ไหปีศาจ - บทที่ 488 เปลี่ยนความคิด
บทที่ 488 เปลี่ยนความคิด
บทที่ 488
เปลี่ยนความคิด
ลั่วอู๋ไม่ได้ยินเสียงจากชายอ้วน เพราะเขาออกทะเลไปแล้ว
เรื่องต่าง ๆ ที่พระราชวังเป่ยหมิงนั้นได้จบลงแล้ว คนในพื้นที่เองก็พอใจเช่นกัน มันเรียบร้อยพอเขาจะปล่อยวางจากมันไปได้แล้ว
ก่อนจากไปนักบุญผู้ดูแลพระราชวังเป่ยหมิงก็ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
เขายังคงอาบแสงสีเงินศักดิ์สิทธิ์ และดวงตายังคงแสดงถึงการให้กำเนิดการไหลเวียนของหยินและหยาง เขาสวมชุดบาทหลวงปักไหมสีน้ำเงินและมีรอยยิ้มบนใบหน้าเช่นเคย
ลั่วอู๋มักจะนึกถึงเทพเจ้าในทุก ๆ ครั้งที่เขาเห็นนักบุญคนนี้
“ข้ามีวิธีกำราบเจ้านี่อยู่นะ ซึ่งก็คือหกอักษรแห่งแก่นแท้ สามารถขจัดความหมกมุ่นได้ แต่ไม่สามารถขจัดความบกพร่องทางจิตได้ อาจจะพอใช้ประโยชน์ได้บ้าง” นักบุญหลับตาของเขาและท่องคาถา
มีตัวอักษรขนาดใหญ่สีเงินหกตัวปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า แบบอักษรดูลึกลับไม่เป็นที่รู้จัก ประทับลงบนหัวใจของเหวินเสี่ยวแล้วก็หายไป
แต่เดิมที่อารมณ์ร้อนระอุ ก็สงบลงเล็กน้อย
แต่ก็ได้แค่นั้น เขายังคงมีความแค้นต่อลั่วอู๋อยู่มาก
ลั่วอู๋ตกใจ
นี่มันแก่นแท้ของตระกูลชาวพุทธงั้นหรือ?
ไม่ มันดูเหมือนจะแตกต่างกันเล็กน้อย
แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเดาถูกส่วนหนึ่ง และพลังวิญญาณอันบริสุทธิ์นั้นมีพลังจากพระพุทธเจ้าที่แท้จริงซึ่งยังหลงเหลือไว้ในโลกแฝงอยู่
หลังจากนักบุญแผ่เมตตาแล้ว เขาก็ดูเคร่งขรึมขึ้นแล้วจึงส่ายหัว “ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผลมากเท่าไหร่นัก ท่านจะต้องลำบากในภายภาคหน้าแน่นอน”
“พวกเรารู้อยู่แล้ว” ทุกคนพยักหน้า
พูดจบนักบุญก็จากไป
เหวินเสี่ยวนั้นเป็นอะไรที่สยบได้ยาก
แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลง เหวินเสี่ยวได้ แต่บางครั้งพวกเขาก็ไม่จำเป็นจะต้องพยายามทำให้เหวินเสี่ยวยอมจำนน และเลือกที่จะปล่อยปัญหาไป
นักบุญไม่ได้ดูเศร้าหรือมีความสุข เขานั่งอยู่บนช้างมังกรทะเล ท้องฟ้าสีครามกลายเป็นเหมือนกำแพงชั้นในของพระราชวัง ทันใดนั้นเทพเจ้าและพุทธศาสนิกชนจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้น ผ้าไหมหลากสีส่องประกาย การเป็นรูปร่างของพระพุทธรูปที่แสดงความเมตตาต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ราวกับเป็นอาณาจักรของเทพเจ้าที่ตั้งอยู่ในมิติแห่งแสงสว่าง
……
……
ก่อนที่จะออกทะเล ลั่วอู๋ได้ซื้อแร่วิญญาณในทะเลจำนวนมากกลับไปด้วย และระหว่างทางเขาก็ซื้อสินค้าทั่วไปในตลาดมาอย่างล่ะนิดหน่อย
“การมีเงินนี่มันดีจริง ๆ”
อันที่จริงเขาสามารถหาของทั้งหมดนี้ได้ด้วยความสามารถของไหปีศาจ แต่เมื่อต้องคิดถึงค่าใช้จ่ายมหาศาลลั่วอู๋ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
บางที่เขาก็ไม่จำเป็นต้องสังเคราะห์มันขึ้นมาด้วยตัวเอง หาซื้อมาบ้างก็ได้
นอกจากนี้เขาก็ได้ซื้อสัตว์วิญญาณหายากและมีค่าบางตัว ที่ไม่สามารถหาซื้อได้ที่อื่นมาด้วย
ทุกครั้งที่เขาไปยังสถานที่ใหม่ เขาก็มักจะเจอสัตว์วิญญาณเฉพาะถิ่น ซึ่งทำให้ลั่วอู๋ได้เงินจากการขายมันมาเป็นจำนวนมากเสมอ อีกทั้งเขายังสามารถปลดผนึกหนังสือสัตว์วิญญาณได้ในปริมาณมากอีกด้วย
“เพิ่มขึ้นมาเยอะเหมือนกันนะเนี่ย” ลั่วอู๋มองไปที่หนังสือภาพสัตว์วิญญาณ “ครั้งนี้ข้าได้สัตว์วิญญาณมามากมายเลย แถมยังมีตัวที่มีศักยภาพระดับทองขั้นสูงหลายตัวเสียด้วย”
ระดับการปลดผนึกหนังสือสัตว์วิญญาณขึ้นอยู่กับปริมาณและเจ้าภาพ
หากใส่สัตว์วิญญาณที่มีศักยภาพสูงลงไป ระดับการผนึกก็จะเพิ่มขึ้นมากตามไปด้วย หากเป็นสัตว์วิญญาณที่อ่อนแอก็จะได้น้อยกว่า
“ดูเหมือนว่าข้าไม่จำเป็นจะต้องจับมันเข้าในมิติไหเพียงอย่างเดียวสินะ” ลั่วอู๋อยู่ในห้วงความคิด
เขาเคยคิดว่าการปลดผนึกความสามารถของมิติไหนั้นจำเป็นจะต้องจับสัตว์วิญญาณเข้ามาในมิติไหเพียงเท่านั้น ทว่ามันไม่ใช่
ตัวอย่างเช่นหากผู้บัญชาการหลิงหลงได้รับเชิญให้เข้าสู่มิติไหในฐานะแขก เขาก็จะสามารถปลดผนึกข้อมูลของสัตว์วิญญาณทั้งหมดที่นางมีในหนังสือได้
แต่ด้วยที่มันเป็นห้วงมิติส่วนตัว ลั่วอู๋จึงให้เพียงแค่กลุ่มเพื่อนที่เขาสนิทที่สุดรู้เกี่ยวกับมันเท่านั้น เขากลัวที่จะให้คนนอกรู้เกี่ยวกับไหปีศาจ
เพราะนี่เป็นสิ่งที่แม้แต่คนที่แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิก็ยังหมายตาอยากได้
ลั่วอู๋ทำได้เพียงแค่กำจัดความคิดหวาดระแวงออกไป
เขาต้องทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็ว ซึ่งเป้าหมายก็คือการขึ้นเป็นระดับจักรพรรดิ
เรือนั้นได้พาทีมทะลวงน้ำแข็งและฮวงเสี่ยวหยวนกลับไปแล้ว ดังนั้นลั่วอู๋จึงทำได้แค่ขี่ช้างมังกรทะเลกลับไป ซึ่งความเร็วก็ไม่ได้ช้าไปกว่ากันมากเท่าไหร่ มันแค่โคลงเคลงกว่าเล็กน้อย
ช้างมังกรทะเลเคลื่อนตัวลงสู่ทะเลก่อให้เกิดคลื่นขนาดใหญ่ราวกับอุกกาบาตตกลงไปในน้ำ
“โคลงเคลงเอาเรื่องนะเนี่ย เหวอ!” เสียงของฉูจงฉวนสั่นไหวเพราะลมทะเล
ลมทะเลนั้นแรงจนเขาต้องใช้โล่วิญญาณป้องกัน
มิฉะนั้นเสื้อผ้าจะโดนลมพัดปลิวเสียรูปเสียทรงจนดูเป็น “คนบ้า” ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสำหรับฉูจงฉวนจริง ๆ
อย่างไรก็ตามทะเลเหนือสุดขอบนั้นมีขนาดใหญ่เกินกว่าจะใช้โล่พลังวิญญาณได้ตลอดเวลา มันกินพลังวิญญาณมากเกินไป จนอาจจะทำให้เขาไม่สามารถรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ในกรณีที่เกิดอันตรายขึ้นได้
ลั่วอู๋จึงทำได้เพียงแค่ชะลอช้างมังกรทะเล ปล่อยให้มันว่ายน้ำอย่างช้า ๆ
แต่มันก็ช้าเกินไปอีก
