ไหปีศาจ - บทที่ 475 หนี
บทที่ 475 หนี
บทที่ 475
หนี
เวลาได้ล่วงเลยผ่านไปกว่า 20 วัน
แต่เนื่องจากมันยังไม่ถึงวันที่ผนึกอ่อนแอที่สุดในรอบเดือน จึงไม่มีใครสามารถเข้าไปในวิหารเฉิงหยวนเพื่อตรวจสอบผนึกและปลาตัวใหญ่ จูกู่เฉิง ยังไม่รู้สถานการณ์เฉพาะ
วันนี้บรรยากาศภายนอกห้องโถงเฉิงหยวนจึงเต็มไปด้วยความตึงเครียด
“เกิดอะไรขึ้น?” เสียงของ จูกู่เฉิง ต่ำลงและเปี่ยมไปด้วยความโกรธ ลมปราณของเขาเริ่มรุนแรงเช่นเดียวกับยอดเขาขนาดใหญ่ที่กำลังจะถล่มลงมา
การที่ผู้ปกครองสูงสุดอยู่ในสภาพโกรธเช่นนี้ ทำให้เหล่าผู้มีอำนาจของพระราชวังเป่ยหมิงไม่กล้าที่จะเลิกคิ้วและเลือกที่จะเงียบตาม ๆ กันไปทีละคน
เหวินเสี่ยวมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยสายตาอันเย็นชา
ในขณะเดียวกันสมาชิกทุกคนของผู้รักษาความสงบทั้งหมดก็ได้แต่คุกเข่าอย่างสั่นกลัว
ฉีโปจิงหัวหน้าผู้รักษาความสงบเป็นคนแรกที่ต้องทนทุกข์ทรมาน เขาถูกกดดันโดยลมปราณของ จูกู่เฉิง ใบหน้าของเขาก็ซีดเซียว แม้แต่การหายใจก็ยังยากลำบาก
“ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้สึกตัวถึงสิ่งผิดปกติเลยในระหว่างการตรวจสอบจนถึงวันนี้ แต่พวกเขาไม่ได้ปรากฏตัวออกมาเป็นเวลา 20 วัน ข้าจึงลองเข้าไปตรวจสอบ ด้านในกลับมีเพียงผีสี่ตัวกับแมลงสี่ตัวเท่านั้นที่ข้าเห็น” ฉีโปจิงตกใจจนตัวสั่น
ลานรับรองของวิหารนั้นว่างเปล่ามาเป็นเวลานานแล้ว
ทุกวันนี้เสียงที่มาจากลานรับรองล้วนเกิดจากผีและแมลง
“เจ้าไม่รู้ตัวเลยงั้นเหรอ” จูกู่เฉิง คำรามเสียงต่ำ “ตลอดเวลา 20 วัน เจ้าตอบข้าได้เพียงแค่พวกเขาทั้งหมดหนีไปแล้วเนี่ยนะ?”
ทุกคนต่างทราบกันดีว่ากลุ่มคนที่อยู่ในลานรับรองนั้นคือสหายของ ลั่วอู๋ และยังเป็นตัวประกันอันสำคัญที่จะทำให้ลั่วอู๋ติดอยู่ที่นี่
แต่ตอนนี้ตัวประกันเหล่านั้นได้หายไปแล้ว
และลั่วอู๋นั้นยังมีหินทะลวงมิติอยู่ในมือ
เขาไม่มีความจำเป็นจะต้องอยู่ที่พระราชวังเป่ยหมิงอีกต่อไปแล้ว ถ้าเขาคิดจะหนีเขาก็ทำได้
ที่น่ากลัวมากที่สุดก็คือ ถ้าเขาไม่ได้ทำเพียงแค่หนีไป ล่ะ ? ถ้าเขาเกิดไม่พอใจผู้คนของพระราชวังเป่ยหมิง และคิดจะทำลายล้างสถานที่แห่งนี้โดยการทำลายผนึก หรือฆ่าปลาตัวใหญ่ขึ้นมาล่ะ
แต่เขาจะกล้าทำให้ผู้ปกครองสูงสุดมาไล่ล่าฆ่าเขา จริง ๆ หรือ?
