ไหปีศาจ - บทที่ 549 สังหารเทพพิทักษ์เวหา
บทที่ 549 สังหารเทพพิทักษ์เวหา
บทที่ 549
สังหารเทพพิทักษ์เวหา
ถ้าไม่ใช่เพราะการก่อกบฏในครั้งนี้ ลั่วอู๋ก็คงจะไม่รู้ว่าองค์จักรพรรดินั้นมีบารมีและอำนาจสูงถึงขั้นนี้
ทุกอย่างดูเหมือนจะสงบลงในชั่วอึดใจ
องค์จักรพรรดิสามารถระงับสงครามได้อย่างง่ายดาย หากเขาต้องการ
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้หัวใจของลั่วอู๋ก็เย็นชา ร่างกายของเขาสั่นสะท้านด้วยความโกรธ
“เห็นได้ชัดว่า เจ้ามีความสามารถถึงขนาดนี้ แล้วทำไมเจ้าถึงแสร้งทำเป็นป่วย!”
“แม้ว่าเจ้าจะกล้าหาญ แต่เจ้าก็ไม่ควรพูดดูหมิ่นองค์จักรพรรดิเช่นนั้น” คำตำหนิอย่างชอบธรรมออกมาจากปากของ เฒ่าชู
ตอนนี้ลั่วอู๋เข้าใจแล้วว่าทำไมชายชราคนนี้ถึงถูกคนเรียกว่าหยิ่งยโสหัวสูง และไม่เป็นที่ชื่นชอบของคนอื่น ๆ
เขามันช่างอวดดีจริงๆ
เขาช่วยอีกฝ่ายเอาไว้แท้ ๆ แต่กลับไม่สามารถแม้แต่จะพูดถามเนี่ยนะ?
“ไปให้พ้น!” ลั่วอู๋พูดออกมาอย่างเย็นชา
เฒ่าชูเกือบตายด้วยความโกรธของลั่วอู๋
ขุนนางคนหนึ่งลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวอย่างอ่อนโยน “การจะขัดขวางแผนการตลอดสิบปีขององค์ชายเล็ก นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย องค์จักรพรรดิต้องการใช้โอกาสนี้ เพื่อให้กลุ่มผู้สนับสนุนทั้งหมดขององค์ชายปรากฏตัวขึ้น เพื่อที่จะตัดอำนาจในการจัดการของเขาทิ้งโดยสิ้นเชิง เพื่อไม่ให้แมลงเม่าเหล่านั้นส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของอาณาจักร”
“นั้นไม่ใช่ธุระของข้า” เมื่อฉันได้ยินเช่นนั้นแววตาของลั่วอู๋ก็ยิ่งโกรธมากขึ้น “คนของข้าตายหมดแล้ว! ตายกันหมด! ทำไมคนของข้าต้องมาตายเพราะแผนการทางการเมืองของเจ้าด้วย ข้าไม่คิดเลยว่าตัวเองจะต้องมาสูญเสียหลาย ๆ อย่างเพื่อปกป้องอาณาจักรและจักรพรรดิแบบนี้! ”
องค์จักรพรรดิมองไปที่ลั่วอู๋และเข้าใจในความรู้สึกโกรธของเขา
ขุนนางต่างรู้สึกไม่สบายใจ
ปัญหาส่วนมากที่หลี่ซวนซงก่อขึ้น ได้รับการแก้ไขโดยลั่วอู๋
แต่เขานั้นเป็นขุนนางที่สำนึกบุญคุณ เขาจึงไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองถูกลงโทษได้เพราะคำพูดโกรธเพียงไม่กี่คำ อย่างไรก็ตามหากเขาปล่อยให้สถานการณ์เป็นแบบนี้ต่อไป ลั่วอู๋ อาจจะมีหัวใจที่ดื้อรั้นและกลายเป็นตัวแปรที่สั่นคลอนเสถียรภาพของอาณาจักร
ไม่มีใครในที่นี้สามารถปฏิเสธศักยภาพของลั่วอู๋ได้
เพราะทุกคนต่างได้เห็นวิธีการต่าง ๆ ของ ลั่วอู๋ในการรับมือสถานการณ์ต่าง ๆ นับประสาอะไรกับผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรทั้งสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา
แม้ว่า หลี่ซวนซง จะก่อกบฏ แต่เขาก็ยังต้องการให้อาณาจักรนี้เป็นจักรวรรดิที่เข้มแข็งต่อไป ดังนั้นเขาจะไม่ยุ่งวุ่นวายและจะไม่ใช้วิธีการที่รุนแรงตามอำเภอใจ
แต่ลั่วอู๋นั้นแตกต่างออกไป
ผู้ที่ถูกความเกลียดชังบังตาเช่นเขาจะไม่สนใจสิ่งใด
องค์จักรพรรดิกล่าวอย่างช้าๆ “พวกเขาปลอดภัยดี”
หากไม่มีคำพูดนี้ ลั่วอู๋ อาจระเบิดความโกรธออกมา
ตึก ตึก ตึก ตึก !
