ไหปีศาจ - บทที่ 496 การเตรียมการ
บทที่ 496 การเตรียมการ
บทที่ 496
การเตรียมการ
ทีมล่าสัตว์ต่าง ๆ ที่อยู่โดยรอบต่างสับสน
ทีมทะลวงน้ำแข็งที่แม้แต่ตระกูลขุนนางในมณฑลเสิ่นชุนก็ยังให้ความเคารพมากที่สุด มันจึงไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะต้องทำตัวต่ำต้อยถึงขนาดนี้
พวกเขาดูวู่วาม และมีท่าทางดูเหมือนกำลังคิดทบทวนอยู่ตลอดเวลา เพราะพวกเขาไม่กล้าพูดอะไรที่อาจจะทำให้เด็กหนุ่มตรงหน้าขุ่นเคืองใจ
“สุภาพบุรุษ ท่านเจ้าของร้านกำลังรอการกลับมาของท่าน” เซาเสี่ยวเจีย ถามอย่างระมัดระวัง “ท่านสะดวกไปนั่งพักที่ร้านค้าสีฟางก่อนไหมขอรับ”
เขาและเหล่าบรรดาน้องชายที่อยู่ข้างหลังเขาต่างเข้าใจดีว่าลั่วอู๋นั้นน่ากลัวเพียงใด
ในตอนที่พวกเขาแล่นเรือผ่านพื้นที่ต้องห้ามไปสู่ทะเลเหนือสุดขอบ
ด้วยความโอ้อวดของพวกเขา ที่หวังพึ่งพาคนอื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์
ทำให้พวกเขาในตอนนี้มียาพิษอยู่ในร่างกาย และลั่วอู๋ก็คือผู้ที่มีสิทธิ์ในการฆ่าพวกเขาได้ทุกเมื่อ
ถ้าพวกเขาทำให้ลั่วอู๋โกรธ พวกเขาจะต้องตายในทันที
ลั่วอู๋ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่เป็นไร ว่าแต่การพัฒนาร้านค้าสีฟางเป็นยังไงบ้าง ? ไม่มีอะไรผิดปกติใช่ไหม?”
“ไม่ขอรับ ไม่มีอะไรผิดปกติ” เซาเสี่ยวเจียพูดอย่างรีบร้อน
ต่อมาเขาก็ได้บอกลั่วอู๋เกี่ยวกับการเติบโตอย่างรวดเร็วของร้านค้าสีฟาง ซึ่งทำให้ลั่วอู๋พอใจมาก
ลั่วอู๋ไม่ต้องการให้ ร้านค้าสีฟางยุ่งเกี่ยวกับสำนักสำนักโล่พิทักษ์ ในขณะนี้ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้ร้านค้าทั้งสองของเขาพัฒนาอย่างอิสระโดยไม่มีการแทรกแซง
“ ดี ๆ ทำต่อไป ๆ ไปกันเถอะ” ลั่วอู๋พูดอย่างใจเย็น “เจ้าต้องการปลาผีค้างคาวสินะ ข้าคงไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมันแล้ว ข้ายกให้เจ้า”
ลั่วอู๋เรียกปลาผีค้างคาวออกมาและให้มันรออยู่ที่ท่าเรือ
มันไม่มีประโยชน์กับเขาในอนาคตเท่าไหร่
เพราะเขาคงไม่น่าจะได้ออกเดินทางในทะเลไปอีกนาน
“ขอบคุณสำหรับรางวัล” เซาเสี่ยวเจีย มีความสุขในใจ
เนื่องจากมันเป็นของขวัญ มันจึงถือเป็นของของ เขา
ปลาผีค้างคาวตัวนี้ เพียงเห็นก็สามารถรับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่ามันเป็นปลาทะเลที่สมบูรณ์แบบ หลังจากเชื่องแล้ว มันก็น่าจะมีมูลค่ามหาศาล
เมื่อลั่วอู๋และพรรคพวกเดินจากไป
เซาเสี่ยวเจีย และสมาชิกทีมล่าสัตว์ของเขาก็โล่งอกโล่งใจ
พวกเขายังจำได้ดีว่า ลั่วอู๋ ฆ่าหวังซาน ด้วยดาบได้แบบไหน มันยังคงทิ้งภาพติดตาพวกเขาไว้ไม่รู้ลืม
เมื่อเผชิญหน้ากับลั่วอู๋ พวกเขาจึงรู้สึกกดดันไม่น้อย
หลังจากที่ ลั่วอู๋ จากไป เซาเสี่ยวเจีย ก็กลับไปมีท่าทางที่เย่อหยิ่งเหมือนเดิมและสั่งให้คนของเขาทำสิ่งต่างๆ “เอาปลาผีค้างคาวตัวนี้กลับไป”
ผู้คนที่สงสัยต่างเขามาถาม
“ท่านเซา เด็กหนุ่มพวกนั้นคือใครกัน?”