อย่างไรก็ตามอาณาจักรราชวงศ์มังกรเร้นกายนั้นแข็งแกร่งมาก ถ้าหากไม่มีพลังมงกุฎหินครามความแข็งแกร่งผู้ปกครองสูงสุดแห่งพระราชวังเป่ยหมิงก็คงไม่อาจเทียบเคียงกับอาณาจักรราชวงศ์มังกรเร้นกายได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เขาจะออกไปรุกรานหาลั่วอู๋ในต่างอาณาจักรเช่นนั้น
“หาตัวพวกเขาให้เจอ พวกเขาหนีออกจากพระราชวัง เป่ยหมิงไปได้ไม่ไกลหรอก ข้าไม่เชื่อว่าพวกเขามีหินทะลวงมิติก้อนที่สอง” จูกู่เฉิง กล่าวอย่างเย็นชา
ด้วยความแข็งแกร่งของคนเหล่านั้น พวกเขาไม่มีทางอื่นในการหลบหนีนอกจากหินทะลวงมิติ
เพราะผู้คุ้มกันของวิหารนั้นไม่ได้อ่อนแอ
และคราวนี้พวกเขาก็ไม่มีนักบุญมาเปิดทางให้แล้ว
“ขอรับ” ฉีโปจิงพูดอย่างรีบร้อน
เขาสับสนราวกับหนังศีรษะแตก ด้วยที่ไม่เข้าใจว่าพรรคพวกของลั่วอู๋สี่คนหนีออกไปได้อย่างไร และตั้งแต่เมื่อไหร่ เห็นได้ชัดว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกเขาเหล่านั้นถูกเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด
คงไม่มีใครจินตนาการว่า ฉูจงฉวน และพรรคพวก ได้ถูก ลั่วอู๋ เอาตัวไปนาน ก่อนที่จะเริ่มถูกจองจำด้วยซ้ำ
“ ถ้าเจ้าหาพวกเขาไม่เจอก็จงไปที่ห้องโถงหมิงฉิงเพื่อรับโทษซะ” จูกู่เฉิงกล่าวอย่างไม่แยแส
ฉีโปจิงเคร่งเครียดจนเหงื่อเย็นท่วมใบหน้า
ห้องโถงหมิงฉิง เป็นสถานที่ที่ใช้ในการลงโทษกบฏ มันเป็นสถานที่ที่น่ากลัวที่สุดในบรรดาวิหารทั้งหมด
ไม่มีใครอยากลองไปรับโทษที่ห้องโถงหมิงฉิง เพราะการเข้าไปในห้องโถงหมิงฉิงเพื่อรับการลงโทษ ย่อมหมายถึงการถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏ
มันเป็นเรื่องที่น่าอับอายอย่างยิ่ง สำหรับผู้คนของพระราชวังเป่ยหมิงทุกคน พวกเขาเหล่านั้นจะไม่มีวันเงยหน้าขึ้นมาได้อีก
“ข้าเข้าใจ” ฉีโปจิงตัดสินใจแล้วที่จะหาคนทั้งสี่ให้เจอแม้ว่าเขาจะต้องพลิกแผ่นดินของพระราชวังเป่ยหมิงทั้งหมดก็ตาม
สิบวันต่อมาทุกตระกูลใหญ่ในพระราชวังเป่ยหมิงต่างก็ได้คำสั่ง
ทั่วทั้งพระราชวังเป่ยหมิงจึงตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย
ถนนเต็มไปด้วยการลาดตระเวนของกองกำลังต่างๆ
เหล่าผู้รักษาความสงบจากวิหารเองก็เริ่มตรวจสอบค้นหาอย่างป่าเถื่อนโดยไม่สนใจใครอื่นเลย
พระราชวังเป่ยหมิงในตอนนี้นั้นดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความหดหู่
ผู้คนนับไม่ถ้วน ต่างคาดเดาไปกันต่าง ๆ นานาว่าปีศาจแบบไหน ที่ทำให้พระราชวังเป่ยหมิง วุ่นวายจนไปถึงเหล่าวิหารต่าง ๆ เช่นนี้
อย่างไรก็ตาม ลั่วอู๋ นั้นไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับสถานการณ์ของพระราชวังเป่ยหมิงเลย
