ไหปีศาจ - บทที่ 571 ผู้บัญชาการหลิงหลงและหลงเซี่ย
บทที่ 571 ผู้บัญชาการหลิงหลงและหลงเซี่ย
บทที่ 571
ผู้บัญชาการหลิงหลงและหลงเซี่ย
ร่างวิญญาณจักรพรรดิหวู่ คือร่างพลังวิญญาณอันไร้เทียมทาน ซึ่งเกิดจากควบแน่นพลังวิญญาณของผู้ใช้ศิลปะการต่อสู้ขั้นสูง
ด้วยพลังของร่างวิญญาณนี้ผู้ใช้ศิลปะการต่อสู้สามารถใช้มันพลิกแม่น้ำ ทำลายห้วงมิติ ทุบภูเขาได้ด้วยกำปั้น ว่ากันว่าเพียงแค่ออกหมัดครั้งเดียวก็สามารถทำให้ผู้ใช้วิชานี้ ข้ามผ่านภูเขาและแม่น้ำหลายพันลี้ รับสายฟ้าฟาดเขย่า และอาบหินหนืด ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เป็นไฟในดิน มันเป็นวิชาที่สามารถเสริมร่างกายแข็งแกร่งขึ้นได้จนถึงขีดสุด
ร่างวิญญาณอันแข็งแกร่งดังกล่าวของอีกฝ่ายนั้นได้ถูกผู้บัญชาการหลิงหลงทำลายลงไปแล้ว
มันจึงไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับนางอีกต่อไป
อย่างไรก็ตามนักรบที่จะทรงพลังถึงขนาดนั้นในทวีปนี้น่าจะมีอยู่เพียงไม่กี่คน นับประสาอะไรกับอันดับต้น ๆ เดาได้ไม่ยากเลยว่าอีกฝ่ายคือใคร
“หลง…หลงเซี่ย!” ลั่วอู๋โพล่งออกมา
ผู้บัญชาการหลิงหลงเหลือบมองเขา “นอกจากเขาแล้วจะมีใครได้เล่า ? ทั้งทวีปนี้มีเพียงเขาเท่านั้นที่ฝึกฝนวิชาจักรพรรดิหวู่จนสำเร็จ”
ลั่วอู๋ไม่รู้ว่าตนเองจะต้องทำสีหน้าใดกับความจริงที่เขาได้ยินเมื่อครู่
หลงเซี่ยคือคนที่สังหารตระกูลของผู้บัญชาการหลิงหลงทั้งตระกูลงั้นเหรอ?
นี่มัน ทำใจรับได้ยาก … มาก
เพราะพวกเขาเคยเป็นพันธมิตรกันมาก่อน
หัวใจของลั่วอู๋รู้สึกหนาวสั่น ผู้บัญชาการหลิงหลง ในตอนนั้นยังเป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ นางรอดมาจากความตายได้ยังไงกัน … หลงเซี่ยเองก็ดูไม่เหมือนคนที่จะมีจิตใจบิดเบือนโรคจิตนิยมเด็กเสียด้วย
“อืม เจ้าสงสัยใช่ไหมล่ะ” ใบหน้าของผู้บัญชาการ หลิงหลงดูเย็นชาลง “ตอนนั้นข้าถูกส่งไปที่บ้านของท่านป้าที่อยู่ห่างไกลออกไป ดังนั้นข้าจึงรอดมาได้ นอกจากนี้เขาเองก็ไม่ได้ทิ้งร่องรอยใด ๆ และข้าจึงไม่รู้ว่าเขาเป็นคนฆ่าตระกูลของข้าในทีแรกอีกด้วย”
ลั่วอู๋ยิ้มอย่างเชื่องช้า
เขารู้ดีว่าเขาน่าจะคิดผิด
“จุดประสงค์ของเขาก็เพื่อตามหาแก่นวิญญาณของพยัคฆ์ขาว” ผู้บัญชาการหลิงหลงกล่าวว่า “แต่เขาไม่ได้รู้เลยว่า ร่างกายของข้านั้นมีความพิเศษที่ยากจะหาได้ในรอบหมื่นปี ข้าเป็นเพียงคนเดียวในตระกูลราชวงศ์จักรพรรดิในอดีต ที่สามารถรับแก่นวิญญาณของพยัคฆ์ขาวเข้ามาในร่างได้ ตระกูลของข้าจึงผนึกแก่นวิญญาณของพยัคฆ์ขาวไว้ในร่างกายของข้าตั้งแต่เด็ก เพื่อฝึกฝนให้เป็นผู้ใช้พลังวิญญาณที่แข็งแกร่ง”
