ไหปีศาจ - บทที่ 481 การตรัสรู้
บทที่ 481 การตรัสรู้
บทที่ 481
การตรัสรู้
ลั่วอู๋ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก
ชายลึกลับที่เปิดนรกมนตรานั้นแท้จริงแล้วคือราชาหมอกซานเหรินนั่นเอง
ในตอนที่มนุษยชาติถูกทรยศหักหลัง กองทหารจำนวนนับไม่ถ้วนถูกสังหาร ณ ภูเขากุยโต ทำให้มนุษยชาติเกือบสูญสิ้น ราชาหมอกซานเหรินคือคนที่ช่วยมนุษยชาติเอาไว้
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหาข้อมูลดังกล่าวจากที่อื่น แม้แต่ในคฤหาสน์สุตราของสำนักเฉียนหลง
“เมื่อภัยพิบัติบรรเทาลงพันธมิตรซึ่งทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวก็ล่มสลายในทันที เมื่อไม่มีศัตรูของมวลมนุษยชาติอยู่ ความขัดแย้งตามภูมิภาคก็เริ่มต้นอีกครั้ง”
“เดิมทีแล้ว กลุ่มพันธมิตรก็คือกลุ่มกองกำลังต่าง ๆ ที่เคยมีปัญหาระหว่างกันอยู่ในตอนแรก แต่เนื่องจากมีศัตรูเดียวกันทุกคนจึงได้มาร่วมมือร่วมฝ่าวิกฤต และเมื่อวิกฤตนั้นหายไปแล้ว ปัญหาต่างๆ ที่ซ่อนอยู่จึงได้แตกออกมาพร้อมกับความขัดแย้งภายใน พวกเขาแบ่งฝ่ายออกจากกันอย่างรวดเร็ว เพราะทุกคนต่างก็ต้องการแย่งชิงดินแดนเพียงแห่งเดียวที่เหลืออยู่ในทวีป สงครามจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง”
“เหล่าสัตว์วิญญาณ และภูตไหต่างก็ไม่ต้องการมีส่วนร่วมในข้อพิพาทอีกต่อไป ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะออกเดินทางเพื่อตามหาดินแดนเซียนโบราณหมื่นอมตะในตำนาน อย่างไรก็ตามสัตว์วิญญาณและผู้คนบางส่วนเองก็ได้บรรลุความเห็นพ้องกันร่วมกันยึดครองดินแดนทางใต้ก่อตั้งอาณาจักรของตนเองขึ้น ส่วนทางอาณาจักรภูเขาแห้งแล้งทางตะวันออกนั้นเดิมทีก็ตกอยู่ในเปลวไฟของสงครามตลอดเวลาอยู่แล้ว ข้าจึงไม่รู้ว่าผลสุดท้ายจะเป็นเช่นไร”
“ ข้ารู้สึกว่ามนุษยชาติอาจจะกำลังพินาศในไม่ช้าก็เร็วด้วยสงครามที่ยืดเยื้อนี้ เพื่อรักษามนุษยชาติ เอาไว้ ข้าจึงได้พากลุ่มคนที่ต้องการอยู่ห่างจากสงครามจากไปพร้อมกับข้า ”
“ ข้ามาที่ทะเลเหนือ เพื่อหาดินแดนใหม่ให้กับมวลมนุษยชาติได้อยู่อย่างปลอดภัย แต่ก็หาไม่พบเสียที”
“ทะเลเหนือสุดขอบนั้น หนาวเกินไปนอกจากธารน้ำแข็งแล้ว ก็มีเพียงเกาะลอยน้ำขนาดเล็ก มันไม่เหมาะสำหรับการสืบพันธุ์และการเติบโตของเผ่าพันธุ์มนุษย์”
“หลังจากค้นหามาหลายเดือน ในที่สุดข้าก็พบทวีปใหม่ที่อยู่ลึกลงไปในทะเลเหนือสุดขอบ มันเป็นพื้นที่กว้างใหญ่ แต่น่าเสียดายที่มันว่างเปล่าและไม่มีอะไรเลย”
“แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังน่าตื่นเต้น เพราะพวกเราสามารถตั้งรกรากอยู่ในพื้นดินใหม่แห่งนี้ได้”
“ ข้าย้ายภูเขาสองลูก มาทำให้เป็นผงเปลี่ยนมันกลายเป็นดินสำหรับการทำไร่ที่ดีจำนวนนับไม่ถ้วนในการปลูกพืช จากนั้นข้าก็ก่อตั้งพระราชวังเป่ยหมิง เพื่อดูแลจัดการจัดสรรน้ำสำหรับพื้นที่เพาะปลูกให้ดีขึ้น สร้างพระวิหารและกำหนดระบบและกฎเกณฑ์ใหม่ ๆ”
“ขณะที่ทุกอย่างกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี มนุษยชาติกำลังเติบโตขึ้น จู่ ๆ ทวีปใหม่ก็เริ่มสั่นคลอน”
“ ข้าได้รู้ว่าแท้จริงแล้ว ที่นี่ไม่ใช่ทวีป แต่เป็นปลาตัวใหญ่ที่กำลังนอนหลับ มันเป็นปลาขนาดใหญ่เกินกว่าที่ใครจะนึกได้”
“แต่ข้าก็ไม่มีทางเลือกอื่น ข้าไม่สามารถเฝ้าดูผลงานของข้าตายไปเฉย ๆ ดังนั้นข้าจึงทำได้เพียงโค่นมันลง โชคดีที่มันเป็นสัตว์วิญญาณระดับจักรพรรดิ คุน และเมื่อข้าไม่ได้มีสัตว์วิญญาณคู่พันธะตัวที่หก การทำสัญญากับมันจึงทำให้ความแข็งแกร่งของข้าเพิ่มสูงขึ้น ”
“ข้าสั่งให้มันอยู่ในที่ที่มันอยู่และไม่ให้เคลื่อนไหวอีก แม้จะเจอกับคำสั่งที่ไร้มนุษยธรรมเช่นนี้ มันก็ดูจะไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่นี่มันก็แค่ในระยะสั้น ข้าคิดว่ายิ่งนานเท่าไหร่ปลาตัวใหญ่ก็จะยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นเท่านั้น”
“ข้าหมดหนทางแล้ว ข้ากำลังจะตาย ข้าคงไม่สามารถระงับมันไว้ได้ตลอดกาล ช่วงชีวิตของสัตว์วิญญาณระดับจักรพรรดิเหล่านี้ยาวนานมาก แต่มันก็ไม่ได้มีจำนวนมาก มนุษย์ระดับจักรพรรดิเองก็เช่นกัน”
“ ดังนั้นข้าจึงใช้ดาบต้านสวรรค์ ปิดผนึกคุนเอาไว้ ปล่อยให้มันหลับใหลไปตลอดกาล ทำให้มันกลายเป็นทวีปและกลายเป็นที่ดินสำหรับการสืบพันธุ์ของมนุษย์”
“ ข้าขอโทษจริงๆ นะลูกหลานของข้า ถ้าพวกเจ้าพบดินแดนใหม่ในอนาคตโปรดพาเหล่าผู้คนที่อยู่บนหลังของคุนย้ายถิ่นและปล่อยให้คุนให้เป็นอิสระด้วยเถอะ”
ลั่วอู๋ปิดหนังสืออย่างช้าๆ
นี่คือชีวประวัติและประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยฝุ่นของราชาหมอกซานเหริน
ชีวิตของเขาช่างงดงาม เขาเคยยากจนถูกเกลียดชังและตกต่ำลง เขายังเหยียบไปบนภูเขาสัมผัสแผ่นดินใหญ่และช่วยชีวิตผู้คน ในที่สุดเพื่อรักษามวลมนุษยชาติเขาได้มาที่ทะเลเหนือสุดขอบ ด้วยความรู้สึกผิดและจบชีวิตอันเป็นตำนานของเขา
บางทีเขาอาจจะมีความสุขจริง ๆ ในบั้นปลายของชีวิต
เพราะเขาจะได้กลับไปเจอหญิงสาวที่ชื่อว่าชิงหยู
เรื่องราวจะเป็นแบบนั้นจริงรึเปล่า?