หัวใจของลั่วอู๋เต้นระรัว
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” ลั่วอู๋ถามอย่างรวดเร็ว
ขุนนางคนหนึ่งยิ้มขึ้น “ไม่ต้องกังวลไป ทุกคนในสำนักโล่พิทักษ์ของเจ้านั้นปลอดภัยดี ข้าได้ส่งคนไปช่วยเหล่าผู้คนทั้งหมดที่ถูกกองกำลังของคฤหาสน์ขององค์ชายจับตัวไปมาแล้ว”
ราวกับว่ามีถังน้ำเย็น เทลงมาบนหัวของลั่วอู๋
ความโกรธของเขาดับลงในชั่วอึดใจ
ด้วยอารมณ์ที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ทำให้ลั่วอู๋ถึงกับรู้สึกเวียนหัว “ที่เจ้าพูดนั่น เรื่องจริงงั้นเหรอ?”
“แน่อยู่แล้วสิ” องค์จักรพรรดิมองไปที่ ลั่วอู๋
“เจ้าหนุ่มอย่าได้มาดูถูกความสามารถของข้าในการควบคุมอาณาจักรนี้”
ในที่สุดลั่วอู๋ก็ยอมปล่อยเขาไป
ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ ที่เหล่าขุนนางบอกกับองค์จักรพรรดิว่าพวกเขาทำงานหนักเพื่อองค์จักรพรรดิ ปรากฏว่าขุนนางเหล่านี้ทำอะไรหลายอย่างอยู่หลังฉาก
บางทีการช่วยตัวประกัน อาจจะเป็นเพียงหนึ่งในสิ่งที่ขุนนางเหล่านั้นถูกมอบหมายให้ทำ
คนเหล่านั้นมองไปที่ลั่วอู๋อย่างประหลาดใจ
น้ำเสียงขององค์จักรพรรดินั้นไม่เรียบง่ายเหมือนปกติ ดูเหมือนว่าเขาจะให้ความสำคัญกับลั่วอู๋มาก จริง ๆ หรือว่าข่าวลือที่ว่าลั่วอู๋จะกลายเป็นลูกเขยขององค์จักรพรรดินั้นคือเรื่องจริง?
หลี่ซวนซง รู้สึกเป็นทุกข์
แผนการทุกอย่างของเขาถูกมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง!
แต่แล้วเขาก็เกิดความเคียดแค้นอย่างรุนแรง เขาที่เพิ่งสูญเสียแผนการไป ได้แต่คิดว่าถ้าเขาได้เป็นจักรพรรดิเขาเองก็น่าจะทำแบบนั้นได้เช่นกัน
เขามั่นใจว่าเขาสามารถขึ้นเป็นจักรพรรดิได้ด้วยตนเอง และสามารถควบคุมทั้งอาณาจักรได้ในระดับเดียวกัน
เพราะความมั่นใจในตัวเองของเขา เขาจึงมีอารมณ์กับสิ่งต่าง ๆ มาก
แต่องค์จักรพรรดินั้นไม่มีเวลามาสนใจอารมณ์ของตัวเขาเอง เขาขึ้นเป็นจักรพรรดิและเอาชนะเหล่าศัตรูมาตั้งแต่สมัยโบราณ
องค์จักรพรรดิมองไปทางเทพพิทักษ์เวหา ที่กำลังต่อสู้กับ ฉูจานเทียน และ หลินกุย อยู่
สถานการณ์ของเทพพิทักษ์เวหานั้นยังไม่ได้ดีขึ้น แต่กลับกลายเป็นสถานการณ์ที่แย่ลงด้วยซ้ำ ตามหลักแล้วมันควรจะใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจในการกำจัดผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรทั้งสองคน
เทพพิทักษ์เวหาไม่ได้รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติบนท้องฟ้าเลย เพราะมันกำลังจับจ้องไปที่ศัตรูทั้งสองตรงหน้าของมัน
เป็นที่ชัดเจนว่ามนุษย์ทั้งสองนี้ไม่ได้มีพลังวิญญาณเทียบเท่ากับตัวมัน แต่มีดวิญญาณสีดำของมนุษย์คนหนึ่งนั้นสามารถป้องกันการโจมตีอันรุนแรงของมันได้เสมอ ในขณะเดียวแก่นแท้ทักษะแห่งความตายของมนุษย์อีกคนเองก็มักจะทำให้รู้สึกอึดอัดอย่างมาก นำไปสู่การสึกหรอในความแข็งแกร่งของมันอย่างต่อเนื่อง
“กรร!”