คาดว่าคงจะต้องใช้เวลาถึงสามเดือนกว่าจะกลับสู่แผ่นดินใหญ่ได้
ลั่วอู๋หันหน้าไปถามเหวินเสี่ยว “มีสัตว์วิญญาณชนิดไหนอีกที่สามารถว่ายข้ามทะเลได้ ? ขอแบบรวดเร็ว อดทน และไม่โคลงเคลงด้วยยิ่งดี”
“ไม่!” เหวินเสี่ยวไปนั่งไกล ๆ แล้วหันหน้าหนี
หลังจากพ่ายแพ้และถูกบังคับให้ออกจากพระราชวังเป่ยหมิง
เหวินเสี่ยวก็ดูเหมือนจะหดหู่ลงเป็นอย่างมาก
ซึ่งตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่รู้วิธีที่จะแก้ไขเรื่องนี้
เขาเป็นเหมือนระเบิดเวลาที่อาจระเบิดได้ทุกเมื่อ ไม่มีใครมั่นใจได้ แม้ว่าจะมีหกอักษรแห่งแก่นแท้จากนักบุญก็ตาม
ลั่วอู๋ขมวดคิ้ว
มันต้องมีทางแก้ไขสิ
พวกเขาต้องการหาน้ำพุศักดิ์สิทธิ์เพื่อที่จะแก้ไขปัญหานี้ แม้จะไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่ปีกี่เดือน แต่พวกเขาคงไม่สามารถลากเหวินเสี่ยวไปด้วยได้ตลอดเวลาแน่
“ให้ตัวตนหลักกลับมาก่อนสิ ในเวลาส่วนใหญ่เจ้าจะสามารถครองร่างได้ตามสะดวก แต่นี่คือความอดทนสุดท้ายของข้าแล้ว” ลั่วอู๋พูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม
ดวงตาของเหวินเสี่ยวดูลังเล
หัวใจของเขาดูเหมือนจะขัดขืน
บางทีหกอักษรแห่งแก่นแท้ก็มีประโยชน์จริง ๆ มิฉะนั้นเขาคงจะไม่ลังเลเลยสักนิด
เหวินเสี่ยวตอบด้วยความยากลำบาก “ไม่…”
แต่จุดจบก็ยังเหมือนกัน
ลั่วอู๋ถอนหายใจ
“เนื่องจากตกลงกันไม่ได้ และข้าเองก็ห่วงว่าเจ้าจะสร้างปัญหา งั้นหั่นเจ้าเป็นท่อน ๆ น่าจะเป็นการดีกว่า” ดวงตาของลั่วอู๋เป็นประกาย “ข้าจะช่วยให้เจ้าฟื้นกลับมาเอง เมื่อข้าพบน้ำพุศักดิ์สิทธิ์แล้ว”
เขาได้อ่านชีวประวัติของราชาหมอกซานเหรินมาแล้ว
นี่ทำให้ความคิดของลั่วอู๋เปลี่ยนไป แนวทางของเขานั้นเด็ดขาดและโหดร้ายกว่าเดิมมาก
นั่นก็เพราะเขาไม่อยากเสียใจไปตลอดชีวิต
มันจะเป็นการดีกว่าหากสามารถกำจัดอันตรายที่ซ่อนอยู่ได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ
บรรยากาศนิ่งสงบลงไปครู่ใหญ่ ๆ จนทุกอย่างเงียบมากราวกับว่าทุกคนไม่มีตัวตน แต่ทันใดนั้นเองหลี่หยินก็พูดขึ้นมา “อาจมีวิธีอื่น”
ทุกคนประหลาดใจแล้วหันไปทางหลี่หยินอย่างพร้อมเพรียง
นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่หยินมีความคิดริเริ่ม
ทุกคนมารวมตัวกันที่ด้านหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้ เหวินเสี่ยวได้ยินการสนทนา
“จะให้ข้าทำอะไร” ลั่วอู๋ถาม
“เขาไม่สามารถต้านทานความปรารถนาของตัวเองได้ เขาจะถูกผลักดันให้ทำอะไรก็ได้ด้วยความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวของเขา สิ่งที่เราควรทำไม่ใช่การย้อนความคิดของเขา แต่เป็นการชี้นำให้เขามีความคิดที่ถูกต้องเจ้าค่ะ” หลี่หยินกล่าว
ดูเหมือนทุกคนจะตระหนักถึงความจริงข้อนี้ได้
ลั่วอู๋คิดอยู่ครู่หนึ่ง “หลี่หยิน เจ้ามีความคิดอะไรเจาะจงหรือไม่?”
