ไหปีศาจ - บทที่ 471 สัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลึกลับ
บทที่ 471 สัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลึกลับ
บทที่ 471
สัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลึกลับ
เหล่าผู้มีอำนาจของพระราชวังเป่ยหมิงต่างมารวมตัวกันที่วิหารเฉิงหยวน
นี่คือหนึ่งในสามวิหารหลักของพระราชวังเป่ยหมิง ว่ากันว่าหลังจากการก่อตั้งพระราชวังเป่ยหมิง ราชาหมอกซานเหริน ก็ได้อยู่รู้สึกถึงพลังวิญญาณอันลึกลับของสวรรค์ในห้องโถงนี้ จนกระทั่งแก่นวิญญาณหมดแรงพลังลงและเดินทางจากไปยังภพภูมิอื่น
ดังนั้นวิหารเฉิงหยวนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพระราชวังเป่ยหมิง
เมื่อ ลั่วอู๋ ก้าวเข้าไปในวิหารเฉิงหยวน เขารู้สึกได้ในทันทีถึงแรงกดดันอันคลุมเครือที่กำลังแผ่ซ่านไปทั่วห้องวิหาร ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ
อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังไม่รู้ว่ามันมาจากเหล่าผู้มีอำนาจคนระดับสูงของพระราชวังเป่ยหมิง หรือลมปราณที่เหลืออยู่ของราชาหมอกซานเหรินกันแน่
ผู้ปกครองสูงสุด จูกู่เฉิง นั่งลงบนบัลลังก์แล้วมองไปที่ ลั่วอู๋
เป็นเหตุการณ์ที่แน่นอนของพระราชวังเป่ยหมิงที่จะได้เห็นสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์
ผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าวด้วยเสียงต่ำ “ท่านผู้ปกครองสูงสุด ทำไมท่านไม่ขอให้ ท่านหยุนมาทดสอบความสามารถของเด็กหนุ่มคนนี้ดูล่ะ”
ผู้มีอำนาจระดับสูงหลายคนต่างก็สนับสนุนข้อเสนอนี้
ท่านหยุน คืออาจารย์ระดับสูงของพระราชวังเป่ยหมิง ระดับความสามารถในการใช้พลังวิญญาณของเขาเรียกได้ว่าเป็นระดับเซียน เขาเป็นหนึ่งในสามปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ของพระราชวังเป่ยหมิง
“ทดสอบไม่ได้หรอก” เหวินเสี่ยวอดไม่ได้ที่จะโกรธ “ถ้าเขามีประโยชน์ ข้าจะถ่อไปหาภูตไห หรือถ่อไปยัง อาณาจักรราชวงศ์มังกรเร้นกาย เพื่อหาผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณคนแรกทำไมเล่า ?”
“เจ้า เจ้า เจ้า กล้ากล่าวแบบนั้นได้อย่างไร ?” ชายชราเครางามโมโห
เหวินเสี่ยวเยาะเย้ยและตอบว่า“ เจ้าต่างหากกล้าดียังไง ตำแหน่งนายน้อยแห่งวังหลวงของข้าก็ไม่ได้ต่ำไปกว่าตำแหน่งผู้อาวุโสเช่นเจ้า เจ้าต่างหากกล้าสงสัยการตัดสินใจของข้าเหรอ”
ชายชราหน้ามืดตามัวแทบจะปิดลมหายใจของตนเองในทันที
ไม่มีใครสามารถพูดไม่ดีกับเหวินเสี่ยวได้ ในพระราชวังเป่ยหมิง