มันไม่ได้ถูกบันทึกอยู่ในหนังสือ
แต่ลั่วอู๋ก็เต็มใจที่จะเชื่อแบบนั้น
พวกเขาจะต้องมีช่วงเวลาที่แสนหวานร่วมกันในโลกหน้าแน่
มิฉะนั้นมันก็คงจะเศร้าเกินไปสำหรับราชาหมอก ซานเหริน
มีอีกหนึ่งประโยคในตอนท้ายของหนังสือบันทึก
“จงทำเพื่อสันติภาพของโลกและรักคนที่เจ้ารัก”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็กลับมายังโลกแห่งความจริง
“ มีอะไรเหรอ ? มันเกิดอะไรขึ้น?” ผู้คนอดไม่ได้ที่จะถามคำถาม เมื่อเห็นลั่วอู๋กลับมา
ลั่วอู๋ส่ายหัว “ไม่มีอะไร”
หลังจากนั้น ลั่วอู๋ ก็เข้าไปกอดหลี่หยินและองค์หญิง เจียโรว ผู้คนที่มีอำนาจหลายคนเองก็มีผู้หญิงมากกว่าสองคนในอ้อมแขนของพวกเขา แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องปกติของจักรวรรดิ
ลั่วอู๋รู้สึกโล่งใจที่ได้กลิ่นน้ำหอมที่แตกต่างกันของพวกนาง
ใบหน้าหลี่หยินเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที นางพูด “นายน้อยทุกคนอยู่ที่นี่นะ”
“เจ้ากำลังทำอะไรของเจ้าน่ะ?” องค์หญิงเจียโรว ต่อต้านแต่สุดท้ายนางก็ยอมแพ้ให้อย่างไม่เต็มใจ นางพิงไหล่ของเขา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินอาย “เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า”
ผ่านไปสักพักลั่วอู๋ก็ยอมปล่อยหญิงสาวทั้งสองคน พร้อมกับรอยยิ้มที่ดูสดใสมาก “ไม่มีอะไรจู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่า ข้าควรจะถนอมคนรอบตัวข้ามากขึ้น”
เขาไม่อยากปล่อยมันไป
เขาต้องการยึดมั่นในทุกสิ่งที่เขามี
ในตอนนี้ความคิดของ ลั่วอู๋ ดูเหมือนจะเปลี่ยนไป
เมื่อได้ยินเช่นนี้หญิงสาวทั้งสองก็แก้มแดงเป็นมะเขือเทศอย่างสวยงามในทันที
องค์หญิงเจียโรว ต้องการล้อเลียน ลั่วอู๋ และตำหนิ เขาเพราะความโลภของเขา แต่เมื่อเห็นความเคร่งขรึมบนใบหน้าของเขา นางก็กลืนคำพูดนั้นลงคอกลับไป
นางก้มหน้าและจะปล่อยให้เขาหยิ่งผยองต่อไปอีกสักพัก
ฉูจงฉวน และหลินยูหลัน สองคนที่อยู่ด้านข้างต่างก็เฝ้าดูฉากนี้อย่างเงียบ ๆ
“ข้าว่าแล้ว องค์หญิงเจียโรวเป็นผู้หญิงของเจ้าจริง ๆ ด้วย”หลินยูหลัน กล่าวในใจ
ฉูจงฉวน ล้อเลียนแล้วกล่าวว่า “วันนี้เจ้ารู้แจ้งขึ้นมาขนาดนี้ได้อย่างไรกัน ข้าคิดว่าเจ้าซื่อบื้อกว่านี้เสียอีก ไม่นึกเลยว่าจู่ ๆ ก็จะกระตือรือร้น”
นี่ทำให้ลั่วอู๋จ้องเขากลับไปด้วยตาโตสีขาวอยู่พักหนึ่ง
……
……
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว.
