ไหปีศาจ - บทที่ 486 สติของเหวินเสี่ยวกระเจิง
บทที่ 486 สติของเหวินเสี่ยวกระเจิง
บทที่ 486
สติของเหวินเสี่ยวกระเจิง
เมื่อกลยุทธ์ที่ดีที่สุดของเขาถูกลั่วอู๋แก้ทางได้
เหวินเสี่ยวก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ
ขณะเดียวกันเขาก็ต้องสลัดทิ้งตัวตนเดิมในใจของเขาออกไปด้วย ถ้าสัตว์วิญญาณสองตัวแรกของเขาแข็งแกร่งกว่านี้ เขาก็คงจะไม่ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
โลมาเผือกและภูตน้ำนั้นไม่มีทักษะในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งเท่าไหร่
ตอนนี้เขาจึงทำได้เพียงอาศัยพลังของเทพตกสวรรค์ในการต่อสู้
“ข้าจะไม่ทำลายเจ้า แต่เหวินเสี่ยวคนเดิมต้องกลับมา” ลั่วอู๋พูดด้วยเสียงต่ำ
สองเดือนที่ผ่านมาในทะเลเหนือสุดขอบ
พวกเขาเข้ากันได้ดี
แม้เหวินเสี่ยวกลายเป็นคนสุดโต่งและไม่รังเกียจที่จะทำสิ่งเลวร้าย แต่เขาก็ไม่ได้ทำสิ่งที่เลวร้ายจริง ๆ เลย
เขาไม่ได้ไร้ความรู้สึก
ลั่วอู๋รู้สึกได้ว่ายังมีมิตรภาพระหว่างเหวินเสี่ยวและ คนอื่น ๆ
ในตอนแรกจูกู่เฉิงต้องการฆ่าพรรคพวกลั่วอู๋ เหวินเสี่ยวคลั่งสุด ๆ จนตะโกนใส่ทุกคนในที่นั้นเพื่อช่วยพรรคพวกลั่วอู๋
แม้ว่าจะเป็นเพราะเหวินเสี่ยวขอร้องลั่วอู๋ให้ช่วยเขา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาต้องการปกป้องลั่วอู๋อย่างจริงใจ
ถ้าลั่วอู๋ไม่จับได้ว่าเหวินเสี่ยวแกล้งตบตา เหวินเสี่ยวก็ไม่รังเกียจที่จะปล่อยพวกเขาไป
ดังนั้นลั่วอู๋จึงไม่รังเกียจที่จะไว้ชีวิตเหวินเสี่ยว
แต่นี่แน่ ๆ คือตัวตนหลักต้องได้กลับมา
“หยุดออมมือได้แล้วน่า เจ้ามีความสามารถที่จะฆ่าข้าได้ไม่ใช่รึไง” เหวินเสี่ยวที่กำลังตกอยู่ในความบ้าคลั่งหยิบหินสีน้ำเงินออกมา
หินคราม!