เขาฝึกฝนอย่างมีความสุขกับคนอื่น ๆ ในมิติไห
หลังจากพยายามอย่างหนักมา 20 วัน ในที่สุดลั่วอู๋ก็สามารถเก็บน้ำในสระสีทองมาได้ถึง 20 หยด น้ำที่เปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณอันเข้มข้นนี้เพียงหยดเดียวก็สามารถฆ่าผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองได้สบาย ๆ มันอันตรายมาก
ด้วยที่เขากังวลว่าอาจจะไปทำให้คุนโกรธ
ลั่วอู๋ จึงใช้เวลาเอามันมาเพียงวันละหยด
ยี่สิบวันของภายนอกนั้นเท่ากับ 70 วันในมิติไห
ก่อนหน้านี้หลี่หยิน และ องค์หญิงเจียโรว ได้อธิบายเกี่ยวกับมิติไหให้กับ ฉูจงฉวน และหลินยูหลันแล้วเป็นที่เรียบร้อย
ความตกใจของพวกเขาที่เพิ่งได้เข้ามายังมิติไหจึงสงบลงมาก
แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ดีใจที่มีโลกใบเล็กเช่นนี้ให้พวกเขาได้พักผ่อน ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงจะถูกขังเอาไว้ในลานรับรองอย่างตัวประกัน
“ช่างเป็นสถานที่ที่งดงามจริงๆ ข้าจะกลับมาที่นี่ตอนแก่แน่” ฉูจงฉวนเดินอย่างไม่เกรงใจพร้อมชี้เลือกภูเขาขนาดเล็กที่มีไอพลังวิญญาณหนาแน่น
ลั่วอู๋พูดด้วยรอยยิ้ม “ได้เลย ภูเขาลูกนั้นเหมาะสำหรับเจ้าดี”
“โอ้ ขอบใจมา นี่มันยอดเยี่ยมจริง” ฉูจงฉวนยิ้ม
“ไปเลย ๆ ” ลั่วอู๋กลอกตาของเขา “วันนี้ข้าจะเปิดหอคอยสีขาว”
ฉูจงฉวน ตาสว่างขึ้นพลางถูมือ “มาแล้วสินะ”
ลั่วอู๋ได้แสดงให้พวกเขาเห็นพลังของหอคอยสีขาว
ซึ่งทุกคนต่างก็ตกใจกับเรื่องนี้
อย่างไรก็ตามทุกคนต่างก็รู้ดีว่า หากพวกเขาต้องการเปิดหอคอยสีขาว ลั่วอู๋จะต้องจ่ายแต้มเซียนในราคาที่มากอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ขอให้ลั่วอู๋เปิดใช้งานมัน
ผลของหอคอยสีขาวสามารถยกระดับประสิทธิภาพในการรับรู้ของทุกสิ่งที่อยู่ข้างในมันไปสู่ระดับที่น่ากลัวได้ เป็นระยะเวลาสั้น ๆ
มันดีมากสำหรับการฝึกฝน
อย่างไรก็ตามหากใช้มันในการฝึกฝนบ่อยๆ ก็จะเป็นผลเสียได้เช่นกัน เพราะเมื่อคุ้นเคยกับการฝึกฝนในหอคอยสีขาวมากเกินไป ก็อาจจะทำให้เกิดอาการใจสั่นหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะจนเกินไป ทำให้อารมณ์ไม่คงที่
ดังนั้น ลั่วอู๋ จึงเปิดมันเพียงครั้งคราว
ราว ๆ สองเดือน ต่อครั้ง
แสงสีขาวส่องประกาย จากนั้นพรรคพวกลั่วอู๋ทั้งห้าคน ก็เข้าสู่ห้วงลึกของการฝึกฝนลมปราณพลังวิญญาณ ก่อให้เกิดหมอกหนาทึบ
ไม่ไกลสัตว์วิญญาณจำนวนมากเองก็กำลังฝึกฝนและเล่นอยู่ในพื้นที่ของมิติไหอันกว้างใหญ่
ต้าหวง, ผีเสื้อปีกมายาเพลิงอมตะ, ตวนซี, นกยูง ฮัวเที่ยน, ภูตทะเลทราย, สัตว์นรกพิษห้าสี, ภูตดอกไม้, ฝันร้าย ฯลฯ