เพียงไม่กี่อึดใจ ลั่วอู๋ก็ได้อยู่ในปลาตัวใหญ่มานานกว่าสามเดือนแล้ว ซึ่งหากนับตามเวลาของมิติไหมันก็ผ่านไปเป็นเวลากว่าสิบเดือน
ความแข็งแกร่งของพรรคพวกลั่วอู๋พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
คนที่มีมิติวิญญาณสูงที่สุดคือ ฉูจงฉวน ผู้ซึ่งไปถึงระดับทอง มิติ 9 เพียงอีกแค่ก้าวเดียวเขาก็จะสามารถไปถึงระดับทอง มิติ10 ได้
ตอนนี้จูกู่เฉิง ได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง
พลังวิญญาณเจ็ดในสิบของดาบต้านสวรรค์ได้ถูกชำระล้างออกไป มันจึงน่าจะเสร็จสิ้นในอีกหนึ่งเดือน
“บันทึกล่ะ” จูกู่เฉิง ดูให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง
ลั่วอู๋หยิบหนังสือบันทึกออกมา “ข้ารอเจ้าอยู่ ข้าคิดว่าหากเจ้าได้เผามันด้วยตนเอง เจ้าน่าจะโล่งใจกว่า”
จูกู่เฉิง รับหนังสือบันทึกกลับมาและทำลายทิ้งในทันที
“เจ้าไม่ได้เก็บทำบันทึกสำรองไว้ใช่ไหม?” จูกู่เฉิง มองไปที่ ลั่วอู๋ อย่างสงสัย
ลั่วอู๋ไม่พอใจเล็กน้อย “เจ้าเห็นข้าเป็นคนแบบนั้นเหรอ?”
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็คงสามารถอธิบายเรื่องการย้ายข้อมูลของหอสมุดได้สินะ”
“ แค่ก แค่ก นี่มันคนละเรื่องกัน” ลั่วอู๋ รู้สึกอาย “ข้าเชื่อถือได้อยู่น่า ข้ารับประกันเลยว่าจะไม่มีทางที่จะเก็บข้อมูลสำรองเกี่ยวกับบันทึกนี้และจะไม่เผยแพร่มันออกไป”
ด้วยความมั่นใจของ ลั่วอู๋ จูกู่เฉิง ก็เดินจากไปอย่างสบายใจ
ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาจิตสำนึกของคุนตื่นขึ้นมาอีกห้าครั้ง ทุกครั้งมันพูดเพียงไม่กี่คำ และในไม่ช้าก็หลับลงไป
อย่างไรก็ตามเขาสัมผัสได้ว่าพลังของมันไม่ได้อ่อนแอลงอีกต่อไป
ดูเหมือนสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ทั้งหมดมันได้ผล
บทสนทนาระหว่างคนคนหนึ่งกับปลาใหญ่ได้กลายไปเป็นเรื่องธรรมดา
อารมณ์ของปลาตัวใหญ่ดูเหมือนจะไม่ได้หงุดหงิด และไม่มีความรุนแรงแฝงอยู่
สิ่งนี้ทำให้ลั่วอู๋มีข้อสงสัยบางอย่าง
ราชาหมอกซานเหรินได้เขียนไว้อย่างชัดเจนในบันทึกว่ายิ่งเวลาผ่า่นไปเท่าใด คุนก็น่าจะยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นเท่านั้น
แต่ดูเหมือนว่าเป็นเพราะมันถูกผนึกมานานเกินไป
ปลาตัวใหญ่เลยเปลี่ยนใจเลิกหงุดหงิดแล้วงั้นเหรอ?