“ไปกันได้แล้ว” ลั่วอู๋กล่าวเบา ๆ
ในไม่ช้า ลั่วอู๋ก็ออกไป และเหล่าผู้ควบคุมกฏก็ตรงเข้ามาล้อมรอบลานในทันที พวกเขาถูกควบคุมตัว เพื่อไม่ให้หนีออกไปจากที่นี่ได้
“จับพวกมันทั้งหมดไว้ จะต้องไม่มีใครหนีออกไปได้” “ถ้าหากมีปัญหาละก็ พวกเจ้าทุกคนจะต้องถูกลงโทษ” ฉีโปจิงกล่าว
เหล่าผู้ควบคุมกฏทั้งหมดนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของหลิน พวกเขาใช้แต้มเซียน 12 แต้มในการเฝ้าระวังทันที
เห็นได้ชัดว่า พวกเขานั้นไม่ต้องการได้รับการลงโทษ
ผู้ควบคุมกฎนั้นมีบางสิ่งที่ไม่เหมือนใคร
แม้ว่าพวกเขาจะใช้งานทักษะห้วงมิติ พวกเขาก็จะถูกพบเจอตัวในทันที ตราบใดที่มีการเกิดความผันผวนทางห้วงมิติ พวกเขาทุกคนก็จะบุกเข้าไปในลานทันที
ด้วยการป้องกันอันรอบคอบเช่นนี้ มันจึงเป็นเรื่องยากที่ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองจะหนีออกไปได้
น่าเสียดาย ที่การมาถึงของพวกเขานั้นกลับไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง