ไหปีศาจ - บทที่ 554 ห้ามกิน
บทที่ 554 ห้ามกิน
บทที่ 554
ห้ามกิน
ในมิติไห
ลั่วอู๋กำลังประเมินผลกำไรทั้งหมดที่ได้รับมาล่าสุดของเขา
ในการต่อสู้กับเย่เฟิง เขาได้สัมผัสถึงแก่นแท้ของทักษะกลืนกันโดยบังเอิญ และด้วยการที่เขาได้ก้าวเข้าสู่แก่นแท้ทักษะของกลืนกินในครั้งนั้น พอลั่วอู๋ได้เฝ้าดูการต่อสู้อันดุเดือดของผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรกับเทพพิทักษ์เวหา และได้รู้สึกถึงลมปราณอันรุนแรงของมัน เขาจึงสามารถเข้าสู่สถานะอันศักดิ์สิทธิ์ ไปถึงลำดับการทำความเข้าใจในแก่นแท้ของทักษะแห่งการทำลายล้างในที่สุด
ความรู้สึกทั้งสองอย่างในตอนนั้นล้วนเป็นทางเข้าสู่ความเข้าใจในแก่นแท้ของทักษะ
การเข้าถึงแก่นแท้ของทักษะ สามารถแบ่งขั้นตอนออกได้เป็นห้าขั้นตอนโดยคร่าวๆ ได้แก่ การเริ่มต้น ความเข้าใจเบื้องต้น การหยั่งรู้ ความเชี่ยวชาญ และการเชี่ยวชาญอย่างแท้จริง
แต่ละขั้นตอนมีความแตกต่างกันมาก ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่าแตกต่างกันระดับฟ้ากับเหวเลยก็ว่าได้
แต่แก่นแท้ของทักษะนั้นจะมีผลเพียงเล็กน้อยจนกว่าจะถึงขั้น “ความเชี่ยวชาญ”
ยกตัวอย่างเช่นทักษะ ลมหายใจมังกร
ทักษะนี้เกี่ยวพันกับแก่นแท้ทักษะแห่งการทำลายล้าง แต่มันกลับได้รับความเชี่ยวชาญเพิ่มขึ้นมาเพียงเล็กน้อย ในขั้นตอนของการเริ่มต้น และความเข้าใจเบื้องต้น
ข้อดีเพียงอย่างเดียวในตอนนี้คือเขาสามารถใช้ความรู้ด้านแก่นแท้ทักษะแห่งการทำลายล้างเพื่อปลดปล่อยการโจมตีที่มีพลังทำลายล้างออกมาได้
เช่นการทำลายแอปเปิลที่วางอยู่โดยไม่ต้องแตะ
ทว่าในการต่อสู้นั้น การเสริมพลังเหล่านี้เรียกได้ว่าเกือบจะเท่ากับศูนย์
แต่มันก็เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่า
เขาจำเป็นต้องพึ่งพาทักษะเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป
แม้ลมหายใจมังกรจะทรงพลังมาก แต่มันก็สิ้นเปลืองและไม่ยืดหยุ่นเท่าไหร่ ลั่วอู๋ไม่สามารถคาดหวังให้ทักษะลมหายใจมังกรของเขาทำลายศัตรูโดยไม่ทำลายอาคารที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงได้
ทว่าถ้าหากเขาเข้าถึงแก่นแท้ทักษะลึกซึ้งลงไปมากกว่านี้ เขาก็น่าจะสามารถควบคุมพลังวิญญาณของตัวเองได้มากขึ้น ทำให้เขาสามารถกำหนดขอบเขตพลังวิญญาณ การใช้ทักษะ และแม้แต่ขอบเขตของการทำลายล้างได้ด้วยตนเอง
เมื่อมีความเข้าใจในแก่นแท้ของทักษะถึงระดับหนึ่ง มันไม่เพียงแต่จะช่วยปรับปรุงพลังของทักษะนั้นเป็นอย่างมาก แต่ยังช่วยปลดปล่อยการโจมตีประเภทอื่น ๆ ได้ โดยใช้พลังทำลายล้างนั้นมาเป็นพื้นฐาน
ยกตัวอย่างเช่นการใช้พลังแห่งการทำลายล้างมาสร้างเป็นโล่