“ อืม ข้าไม่เถียง” จูกู่เฉิง โบกแขนเสื้อและหยุดการทะเลาะวิวาท จากนั้นเขาก็มองไปที่ ลั่วอู๋ “ในการรักษาสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ จะต้องไม่มีความผิดพลาด ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่มาอย่างไร้จุดหมาย แต่มีความสามารถที่จะทำในสิ่งที่ผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณคนอื่นทำไม่ได้จริงๆ”
ทุกสายตาจับจ้องไปที่ลั่วอู๋
ดวงตาของพวกเขาต่างเต็มไปด้วยความสงสัย
พวกเขาหลายคนไม่เชื่อในความสามารถของลั่วอู๋
ดังที่ผู้อาวุโสกล่าวไว้ตอนต้น คนส่วนใหญ่คิดว่านี่เป็นเพียงกลวิธีถ่วงเวลาของลั่วอู๋ ซึ่งคิดกุขึ้นมาชั่วคราวเพราะกลัวว่าจะถูกพวกเขาฆ่า
แต่ผู้คนของพระวังเป่ยหมิงเองก็ไม่เต็มใจที่จะปล่อยวางความหวังใด ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงคิดจะให้ลั่วอู๋ได้ลอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเชื่อมั่นในตัวลั่วอู๋จริงๆ
แม้แต่เหวินเสี่ยวเองก็ไม่เชื่อเช่นนั้น
“ ข้าจะพยายามทำให้ดีที่สุด” ลั่วอู๋ไม่ได้อธิบายมากเกินไป
“ข้าหวังว่าเจ้าจะทำได้” จูกู่เฉิงมีท่าทางไม่ต่างกัน แต่บรรยากาศรอบ ๆ เขากลับค่อยๆกลั่นตัวดั่งน้ำแข็งใต้ขั้วโลก ซึ่งทำให้หนาวจนสั่นสะท้าน “มันจะเป็นอาชญากรรมร้ายแรง หากเจ้าทำอะไรที่ส่งผลต่อการหลับใหลของสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์”
แน่นอนว่าผู้ที่ก่ออาชญากรรมร้ายแรงจะต้องถูกลงโทษ
“ข้ารู้ว่าเจ้ามีหินทะลวงมิติ แต่หากเจ้าไม่พยายามจะหนี มันจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า” จูกู่เฉิง กล่าวอีกครั้ง
ลั่วอู๋ยิ้มอย่างใจเย็น “สหายของข้าเองก็ยังอยู่ที่นี่ ข้าไม่สามารถปล่อยให้พวกเขาลำบากแล้ววิ่งหนีเอาชีวิตรอดไปตัวคนเดียวได้หรอก เจ้ามั่นใจได้”
จูกู่เฉิง ขมวดคิ้ว เขาคิดว่าลั่วอู๋จะโกรธ จึงไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทีที่สงบได้ขนาดนี้
คนแบบนี้คือคนที่ยอมรับผลลัพธ์ได้ทุกอย่างหรือเปล่า?
จิตใจของ จูกู่เฉิง กะพริบไปพร้อมกับความคิดนับไม่ถ้วน จากนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “คนอื่น ๆ ออกไปรอที่ด้านนอกวิหาร”
ทุกคนเดินออกจากวิหารเฉิงหยวนไป
รองผู้ปกครองสูงสุดของพระราชวังเป่ยหมิงทั้งสองคนเองก็เหมือนกัน แม้ว่าพวกเขาอาจรู้จักรูปร่างที่แท้จริงของสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ แต่พวกเขาก็ไม่คิดที่รบกวนประสงค์ของจูกู่เฉิง
ตอนนี้จึงมีเพียงแค่ลั่วอู๋และจูกู่เฉิงสองคนที่เหลืออยู่ในวิหารเฉิงหยวน
“มากับข้า”
จูกู่เฉิง ลุกขึ้น ปล่อยพลังวิญญาณคลื่นเคลื่อนออกไปอย่างช้าๆ เผยให้เห็นรูปร่างขนาดใหญ่อันลึกลับที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