เทพพิทักษ์เวหาคำราม
มันใช้ทักษะระดับ SS
ในชั่วพริบตานั้นคลื่นเสียงอันน่ากลัวก็ได้ทำลายพื้นทั้งหมด รอยแตกอันหนาแน่นกระจายออกไป ทำให้ท้องฟ้าเหนือพระราชวังดูเหมือนจะพังทลายลงมา
พลังวิญญาณอันรุนแรงเช่นนี้ราวกับว่ามันมีอานุภาพเพียงพอที่จะทำลายล้างโลกได้จริงๆ
เงามังกรทองทั้งห้าที่อยู่เบื้องหลังองค์จักรพรรดิเริ่มปั่นป่วนอย่างไม่สงบ พวกมันดูโกรธเกรี้ยวมาก
ว่ากันว่ามีเพียง หยู่ เท่านั้นที่สามารถปราบปรามมังกรแก่นแท้ได้ในบรรดาสัตว์วิญญาณระดับจักรพรรดิทั้งหมด
อย่างไรก็ตามสัตว์วิญญาณ ที่เรียกว่า หยู่ นั้นได้ตายลงไปแล้ว และแก่นวิญญาณของมันก็ได้ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนแรกได้กลายเป็นเทพพิทักษ์เวหา อีกส่วนได้กลายเป็นเทพสถิตธรณี และส่วนสุดท้ายได้หายสาบสูญไป มันจึงไม่สามารถฟื้นขึ้นชีพกลับมาเกิดใหม่ได้อีก
“ดูเหมือนว่าข้าจะต้องจัดการกับเจ้าก่อนเป็นอันดับแรก” องค์จักรพรรดิปลดปล่อยพลังวิญญาณมังกรอันยิ่งใหญ่ให้ระเบิดออกมา มังกรทองพุ่งเข้าไปพันรอบตัวของเทพพิทักษ์เวหาอย่างดุเดือดด้วยโทสะ
พวกมันไม่ได้ทำตามคำสั่งขององค์จักรพรรดิด้วยซ้ำ
เพียงชั่วพริบตาสถานการณ์ที่แย่ลงด้วยทักษะของเทพพิทักษ์เวหาก็กลับตาลปัตร
เสียงคำรามของ เทพพิทักษ์เวหา ถูกทำลายลงโดยมังกรทองอย่างง่ายดาย พื้นที่เดิมที่ถูกทำให้แตกสลายถูกรวบรวมโดยแสงสีทองเข้ากับร่างของเหล่ามังกรทอง จากนั้นก็ระเบิดร่างของเทพพิทักษ์เวหาออกเป็นเสี่ยง ๆ
ฉูจานเทียน และ หลินกุย ได้แต่รู้สึกประหลาดใจ
พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าองค์จักรพรรดิจะมีพลังที่น่ากลัวถึงขนาดนี้
แม้ว่ามิติวิญญาณขององค์จักรพรรดิจะยังขึ้นไปไม่ถึงจุดสูงสุด แต่พลังในการต่อสู้นั้นหาที่เปรียบไม่ได้เลย คงมีเพียงไม่กี่คนในมิติวิญญาณระดับเพชรที่จะสามารถประมือสูสีกับเขาได้
ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรทั้งสามคนได้ปิดล้อมเทพพิทักษ์เวหา จึงเป็นเรื่องยากที่มันจะสามารถต้านทานพวกเขาได้ นอกจากนั้นมันยังพบว่า หลี่ซวนซง นั้นได้พ่ายแพ้ลงไปแล้วอีกด้วย
ช่างเป็นมนุษย์ที่ไร้ประโยชน์อะไรเช่นนี้
เทพพิทักษ์เวหาแผดเสียงคำรามอันโกรธเกรี้ยวออกมาพร้อมกับพลังทำลายที่กระจายไปทั่วพื้นที่