แต่แน่นอนว่าคงไม่มีใครทำอะไรแบบนั้น
แก่นแท้ทักษะแห่งการทำลายล้าง นั้นเป็นพลังวิญญาณสายโจมตีตามชื่อ มันมุ่งเน้นไปที่การเอาชนะอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว จึงไม่เหมาะกับการป้องกัน
เขาจำเป็นต้องเรียนรู้แก่นแท้ทักษะ จากนั้นก็ต้องพยายามก้าวข้ามข้อจำกัดนั้นไปให้ได้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ต่อจากนี้ลั่วอู๋จะสามารถพัฒนาความสามารถต่อไปได้ตลอดเวลา
แต่เขากลับรั้งเอาไว้
เนื่องจากกระบวนการก้าวหน้าทางมิติวิญญาณนั้นเป็นการพัฒนาตัวตนในระดับสิ่งมีชีวิต มันจึงเป็นโอกาสอันยอดเยี่ยมในการทำความเข้าใจในตัวตนของตัวเอง
ยิ่งมีแก่นแท้ทักษะมาใช้ร่วมด้วย ผลประโยชน์ที่ได้ก็จะมากขึ้นไปอีก
เพราะแก่นแท้ของพลังวิญญาณเองก็เกี่ยวข้องกับความเข้าใจในแก่นแท้ของทักษะ
พลังวิญญาณของผู้คนนั้นมีจำกัด ผู้ใช้พลังวิญญาณจึงไม่สามารถเข้าถึงแก่นแท้ของทักษะหลาย ๆ อย่างได้พร้อม ๆ กัน
เมื่อนานมาแล้วมีชายคนหนึ่งที่หยิ่งผยองและเต็มไปด้วยความมั่นใจ ในตอนที่เขาไปถึงจุดสูงสุดของมิติทองขั้นสูง ในตอนที่เขาได้รับการแนะนำให้รู้จักกับเกี่ยวกับแก่นแท้แห่งทักษะวิญญาณทั้งเจ็ดระดับ พวกเขาได้พยายามเรียนรู้แก่นแท้ของทักษะหลาย ๆ อย่างพร้อม ๆ กัน เป็นผลให้ในกระบวนการพัฒนาพวกเขาฟุ้งซ่านมากเกินไป จนไม่ได้อะไรกลับมาเลย
การเข้าใจแก่นแท้ทักษะหนึ่งอย่างให้เชี่ยวชาญนั้นดีกว่าการพยายามเรียนรู้แก่นแท้ของทักษะหนึ่งพันข้อพร้อม ๆ กัน
แก่นแท้ของทักษะนั้นสำคัญที่คุณภาพมากกว่าปริมาณ
หากสามารถเข้าใจแก่นแท้ของทักษะราว ๆ สามอย่างก็ถือมากเพียงพอแล้ว ดังนั้นลั่วอู๋จึงต้องการเตรียมตัวเองให้พร้อมมากกว่านี้เสียก่อน
“เมื่อไปถึงระดับทองขั้นสูง ข้าก็จะสามารถเปิดครึ่งบนของหอคอยสีขาวได้ ข้าไม่รู้เลยว่ามันจะมีพลังวิญญาณแบบนั้นเก็บเอาไว้อยู่” ลั่วอู๋รู้สึกความคาดหวังกับบางอย่างที่อยู่ข้างบนนั้น
ภารกิจเร่งด่วนในตอนนี้ของเขา คือการเรียนรู้แก่นแท้ของทักษะเชิงเข้าหาศัตรู หรือแก่นแท้ของทักษะมิติเวทมนตร์ ซึ่งมีประโยชน์ในการควบคุมพื้นที่
แต่ทว่าเขายังไม่มีเบาะแส เกี่ยวกับมันแต่อย่างใด
ในขณะนั้นเองก็มีเสียงคำรามต่ำดังมาจากนอกบ้าน
มันเป็นเสียงที่เหมือนกับเสียงร้องของเทพพิทักษ์เวหา แต่พลังวิญญาณของมันนั้นอ่อนแอลงไปกว่าพันเท่า
“ แปลกจัง ข้าไม่ได้สั่งให้ไป่ฉีจัดการควบคุมมันเอาไว้หรอกเหรอ” ลั่วอู๋เดินออกจากห้องฝึกด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เทพพิทักษ์เวหานั้นเหมือนสุนัขตัวเล็กสีแดงที่โกรธทุกสิ่งทุกอย่างไปทั่วทุกหนทุกแห่ง แต่ด้วยความเร็วของมันที่ช้าเกินไปช้าและความแข็งแรงที่อ่อนแอกว่าเดิมมาก มันจึงไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้