มันเป็นลวดลายสลัก เนื้อหาดูเหมือนจะเป็นภาพทะเลอันไร้ขอบเขตที่เขียนสลักด้วยมือเปล่า ดูมีมนต์ขลัง ตรงกลางมีหินครามขนาดเท่ากำปั้นวางอยู่
ลั่วอู๋รู้ดีว่าหินครามนั้นเป็นแร่วิญญาณที่มีค่าแค่ไหน
เห็นได้ชัดเลยว่าการออกแบบสร้างวิหารนี้ไม่ใช่อะไรที่ทำได้ง่าย ๆ แน่
จูกู่เฉิงพูดอย่างช้าๆ “มันเป็นช่วงเวลาที่พวกเราจะพลาดไม่ได้ ในทุก ๆ เดือนเว้นเดือน สัตว์วิญญาณจะตื่นขึ้นมาครู่หนึ่ง และพวกเราจะต้องไม่รบกวนมัน”
หลังจากนั้นแสงสีฟ้าพราวซึ่งเป็นคลื่นพลังวิญญาณของ จูกู่เฉิง ก็เบ่งบานขึ้นมาในมือของเขา พลังวิญญาณอันยิ่งใหญ่พุ่งสูงขึ้นเหมือนกระแสน้ำจนกลายเป็นคลื่นขนาดใหญ่
ลั่วอู๋ที่รู้สึกได้ถึงมันได้แต่ใจสั่น
ทำให้เขาได้เข้าใจว่านี่คือพลังวิญญาณของผู้แข็งแกร่งอันดับต้น ๆ ในพระราชวังเป่ยหมิง
มงกุฎบนศีรษะของจูกู่เฉิงค่อยๆสว่างขึ้น รูปร่างของทะเลหลอมรวมกันกับพลังแห่งมหาสมุทรที่สั่นสะเทือน
สายตาของลั่วอู๋เต็มไปด้วยความตกตะลึง ห้องโถงทั้งห้องแยกออกจากกัน ในขณะที่ท้องฟ้าด้านบนกลายเป็นทะเลสีฟ้าที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า
ทุกอย่างรอบตัวเขาเปลี่ยนแปลงไปในชั่วอึดใจ
ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขากำลังอยู่ในทะเลแห่งดวงดาวอันสวยงามและสดใส มันเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ
“พวกเราข้ามช่องว่างมิติมางั้นเหรอ ? ที่นี่คือที่ไหน?” ลั่วอู๋ถามด้วยความประหลาดใจ
มันไม่มีทางเป็นที่เดียวกันกับวิหารเมื่อครู่แน่
แม้ว่าพลังวิญญาณโดยของที่นี่จะทรงพลังพอ ๆ กับวิหารเฉิงหยวน แต่ที่นี่นั่นดูจะมีขนาดเล็กกว่ามาก
จูกู่เฉิง มองเขาด้วยสายตาอันลึกล้ำ จากนั้นจึงมองไปที่ท้องฟ้าอันเต็มไปด้วยดวงดาว เขาพูดช้าๆว่า “ทุกครั้งที่ข้ามาที่นี่ ข้าก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความอ่อนแอของตัวเอง… ที่นี่คือข้างในร่างกายของสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์”
“ ……” ความตกใจของลั่วอู๋นั้นเกินกว่าที่เขาจะสรรหาคำบรรยายใด ๆ ออกมาได้
ข้างใน?
เขาถูกกินงั้นเหรอ?
ไม่ ไม่ใช่แบบนั้นสิ
อีกฝ่ายก็คงแค่พูดเปรียบเกินจริง มันไม่มีทางมีสัตว์วิญญาณ ที่มีร่างกายใหญ่ขนาดนี้ จนมีจักรวาลเล็ก ๆ อยู่ในร่างกายได้หรอก
ลั่วอู๋อึ้ง จนพูดไม่ออก
ทันใดนั้น จูกู่เฉิง ก็พูดต่อ “เจ้าได้อ่านหนังสือในพระราชวังเป่ยหมิงมาหลายเล่มแล้วไม่ใช่หรือ ? เจ้าต้องการหาความรู้ความเข้าใจสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหมล่ะ ?”
ลั่วอู๋ตกใจมาก
เรื่องที่เขาได้แอบเข้าสู่มิติไหแล้วย้ายหนังสือทั้งหอสมุดไปคัดลอก ถูกเปิดเผยแล้วงั้นเหรอ?