“ตระกูลใหญ่ที่พวกเรายังไม่เคยเจอมาก่อนงั้นเหรอ ?”
“พวกเขาเป็นตระกูลใหญ่แบบไหนกันถึงคุ้มค่ากับการนอบน้อมของท่าน?”
เซาเสี่ยวเจียมองไปที่พวกเขาเหล่านั้นที่มาถามด้วยแววตาอันโกรธเกรี้ยวและไม่อดทนจ้องมองต่อ “พวกเขาจะเป็นใครไม่สำคัญ แต่พวกเขาสามารถเข้าไปในพื้นที่ทะเลต้องห้ามได้ สบาย ๆ และเข้าไปถึงยังส่วนลึกของทะเลเหนือสุดขอบ”
หัวใจของทุกคนต่างเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ไม่จริงน่า ? มีพื้นที่ในทะเลเหนือสุดขอบที่ไกลไปกว่านั้นจริงๆหรือ?
“ แต่พวกเขาดูเด็กมากเลยนะ” ใครบางคนกระซิบ
เซาเสี่ยวเจีย สำลัก “เด็กงั้นเหรอ? พวกเจ้าไม่สามารถสู้กับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ในกลุ่มของเขาได้ด้วยซ้ำ เชื่อหรือไม่ว่าพวกเขาล้วนมีเป็นผู้มีพรสวรรค์ชั้นยอด”
ฝูงชนต่างเงียบกริบ
พวกเขาเข้าใจได้ในทันทีว่าพรรคพวกลั่วอู๋นั้นทรงพลังมาก
เซาเสี่ยวเจีย กล่าว “เมื่อกี้พวกเจ้าได้ทำให้ พวกเขาขุ่นเคืองรึเปล่า ? พวกเจ้าควรยอมรับโดยทันทีนะถ้าทำ ข้าจะพาพวกเจ้าไปขอขมา ถ้าข้ารู้ว่าว่าใครทำให้พวกเขาขุ่นเคืองล่ะก็ มันจะไม่จบแค่โทษในการก่ออาชญากรรมแน่”
“ไม่มี ไม่มี”ฝูงชนต่างส่ายหัวด้วยความเร่งรีบและดูมีความสุขกันมาก
คนอย่างพวกเขามักจะไม่ยั่วยุลูกคนรวยมั่วซั่ว เพราะใครจะรู้ว่าถ้าหากพวกเขาทำเช่นนั้นตนเองจะเผลอไปยั่วโมโหผู้อาวุโสระดับสัตว์ประหลาดที่คุ้มครองคนรวยเหล่านั้นด้วยรึเปล่า อย่างมากพวกเขาก็แค่พูดนินทาอย่างลับๆ
แน่นอนว่าครั้งนี้พวกเขาไม่มีใครคาดคิดเลยว่าเป้าหมายในการเยาะเย้ยของพวกตนจะเป็น กลุ่มสัตว์ประหลาดวัยเยาว์
……
……
ร้านค้าสีฟางนั้นยังคงตั้งอยู่ที่เดิม
ตอนนี้มันไม่ใช่ร้านอันทรุดโทรมในอดีตอีกต่อไป ตัวร้านได้รับการขยายขึ้นมาหลายร้อยเท่า ทั้งสุกใสและมีสีสัน มีลูกค้าหลั่งไหลเข้ามาไม่สิ้นสุด
อย่างไรก็ตามที่นี่ก็ยังมีโกดังเก่าเล็ก ๆ ซึ่งเป็นของร้านค้าสีฟางเดิมอยู่เสมอ
ในโกดังเก่านั้นมีของใช้จิปาถะที่ไร้ค่าวางระเกะระกะ และรองเท้าเหินฟ้าใหม่เอี่ยมคู่หนึ่ง วางไว้ในชั้นที่โดดเด่นที่สุด
ฮวงเสี่ยวหยวนไม่อนุญาตให้ใครได้เข้าไปในโกดังขนาดเล็กแห่งนี้
หลังจากผ่านประสบการณ์ การทดสอบแห่งชีวิตและความตาย ตอนนี้ฮวงเสี่ยวหยวนก็สงบขึ้นมาก แม้ว่าเขาจะยังเด็กอยู่ แต่เขาก็มีแววตาที่ไม่เหมือนเด็กอายุ 11 ขวบ