ถึงอย่างนั้นมันก็ยังคงสมกับที่มีชื่อว่าเทพพิทักษ์เวหา
เพราะแม้ว่ามันจะตายไปแล้ว แก่นวิญญาณของมันก็ยังมีพลังที่แข็งแกร่งมาก
“เกิดอะไรขึ้น?” ลั่วอู๋ ถาม
ไป๋ฉีที่อยู่ข้าง ๆ รายงาน “ข้าไม่สามารถระงับควบคุมมันได้ พลังวิญญาณของข้าไม่สามารถทำอะไรมันได้เลย ต้นกำเนิดแก่นวิญญาณของมันมีระดับสูงเกินไป ข้าจึงทำได้เพียงมาดักจับมันที่นี่”
“ก็นะ…” ลั่วอู๋คิด
ความจริงแล้ว มันเป็นหนึ่งในสามของสัตว์วิญญาณที่แยกออกจากหยู่ ซึ่งเป็นสัตว์วิญญาณระดับจักรพรรดิ
อย่างไรก็ตามไม่ว่ามันจะมีต้นกำเนิดแข็งแกร่งแค่ไหน ปล่อยปละละเลยยังไงมันก็ไม่สามารถหนีออกไปจากที่นี่ได้ ตอนนี้มันอ่อนแอมาก จนมันไม่สามารถทำร้ายผู้คนที่อยู่ในมิติไหได้ด้วยซ้ำ แม้แต่คนที่มีมิติวิญญาณอ่อนแอที่สุด มันก็ยังไม่สามารถเอาชนะได้
ลั่วอู๋คิดอยู่พักหนึ่งและเรียกต้าหวงมาหาเขา “ข้าจะมอบหมายให้เจ้าดูแลมันให้ดี จงอย่าปล่อยให้มันหนีออกไปไหนไกลได้ มิติไหนั้นใหญ่เกินกว่าจะหนีออกไปได้ก็จริง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ลำบากเกินไปที่ข้าจะไปตามหามันในมิติไห ข้าต้องกลับมาพบมันในตอนที่ข้าต้องการเข้าใจแก่นแท้ของทักษะแห่งการทำลายล้าง ”
หน้าที่หลักของแก่นวิญญาณเทพพิทักษ์เวหาก็คือเป็นตัวแปรที่ช่วยให้เขาเข้าใจแก่นแท้ของทักษะแห่งการทำลายล้าง
ตอนนี้ลั่วอู๋จึงไม่ได้คิดถึงการใช้ประโยชน์อื่น ๆ จากมัน นำไปสังเคราะห์? นำไปสกัด? ลืมมันไปได้เลย นั่นมันโหดร้ายเกินไป
ต้าหวงพยักหน้า
ตวนซี และ เสี่ยวกง ต่างก็มีชีวิตชีวาและกระตือรือร้นเกินไป พวกมันคงลืมหน้าที่นี้ไปในพริบตาและออกไปเล่นตามใจตนเอง ส่วนผีเสื้อปีกมายาเพลิงอมตะนั้นชอบการบินไปบนท้องฟ้ามากกว่า มันจึงไม่ชอบอยู่ในเขตของคฤหาสน์
ตัวเดียวที่มั่นคงพอจะฝากฝังหน้าที่นี้ได้ก็คงจะมีแค่ ต้าหวง?
ต้าหวงแลบลิ้นส่ายหัวส่ายหางจ้องมองไปที่แก่นวิญญาณของเทพพิทักษ์เวหา ราวกับ องครักษ์ที่กำลังจริงจังกับงาน
ด้วยคำสั่งของลั่วอู๋ มันจึงพร้อมที่จะทำงานอย่างตั้งใจ
“เจ้าอย่าได้เผลอกินมันเข้าไปเชียวนะต้าหวง” ลั่วอู๋เตือน
ต้าหวง ดูไร้เดียงสาและกระซิบสองสามครั้ง นายน้อยท่านคิดว่าข้าเป็นสุนัขที่ตะกละขนาดนั้นในสายตาของท่านเลยเหรอ?
ลั่วอู๋ หัวเราะเยาะ “ใครกันที่โลภมาก กลืนกินเลือดของงูยักษ์ จนเกือบจะระเบิดตาย”
ต้าหวงตกอยู่ในที่นั่งลำบากทันที มันมองไปรอบ ๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
ใครกัน?
ใครทำ?
เจ้าเหรอ? ตวนซีหรือเปล่า? หรือเจ้าล่ะ เสี่ยวกง เจ้ารึเปล่า?