แม้ว่าเขาจะเป็นนายน้อยแห่งวังหลวง แต่มันก็ยังยากที่จะได้ครอบครองหินคราม
เขาใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อให้ได้หินครามนี้มาจากผู้อาวุโสหลายต่อหลายคน โดยแลกกับคำสัญญามากมาย
เหวินเสี่ยวกำหินครามไว้ในมือ
เขารู้สึกถึงเสียงเรียกของทะเลเหนือ พลังวิญญาณอันลึกลับถูกดึงมาจากทะเลและหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของเขา
“ผลึกแห่งท้องทะเล” เหวินเสี่ยวหัวเราะและลมปราณของเขาเริ่มรุนแรงขึ้น พลังวิญญาณเริ่มหลั่งไหลออกมาจากตัวเขา
ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมเขาถึงไม่เรียกผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงของพระราชวังเป่ยหมิงมาช่วย
ปรากฏว่าเขามีตัวช่วยแบบนี้เก็บไว้นี่เอง
ด้วยความช่วยเหลือจากพลังของหินคราม เขาแทบจะไร้เทียมทานหากเผชิญกับศัตรูในระดับเดียวกัน
สำหรับผลข้างเคียงของการรับพลังวิญญาณจากทะเลนั้น เขาไม่ได้กังวลเลย
ดวงตาของเหวินเสี่ยวดูเหมือนจะลุกขึ้นเป็นไฟสีดำ “ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว แต่เจ้าก็ยังไม่ยอมจากไป! เจ้าบังคับข้าให้ทำเช่นนี้”
เกิดการสั่นสะเทือนในใจของพวกลั่วอู๋
ใบหน้าของฉู จงฉวนยังคงดูสง่างาม “นี่ไม่ใช่เล่น ๆ เลยนะเนี่ย ลมปราณนั่นแทบจะสูงถึงระดับทองขั้นสูงแล้ว สมบัตินั่นมันอะไรกัน? ผลของมันน่ากลัวมาก ข้าอยากจะมีมันสักชิ้น”
“นั่นคือหินคราม มันมีประโยชน์มากในทะเล แต่ก็แทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยหากพวกเรากลับไปยังราชวงศ์มังกรเร้นกาย” ลั่วอู๋ตอบ “มันไม่สมเหตุสมผลเลยที่เจ้าจะอยากได้มัน”
“แต่พลังนั่นมันปาฏิหาริย์ชัด ๆ เลยนะ” ฉูจงฉวนยังคงโลภและอยากได้มัน
ลั่วอู๋หัวเราะและหยิบหินครามออกมา “เจ้าชอบมันใช่ไหม? ถ้าข้าใช้ก้อนนี้หมดไปแล้ว ข้าจะยกมันให้เจ้าก็ได้”
“ไม่เป็นไร!!!” ฉู จงฉวนอดไม่ได้ที่จะร้องออกมา
ขนาดของหินครามในมือลั่วอู๋นั้นใหญ่กว่าของเหวินเสี่ยวมาก มันมีขนาดใหญ่ราว ๆ ครึ่งหนึ่งของกำปั้น ซึ่งได้มาจากการกลั่นแร่วิญญาณในทะเลยามว่างของลั่วอู๋
เพราะเขาไม่ได้จำเป็นต้องรีบใช้มัน
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ผลิตมันไว้มากเท่าไหร่
ลั่วอู๋ถือหินครามไว้ในมือ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงพลังวิญญาณแห่งทะเลและลมปราณของเขาก็พุ่งสูงขึ้น เขาก้าวข้ามมิติวิญญาณสู่ระดับทองขั้นสูงได้อย่างง่ายดาย