พลังของมิติไหนั้นสามารถทำให้ สัตว์วิญญาณ รู้สึกสบายใจได้
ทุกวันนี้ สัตว์วิญญาณ ของพวกเขาต่างพัฒนาขึ้นมามาก นอกจากต้าหวง ผีเสื้อปีกมายาเพลิงอมตะและตวนซี สัตว์วิญญาณตัวอื่น ๆ ทั้งหมดต่างก็ได้เรียนรู้ทักษะอย่างน้อยหนึ่งอย่าง
แน่นอนว่าทักษะเหล่านี้เป็นอะไรที่พวกมันสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง
มีทั้งทักษะที่แข็งแกร่งและอ่อนแอ ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่ามิติไหนั้นมีผลต่อ สัตว์วิญญาณมาก เพราะจำนวนและระดับของทักษะ มักจะเป็นตัวกำหนดประสิทธิภาพในการต่อสู้ของพวกมัน
แม้แต่อาชูร่าที่เย่อหยิ่ง ก็ยังไม่สามารถอดทนต่อการเย้ายวน และยอมฝึกฝนในมิติไหเช่นกัน
ในอนาคตนางคงจะขอมาที่มิติไหในฐานะแขกแน่
การบรรจบกันของแสงสีขาวแสดงให้เห็นถึงเวลาการใช้งานที่หมดลงของหอคอยสีขาว มันค่อย ๆ ปิดลงอย่างช้าๆ
คราวนี้ทุกคนต่างก็ได้อะไรกลับมา
กำแพงและอุปสรรคในการฝึกฝนถูกทำลายลงทีละขั้น ลั่วอู๋ประสบความสำเร็จในการยกระดับมิติวิญญาณขึ้นสู่ระดับทอง มิติเจ็ด และใช้เวลาที่เหลือในการสังเคราะห์สิ่งของต่าง ๆ
แม้ว่าในพระราชวังเป่ยหมิงจะมีสมุนไพรวิญญาณและดอกไม้วิญญาณเพียงไม่กี่ชนิด แต่ที่นี่ก็มีแร่วิญญาณมากมาย นอกจากนี้ยังมี สัตว์วิญญาณ จำนวนมากในทะเลที่หาได้ยากในอาณาจักรราชวงศ์มังกรเร้นกาย
ลั่วอู๋ จึงได้ซื้อแร่วิญญาณทั่ว ๆ ไปและ สัตว์วิญญาณ มากมาย มาจากตลาด โดยที่เขาจะได้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากนัก
แต่น่าเสียดายที่มันไม่ได้มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจ
สิ่งเดียวที่ลั่วอู๋พอใจก็คือการรวม ปลาปักเป้าพิษสองตัวเพื่อให้เกิดการกลายพันธุ์
ปลาปักเป้าพิษ สัตว์วิญญาณระดับเงิน
มันมีขนาดลำตัวประมาณครึ่งหนึ่งของมนุษย์ แต่เมื่อตกอยู่ในอันตรายลำตัวจะปูดและกลายเป็นลูกบอล หนามพิษบนร่างกายจะถูกสร้างขึ้นมาทีละซี่ ซึ่งสามารถยิงออกมาทำร้ายศัตรูได้เหมือนอาวุธลับ
ปลาปักเป้าพิษ โดยทั่วไปจะมีสีขาวนวล แต่ปลาปักเป้าพิษที่กลายพันธุ์ จะมีร่างกายเป็นสีโปร่งใส
แน่นอนว่ามันดูโปร่งใสและหมายความว่ามันมีความสามารถในการลอบเร้น หากไม่สังเกตดูดีๆ ก็จะไม่เห็นว่ามันอยู่ตรงไหน
“บางทีมันอาจจะขายได้ในราคาที่ดี” ลั่วอู๋คิด
แต่ลั่วอู๋ไม่ได้ขาดแคลนเงิน เขาจึงโยนปลาปักเป้าพิษลงไปในบ่อ
เขาเก็บมันไว้
ในฐานะของปลาสวยงาม
จากนั้นลั่วอู๋ก็ออกจากมิติไห
เขากลับไปเริ่มทำกิจวัตรประจำวันของเขา
เพื่อจัดการกับผนึก – ชำระล้างบาป ให้กับดาบต้านสวรรค์