หลายครั้งเขามักถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าแสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่
แต่ฮวงเสี่ยวหยวนก็ไม่ได้สนใจ
ถ้าเขาทนไม่ได้กับการใส่ร้ายแค่นี้ เขาก็คงไม่ต้องทำธุรกิจกันพอดี
“เขาไม่กลับมากับเจ้างั้นเหรอ เข้าใจแล้ว” ฮวงเสี่ยวหยวน ได้ยินรายงานของ เซาเสี่ยวเจีย และถอนหายใจด้วยความผิดหวัง
การที่ลั่วอู๋ไม่มาหาเขา ทำให้เขารู้สึกประหม่าเล็กน้อย
ร้านค้าสีฟาง กำลังพัฒนาไปได้ดี แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาที่เขาต้องบริหารร้านค้าขนาดใหญ่เช่นนี้ แม้ว่าการตัดสินใจต่าง ๆ ทั้งหมดจะพิสูจน์ได้ด้วยผลลัพธ์แล้วว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง แต่เขาก็ยังไม่มั่นใจนัก
ฮวงเสี่ยวหยวน สั่งให้ผู้คุ้มกันที่อยู่รอบตัวเขาออกไปแล้วทิ้งให้เขาอยู่ในห้องเพียงคนเดียว
ทันใดนั้นแสงสีขาวก็สว่างวาบขึ้น
จากนั้นลั่วอู๋ก็ปรากฏตัวขึ้นมาในห้อง
“ท่านอาจารย์” ฮวงเสี่ยวหยวน รู้สึกประหลาดใจราวกับว่าเขาได้พบเทพเจ้า
ลั่วอู๋ยิ้มและชื่นชมเขา “ที่ผ่านมาเจ้าทำได้ดีมาก”
ฮวงเสี่ยวหยวน เป็นเหมือนเด็กที่ได้รับขวัญกำลังใจ เขามีความสุข ปากของเขาอดไม่ได้ที่จะยกขึ้นมาตามธรรมชาติ
“ทำต่อไปล่ะ” ลั่วอู๋ กล่าว
ฮวงเสี่ยวหยวน รวบรวมรอยยิ้มและพูดอย่างไม่สบายใจ “ข้าเกรงว่าข้าจะทำผิดพลาด”
“ฮ่าฮ่าฮ่า นี่มันไม่เหมือนตอนก่อนหน้านี้เลย เมื่อก่อนเจ้าทะเยอทะยานมากกว่านี้” ลั่วอู๋พูดติดตลกเพื่อคลายความกังวลใจของเขาแล้วจึงพูดต่อ “ถ้าเจ้าทำผิดพลาดก็ไม่เป็นไร ต่อให้มีความเสียหาย มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ถ้าเจ้ากอบกู้สถานการณ์กลับมาได้ จงอย่ากลัวความล้มเหลว เจ้ามีเงินทุนเพียงพอที่จะล้มเหลว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฮวงเสี่ยวหยวน ก็มีความมั่นใจ
ใช่แล้ว ด้วยเงินทุนที่แข็งแกร่งเช่นนี้ เขาไม่มีอะไรต้องกังวลเกี่ยวกับความล้มเหลว
มันไม่ใช่เรื่องใหญ่
“ท่านอาจารย์ทำไมท่านไม่กลับมากับพรรคพวกเซาเสี่ยวเจียล่ะ?” ฮวงเสี่ยวหยวน ถาม
ลั่วอู๋ ส่ายหัว”ข้าไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าข้ามีอะไรเกี่ยวข้องกับร้านค้าสีฟาง เจ้าเป็นเหมือนหลักประกันของข้า ข้าจึงไม่สามารถเปิดเผยได้ตามใจต้องการ”
ฮวงเสี่ยวหยวน ตกใจ เขาไม่คาดคิดว่าเขาจะสำคัญกับอาจารย์ของเขามากขนาดนี้
“แล้วเรื่องของสำนักโล่พิทักษ์ล่ะ … ” ฮวงเสี่ยวหยวน ถามอย่างลังเล
“มันก็เหมือนกัน เจ้าต้องแยกกับ สำนักโล่พิทักษ์ มันจะดีกว่า ถ้าไม่มีการติดต่อทางธุรกิจกับทางนั้น”
ฮวงเสี่ยวหยวน พยักหน้า “เข้าใจแล้ว”
หากเป็นเพียงเพื่อธุรกิจ ลั่วอู๋ นั้นสามารถเปิดร้านสาขาของสำนักโล่พิทักษ์ที่นี่ได้ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องสนับสนุน ร้านค้าสีฟาง
แต่ลั่วอู๋นั้นหวังว่าเขาจะสามารถรักษาหลักประกันนี้ไว้ได้มาก หากเขามีปัญหาในอนาคต เขาจะได้หมดหนทาง
ต่อมา ลั่วอู๋ ได้ทิ้งยาเม็ดกระต่ายหยกและแร่มิกะไว้เพื่อช่วย ร้านค้าสีฟาง สร้างประตูห้วงมิติใหม่ซึ่งจะนำไปสู่ที่อยู่อาศัยของ ลั่วอู๋ ในสำนักเฉียนหลง
“จากนี้ไปถ้ามีคนส่งยาปีกสีครามแห่งความมืดมา เจ้าต้องรีบส่งมันให้ข้าในทันที” ลั่วอู๋ กล่าว
ฮวงเสี่ยวหยวน พยักหน้า
“นี่คือหินคราม” ลั่วอู๋หยิบหินครามออกมาและกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “สิ่งนี้มีค่ามากสำหรับคนในทะเลเหนือสุดขอบ มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ จงอย่าให้คนนอกได้เห็นมันง่ายๆ ที่นี่ยังมีปรมาจารย์จากตระกูลเฉินอยู่ ”
“ขอรับ” ฮวงเสี่ยวหยวน กล่าว
ตระกูลเฉินของเมืองหลวงได้ส่งปรมาจารย์ระดับทองขั้นสูงมาอยู่ในร้านค้าสีฟางโดยเฉพาะ
“หากเจ้าพบปัญหาที่ไม่อาจแก้ไขได้จงมอบหินครามนี้ให้กับเขา บางทีเจ้าอาจจะสามารถแก้ปัญหาที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกได้ด้วยวิธีนั้น” ลั่วอู๋ กล่าว
ฮวงเสี่ยวหยวน พยักหน้าอีกครั้ง
หลังจากอธิบายทุกอย่างครบตามกำหนดแล้วลั่วอู๋ก็พร้อมที่จะจากไป
“มันไม่ถูกต้องที่จะตัดสินคนจากรูปร่างหน้าตา แต่มันก็มีคนแบบนั้นอยู่มากในโลกนี้ ถ้าเจ้าไม่กินเนื้อสัตว์ให้มากขึ้น ในอนาคตเจ้าก็จะยังดูผอมเกินไปและถูกดูถูกได้ง่าย” ลั่วอู๋ยิ้มและทิ้งประโยคสุดท้ายเอาไว้
หลังจากนั้นลั่วอู๋ก็กลายเป็นแสงสีขาวและหายไป
ฮวงเสี่ยวหยวนขาดสารอาหารมาตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าเขาจะไม่ได้เตี้ยเท่าไหร่ แต่เขาก็ดูผอมมาก
อย่างไรก็ตามฮวงเสี่ยวหยวนนั้นเป็นคนรอบคอบ
“ใครก็ได้ขอเนื้อวัวให้ข้าสามก้อนที”ฮวงเสี่ยวหยวนตะโกน
“แล้วก็…”
“ขอหนังสือทักษะศิลปะการต่อสู้โบราณให้ข้าด้วย”
“ข้าจะไปซ้อมดูหน่อย”