“ ไม่ต้องแปลกใจไป” จูกู่เฉิงกล่าว “ที่นี่คือพระราชวัง เป่ยหมิง ไม่มีอะไรปิดบังข้าได้”
เขาสามารถรู้อะไรก็ได้ถ้าเขาต้องการ
เพราะเขาคือจ้าวแห่งพระราชวังเป่ยหมิง
“ถ้าเจ้าล้มเหลว เจ้าจะต้องรับโทษแล้วตายลงที่นี่ แต่ถ้าหากเจ้าทำสำเร็จ ข้าจะมอบข้อมูลทั้งหมดให้กับเจ้าก็ยังได้” จูกู่เฉิง กล่าวช้าๆ
ลั่วอู๋ทำใจให้มั่นคงและถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก “พระราชวังเป่ยหมิงอาศัยการดำรงอยู่ของสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ในตำนาน ที่พิทักษ์และนำผืนแผ่นดินมายังที่นี่เป็นเวลาเกือบหมื่นปีและหลับใหลอยู่ใต้ทะเลลึก”
“ตามบันทึกที่กระจัดกระจายอยู่ไม่กี่แห่ง เจ้าก็น่าจะสามารถเดาออกมาได้แบบนี้แหละ” จูกู่เฉิง เหลือบมองไปที่ ลั่วอู๋
ลั่วอู๋ ยักไหล่ “ไม่หรอก เหวินเสี่ยวเป็นคนบอกข้า”
“ฮ่าฮ่า ข้าเองก็เดาว่าอย่างนั้น ผู้อาวุโสหลายคนในพระราชวังเป่ยหมิงก็คิดเช่นนั้น” ดวงตาของจูกู่เฉิงเป็นประกายแวววาว ฉายให้เห็นถึงความซับซ้อนในคำพูดของเขา “เจ้าไม่สงสัยรึ ว่าถ้ามันแค่แบกแผ่นดินใหญ่มา ทำไมพวกข้าถึงต้องทุกข์ขนาดนี้”
ตัวเขามั่นใจว่าด้วยข้อมูลภายในของพระราชวังเป่ยหมิง และพลังแห่งห้วงทะเลที่สะสมมาหลายปีเขามีวิธีมากเพียงพอที่จะปกป้องที่นี่ได้ด้วยตัวเองด้วยซ้ำ
ลั่วอู๋กะพริบตา “แล้วเหตุผลคืออะไรกันแน่ล่ะ … ”
“ที่ทะเลเหนือสุดขอบแห่งนี้มันมีเพียงน้ำทะเลและธารน้ำแข็งอันไม่มีที่สิ้นสุด แล้วในส่วนลึกของทะเลเหนือสุดขอบมันจะไปมีแผ่นดินอยู่ได้อย่างไรเล่า ” จูกู่เฉิง หัวเราะอย่างประชดประชัน
ไม่รู้ว่าเขาขำตัวเองหรือผู้ก่อตั้งพระวังเป่ยหมิงกันแน่
แต่เมื่อได้ยินเช่นนี้ ลั่วอู๋ ก็อดไม่ได้ที่นึกถึงความคิดอันน่ากลัว
จูกู่เฉิง “มันไม่ได้มีทวีปใหม่ ไม่ได้มีพระราชวังเป่ยหมิง ไม่มีสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกป้องพระราชวัง พวกเราเป็นเพียงกลุ่มคนยากจนที่อาศัยอยู่บนสัตว์วิญญาณ”
“นี่ หรือว่า… ” ดวงตาของลั่วอู๋เกร็ง “ทวีปนี้คือ … ”
“ใช่ทวีปนี้คือสิ่งที่เรียกว่าสัตว์วิญญาณระดับจักรพรรดิ มันเป็นของขวัญจากบรรพบุรุษของพวกเราที่ทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลัง มันเป็นเพียงปลาขนาดใหญ่ที่ลอยตัวอยู่บนทะเล”จูกู่เฉิงกล่าว
“พระราชวังเป่ยหมิงไม่ได้มีหน้าที่ที่จะต้องคุ้มกันมัน”
“แต่พวกเรามีหน้าที่ในการตรวจสอบผนึก เพื่อให้แน่ใจว่าปลาตัวใหญ่จะยังคงหลับอยู่ตลอดเวลา”
“มันคือปลาตัวใหญ่ที่มีชื่อว่า คุน ที่มีขนาดใหญ่มากจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายาวกี่หมื่นลี้”