“ข้ามีวิธีที่อาจได้ผลเจ้าค่ะ” หลี่หยินดูเขิน แล้วกระซิบ “ถ้ามันไม่ได้ผล ก็อย่าโทษข้าละกันเจ้าค่ะ”
ทุกคนส่ายหัว
“ข้าจะโทษเจ้าได้อย่างไร? ถ้าพอมีวิธีอะไร มันก็ต้องลองดูอยู่แล้วนี่” ลั่วอู๋พูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินคำพูดของลั่วอู๋แล้ว หลี่หยินก็ดึงความกล้าของนางและไปหาเหวินเสี่ยว “เหวินเสี่ยว เจ้าเกลียดตัวตนเดิมของเจ้าใช่ไหม?”
“ถามอะไรไร้สาระ” เหวินเสี่ยวกลอกตา
สองคนนั้นคือตัวตนแห่งความขัดแย้งอย่างแท้จริง
“แต่เขายังอยู่ในตัวเจ้านะ เจ้าจะไม่รู้สึกแย่เหรอ?” หลี่หยินถามอย่างสงสัย
เมื่อได้ยินเช่นนี้ดวงตาของเหวินเสี่ยวฉายแววแห่งความขยะแขยงราวกับได้กินแมลงวันที่น่าขยะแขยงเข้าไป ร่างกายรู้สึกไม่สบายตัว และความรู้สึกไม่สบายแบบนี้ก็มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ใช่แล้ว มันเป็นเพียงความอัดอั้นในส่วนลึกของจิตสำนึก
ตราบใดที่ตัวตนที่ขี้ขลาดยังคงอยู่ในร่างของเขา เขาก็จะรู้สึกแย่มาก
มันเหมือนมีข้าวติดคอ ที่ต้องไอออกมาไม่ก็กลืนลงไป
“ทำไมเจ้าถึงต้องการยกเรื่องนี้มาคุยกัน?” เหวินเสี่ยวคำรามด้วยความโกรธ เขาจงใจลืมเรื่องนี้ “ข้าจะทำลายเขาไม่ช้าก็เร็ว”
หลี่หยินกะพริบตา “อันที่จริงแล้ว ข้ามีวิธีที่จะหาน้ำพุศักดิ์สิทธิ์แล้วก็สร้างร่างกายขึ้นมาใหม่ ด้วยพลังของน้ำพุศักดิ์สิทธิ์จะแยกเจ้าทั้งสองออกจากกันได้ ว่ายังไงล่ะ?”
“แยกกันอยู่คนล่ะร่าง?” เหวินเสี่ยวตะลึง
หลี่หยินพยักหน้า “แน่นอน”
“ฟังดูไม่เลวเลยนี่!” เหวินเสี่ยวตื่นเต้น
สามารถแยกออกจากตัวเองที่ขี้ขลาดได้ตลอดไป
เขาแทบไม่สามารถต้านทานการล่อลวงได้
ใช่แล้ว ต้องค้นหาน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ แล้วเราต้องพบน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ให้ได้ ดวงตาของเหวินเสี่ยวเป็นประกาย