“ความรู้สึกนี้” ลมปราณของลั่วอู๋กระจายออกไปอย่างไม่สามารถควบคุมได้ จนลั่วอู๋หัวเราะออกมา
เหวินเสี่ยวรู้สึกเวียนหัวด้วยความตกตะลึง “เจ้า…”
เขาไม่เข้าใจ
ทำไมกัน อีกฝ่ายถึงมีหินครามได้ แถมมันยังก้อนใหญ่ถึงขนาดนั้น
หินครามนั้นมีเพียงไม่กี่ก้อนในพระราชวังเป่ยหมิง มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คนนอกจะนำสมบัติที่มีเพียงไม่กี่ชิ้นเหล่านั้นออกมาได้
ไม่กี่เดือนก่อน ลูกหลานผู้โง่เขลาของตระกูลหยู่ได้ขโมยหินครามออกมาจากโบราณสถาน เพื่อแลกกับสัตว์วิญญาณระดับเพชร ส่งผลให้เจ้าของโมโหจนแทบจะหักขาเขา จากเรื่องนี้จะเห็นว่าหินครามนั้นมีค่าเพียงใดสำหรับเหล่าตระกูล
ไม่มีใครอยากค้าขายหินครามแน่
สำหรับทางพระราชสำนัก พวกเขาเองก็จะไม่ให้หินครามกับใคร เว้นแต่ว่าจะให้การสนับสนุนทางพระราชสำนักมากพอ
เหวินเสี่ยวจึงคิดไม่ออก
ว่าทำไมลั่วอู๋ถึงได้มีหินครามในครอบครอง
“ข้ายอมรับไม่ได้” เหวินเสี่ยวรีบพุ่งออกไปอย่างบ้าคลั่ง
แต่ก็ถึงคราวจุดจบของเขา
ลั่วอู๋เอาชนะเหวินเสี่ยวได้อย่างง่ายดายและมัดเขาไว้
เดิมทีความแข็งแกร่งของเขาก็สู้ลั่วอู๋ไม่ได้อยู่แล้ว และเมื่อแม้แต่การเพิ่มพลังด้วยหินครามก็ยังสูงไม่มากเท่าของอีกฝ่าย เหวินเสี่ยวจึงไม่มีโอกาสที่จะชนะลั่วอู๋เลย
หลังจากยืมพลังวิญญาณแห่งทะเลมาใช้ ลั่วอู๋ก็เริ่มรู้สึกอ่อนแอลง ตามที่คาดไว้ ไม่มีอะไรฟรีในโลกนี้จริง ๆ อย่างไรก็ตามผลข้างเคียงของหินครามนั้นไม่ได้รุนแรงเท่าไหร่
ลั่วอู๋โยนหินครามไปที่ฉูจงฉวน “เอ้า รับไป”
“เอาแต่ใจซะจริงนะ” ฉูจงฉวนตกใจ จากนั้นเขาก็ส่ายหัวด้วยรอยยิ้มและโยนหินครามกลับไป “ไม่ล่ะ ข้าเอาแต่รับของจากเจ้าตลอดไป คงไม่ได้”
แม้ว่าพวกเขาจะมีความสัมพันธ์ที่ดี
แต่ฉูจงฉวนก็ได้รับประโยชน์มากมายมาจากลั่วอู๋แล้ว
ฉูจงฉวนมีความหยิ่งผยองและไม่ต้องการใช้ประโยชน์จากใครโดยธรรมชาติ อย่างน้อยก็ก่อนจะได้อะไรเขาก็อยากตอบแทนคืนเสียก่อน เขาจะไม่ใช้ผลประโยชน์จากใครฟรี ๆ
ลั่วอู๋ก็ไม่ได้คิดมากกับเรื่องนี้ เขาจึงรับมันกลับมาแต่โดยดี
ตอนนั้นเององค์เจียโรวก็ถามขึ้นว่า “แล้วพวกเราจะทำอะไรกันต่อ? ลักพาตัวนายน้อยแห่งวังหลวงของพระราชวังเป่ยหมิงกลับออกไปงั้นรึ?”
ทุกคนมองเหวินเสี่ยวอย่างปวดหัว
นั่นสิ
ควรทำอย่างไรดี?