เสียงคำรามของมันนั้นถูกปล่อยออกมาพร้อมกับพลังในการทำลายห้วงมิติ ทำให้มันสามารถสร้างช่องว่างมิติขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย เห็นได้ชัดว่ามันพร้อมแล้วที่จะหลบหนี
“จะหนีไปไหน” องค์จักรพรรดิคำรามออกมาอย่างสง่าผ่าเผย เหล่ามังกรทองทั้งห้าต่างก็คำรามออกไปราวกับจะสังหารศัตรูให้สิ้น
เมื่อเห็นเช่นนั้นเทพพิทักษ์เวหาก็คำรามปลดปล่อยพลังอันน่ากลัวและเต็มไปด้วยพลังทำลายล้างของมันออกมา ด้วยที่มันเป็นสัตว์วิญญาณอันดุร้ายซึ่งเป็นตัวแทนของพลังแห่งการทำลายล้าง
ทว่าการโจมตีนั้นได้กลับถูกปล่อยออกมาเพื่อปิดกั้นพลังวิญญาณมังกรทองขององค์จักรพรรดิ โดยที่เขาไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่ามันจะมีทักษะแบบนี้อยู่ด้วย
เทพพิทักษ์เวหารู้อยู่แล้วว่ามันไม่มีทางชนะ มันจึงไม่ต้องการที่จะอยู่ตรงนี้อีกต่อไป ทันทีที่มันสามารถสกัดกั้นการโจมตีของผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรทั้งสามคนได้แล้ว มันก็เจาะเข้าไปในช่องว่างห้วงมิติเตรียมพร้อมที่จะหลบหนี
มีร่องรอยของความไม่พอใจปรากฏบนใบหน้าขององค์จักรพรรดิ
ไม่ช้าก็เร็วสัตว์วิญญาณตัวนี้จะต้องเป็นอันตรายต่ออาณาจักรแน่ หากเขาล้มเหลวในการสังหารมันลงที่นี่
ขณะนั้นเองก็มีเสียงของสิงโตคำรามดังก้องไปทั่วช่องห้วงมิติที่เทพพิทักษ์เวหาสร้างขึ้นลง ราวกับว่ามันเป็นกษัตริย์แห่งห้วงมิติทั้งมวล
สิงโตผู้กล้าหาญ!
เสียงคำรามของสิงโตผู้กล้าหาญผลักเทพพิทักษ์เวหาออกมาจากช่องว่างมิติกลิ้ง ลงไปกับพื้น ถล่มพระราชวังและอาคารจำนวนมาก
ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่มัน
ต่อมางูสีดำตัวยาวก็โผล่ออกมาจากห้วงมิติตาม ๆ กันมา
ลั่วอู๋จำได้ในทันที
นั่นมันสัตว์วิญญาณของ เฉินหมิงหยู่ ไม่ใช่เหรอ!
แน่นอนว่ามีสองร่างยืนอยู่บนงูตัวนั้น เฉินหมิงหยู่ และ หลี่หวู่หยวน รองประธานของสำนักเฉียนหลงนั่นเอง
“ในที่สุดก็มาถึงเมืองหลวงของจักรวรรดิซะที” เสียงของ หลี่หวู่หยวน ดังก้องผ่านหูของทุก ๆ คน “นี่มันสัตว์วิญญาณแบบไหนกันนะ? ถึงกับทำให้ข้ากลัวจนแทบจะต้องหนีกลับไปในห้วงมิติแห่งความว่างเปล่าอันไม่มีที่สิ้นสุดได้”