เสี่ยวกงและผีเสื้อปีกมายาเพลิงอมตะมองหน้ากันอย่าง งงงวย
ลั่วอู๋รู้สึกขบขันกับท่าทางของต้าหวง “ก็แล้วแต่เจ้า”
หลังจากนั้นลั่วอู๋ก็กลับไปฝึกซ้อม
แก่นวิญญาณของเทพพิทักษ์เวหาถูกส่งมอบให้กับสัตว์วิญญาณทั้งสี่ โดยแน่นอนว่าต้าหวงเป็นตัวที่จริงจังกับงานนี้ที่สุด
“โฮ่งโฮ่งโฮ่ง” ต้าหวงเห่าสองครั้งพลางมองไปยังเทพพิทักษ์เวหา
สวัสดีเจ้าเป็นสุนัขพันธุ์อะไร?
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เทพพิทักษ์เวหาก็โกรธและคำรามออกมา “กรร!
ข้าไม่ใช่หมา
“ โฮ่ง!”
แต่เจ้าดูเหมือนสุนัข
“ คำราม!”
อย่าได้เหมารวมข้ากับสิ่งมีชีวิตอันต่ำต้อยเช่นนั้น
“ โฮ่ง โฮ่ง?”
ต้าหวง ยกอุ้งเท้าขึ้นและตบเทพพิทักษ์เวหา ลงบนพื้น
ตอนนี้ต้าหวงได้ไปถึงมิติวิญญาณระดับทอง มิติ10 แล้ว มันต้องการเพียงแค่โอกาสเล็กน้อย ที่จะช่วยให้มันยกระดับมิติวิญญาณขึ้นไปเท่านั้น เพียงแค่มันฟาดอุ้งเท้าลงไปก็สามารถทำให้หินก้อนใหญ่แตกได้สบาย ๆ
เทพพิทักษ์เวหารู้สึกเวียนหัวก่อนจะล้มลงบนพื้น และยืนขึ้นมาอย่างยากลำบาก
ตอนนี้มันเป็นเพียงวิญญาณที่อ่อนแอ ความแข็งแกร่งส่วนใหญ่ของมันถูกทำลายลงด้วยฝีมือขององค์จักรพรรดิ แม้ว่าแก่นวิญญาณของมันจะยังคงอยู่ดี แต่มันก็ไม่สามารถต่อสู้กับใครได้เลย
ต้าหวง ชำเลืองมองมัน “โฮ่ง โฮ่ง?”
เจ้ารู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น กับสัตว์วิญญาณตัวล่าสุดที่ทำท่าหยิ่งผยองเช่นเจ้า?
(นกโง่ที่บินอยู่บนท้องฟ้า จามออกมาทันทีที่รู้สึกว่ามีใครกล่าวถึงมัน)
เทพพิทักษ์เวหาได้แต่ก้มหัวลงเมื่อต้องเผชิญกับคำขู่ มันเป็นท่าทีเพื่อรักษาชีวิตเมื่อต้องเจอกับตัวตนที่เหนือกว่าตามสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิต
มันรู้สึกได้ถึงการคุกคามจากต้าหวง
อย่างไรก็ตามเนื่องจากมันเป็นสัตว์วิญญาณที่ดุร้ายในอดีต ความดุร้ายในสายตาของมันจึงยังคงไม่หายไปไหน
ต้าหวงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจพลางจ้องมองไปที่เทพพิทักษ์เวหา แล้วเลียริมฝีปากของมัน
มันอดคิดไม่ได้ว่าเจ้าสิ่งนี้ตรงหน้ามันจะหอมอร่อยเพียงใด
เมื่อเห็นสายตาของต้าหวง เทพพิทักษ์เวหาก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านด้วยความกลัว
เจ้าหมาตัวนี้เป็นสัตว์วิญญาณอะไรกันแน่?
ทำไมมันถึงรู้สึกเหมือนถูกคุกคามกดดันไปทั้งแก่นวิญญาณได้กัน? นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ต้าหวง กลอกตาของมันพลางนึกเสียใจ น่าเสียดายที่นายน้อยไม่อนุญาตให้มันกินอีกฝ่าย เพราะฉะนั้นตอนนี้ต้องลืม ๆ ไปก่อน มันจะยังไม่กินเทพพิทักษ์เวหาในตอนนี้
หลังจากนั้นแรงกดดันที่เทพพิทักษ์เวหารู้สึกก็หายไปในพริบตา
ตอนนี้มันจึงมันสับสนโดยสมบูรณ์