พวกเขาไม่สามารถฆ่าเหวินเสี่ยวได้ แต่มันก็ยากที่จะผูกมัดเขาเอาไว้แบบนี้ตลอดเวลา
ลั่วอู๋พยายามใช้ทักษะควบคุมจิตใจ แต่มันก็ไร้ผล เหวินเสี่ยวเก่งในเรื่องการควบคุมจิตใจ จนสามารถต้านทานการรุกรานทางจิตใจของลั่วอู๋ได้
ในขณะนั้นเอง เสียงอันทุ้มเข้มก็ดังขึ้นมาจากห้องโถง
“พาเขาออกไปได้”
ผู้คนต่างประหลาดใจเพราะเสียงนี้คือเสียงของผู้ปกครองสูงสุดแห่งราชวังเป่ยหมิง จูกู่เฉิง
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ จู่ ๆ จูกู่เฉิงก็ปรากฏตัวขึ้นที่ห้องโถงแสงเหนือ แถมยังดูสงบราวกับสระน้ำลึกที่ไม่มีคลื่น
“ผู้ปกครองสูงสุด จูกู่เฉิง…” ลั่วอู๋พูด
จูกู่เฉิงพยักหน้า”ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ข้าเข้าใจ พาเขาไป ข้าเองก็หวังว่าเขาจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ ข้าได้ยินมาว่าน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรเซียนโบราณหมื่นอมตะมีฤทธิ์วิเศษในการชำระล้างจิตวิญญาณของมนุษย์ ข้าไม่รู้ว่าจริงรึเปล่า แต่ตัวข้าออกไปจากที่นี่ไม่ได้ ดังนั้นข้าจะให้วิธีตรวจสอบมันกับเจ้าแทน”
ไม่คิดเลยว่าจูกู่เฉิงจะไม่เพียงแต่อนุญาตให้พวกเขาพาเหวินเสี่ยวไป
แต่ยังชี้ทางจัดการกับเขาให้อีกด้วย นี่มันเป็นอะไรที่พวกเขาคาดไม่ถึงจริง ๆ
เหวินเสี่ยวดูสับสน
“แกมันบ้าไปแล้ว” เหวินเสี่ยวตวาดอย่างโกรธ ๆ
ไม่กี่เดือนก่อน เขายังมีความสุขกับการเปลี่ยนแปลงของเหวินเสี่ยวอยู่เลย
ทำไมจู่ ๆ ก็เปลี่ยนไป
ลั่วอู๋มองไปที่เขาด้วยสายตาแปลก ๆ “ผู้ปกครองสูงสุด นี่เจ้า…”
“ในเวลานั้น พระราชวังเป่ยหมิงกำลังตกอยู่ในอันตราย พวกเราจึงต้องการกษัตริย์ที่ดื้อด้านและไร้ยางอายเพื่อนำพาประชาชนให้รอดพ้นจากอันตราย” จูกู่เฉิงพูดอย่างแผ่วเบา “แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว ความกังวลได้บรรเทาหายไป และเพื่อรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงในระยะยาวของประเทศ คนที่หุนหันพลันแล่น อารมณ์ไม่มั่นคงหรือแม้แต่เจ้าอารมณ์ ย่อมไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำ”
อะไร ๆ มันได้เปลี่ยนไปแล้ว
เพื่อความอยู่รอดเราควรโหดร้ายและไร้ความปรานี และเราควรทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้
แต่การที่จะเจริญรุ่งเรืองเป็นเวลานาน เราไม่เพียงแต่ต้องการวิธีการเท่านั้น แต่ยังต้องอ่อนโยนด้วย
เห็นได้ชัดว่าเหวินเสี่ยวเหมาะที่จะเป็นผู้นำในช่วงเวลาที่มีปัญหาเท่านั้น ไม่ใช่เป็นผู้นำในยุคที่อาณาจักรรุ่งเรือง
ลั่วอู๋เข้าใจแล้ว
ความกังวลถูกบรรเทาลงแล้ว พระราชวังเป่ยหมิงจึงสามารถค่อย ๆ คัดเลือกผู้ปกครองคนใหม่ของพระราชวังได้ และมันไม่ได้มีแค่เขาเพียงคนเดียวอีกต่อไป
หากเหวินเสี่ยวไม่เหมาะสม จูกู่เฉิงก็สามารถหาคนใหม่มาแทนที่ได้
ดังนั้นจูกู่เฉิงจึงไม่รังเกียจหากเหวินเสี่ยวจะถูกพาตัวไป
บางทีนี่อาจเป็นความคิดของผู้บังคับบัญชาที่ถูกต้องก็เป็นได้
“แกมันชั่วช้า จนข้าอยากจะอ้วก” หัวใจของเหวินเสี่ยวแตกสลาย เขาเอาแต่ด่าทอจูกู่เฉิงเพื่อระบายความโกรธ