“มันเป็นวิธีผนึกที่ผิดปกติ ทำให้ไม่มีใครรู้ว่าแก่นวิญญาณของพยัคฆ์ขาว ไม่ได้ถูกเก็บเอาไว้ในคฤหาสน์ของตระกูลข้า ในตอนที่ข้าถูกส่งออกจึงไม่มีใครสนใจเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่มีอายุเพียงไม่กี่ขวบ พวกเขาไม่ได้คิดเลยว่าแก่นวิญญาณพยัคฆ์ขาวจะถูกซ่อนอยู่ในร่างของสาวน้อย”
“นอกจากนี้ถึงหลงเซี่ยจะพบข้าที่หน้าประตู แต่เขาก็เลือกที่จะลอยขึ้นไปในอากาศแล้วไปทางอื่นแทน” ผู้บัญชาการ หลิงหลงกล่าวเบา ๆ
นางพูดเหมือนมันเป็นเรื่องราวของคนอื่น น้ำเสียงของนางเรียบเฉยและดูมั่นใจมาก
ขณะนั่งฟังนางอยู่ ลั่วอู๋นั้นไม่กล้าพูดถามอะไรเท่าไหร่ เพราะเกรงว่าตนจะไปทำให้ผู้บัญชาการหลิงหลงขุ่นเคือง หากเขาพูดอะไรผิดไป เขาจึงได้แต่ทำให้ตัวเองเหมือนคนหูอื้อแล้วฟังต่อไป
ผู้บัญชาการหลิงหลงนั้นได้เปิดใจพร้อมสนทนา จากนั้นจึงพูดต่อ “ถึงแม้ว่าทั้งตระกูลของข้าจะถูกฆ่าสังหารจนสิ้น ข้าก็ไม่ได้รู้สึกเศร้ามากเท่าไหร่ เพราะแค่จะจำใบหน้าของพวกเขาข้ายังจำไม่ได้เลย แต่ยังไงซะมันก็เป็นหน้าที่ ที่ข้าจะต้องแก้แค้นการทำลายล้างตระกูลของข้า ดังนั้นข้าจึงต้องหาว่าใครคือฆาตกรขณะที่กำลังฝึกฝนไปด้วย ”
“ แน่นอนว่าข้าไม่เจอเบาะแสใด ๆ เลย”
“ทว่าในระหว่างการค้นหา ข้ากลับได้พบกับเขาโดยบังเอิญ”
“ตอนนั้นความแข็งแกร่งของเขาเหนือกว่าข้ามาก เขาได้สอนข้าหลาย ๆ อย่างเกี่ยวกับการฝึกฝน อีกทั้งยังสอนศิลปะการต่อสู้ เรียกได้ว่าในตอนนั้นข้าเป็นเหมือนกับหมาตัวน้อยที่ติดตามเขาตลอดเวลา ข้าได้เห็นตอนที่เขาสำเร็จวิชาจักรพรรดิหวู่ รวมถึงตอนที่เขาได้กลายเป็นผู้นำของหน่วยสยบมังกรเองก็ด้วย”
“เมื่อชายผู้เหมือนดั่งวีรบุรุษเช่นเขามาปรากฏตัวต่อหน้าข้าผู้ไม่มีที่พักพิง ข้าจึงได้ตกหลุมรักเขา” ผู้บัญชาการหลิงหลงดูสงบลงเมื่อพูดถึงตรงนี้
นางไม่สามารถเลี่ยงที่จะเผยความรู้สึกของตัวเองในอดีตออกมาได้
แม้ว่านางจะมีท่าทีแข็งกร้าวแค่ไหน แต่บางครั้งนางก็ต้องการโอกาสที่จะได้พูดคุยอย่างจริงใจเช่นนี้
“ตอนนั้นเขามักจะมองว่าข้าเป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เขาจึงไม่ได้ใส่คำว่ารักของข้าไว้ในหัวใจของเขา”
“เขาอายุมากกว่าข้าเพียง 30 ปีเท่านั้น สำหรับข้าแล้วมันยอดเยี่ยมมาก”
“ดังนั้นข้าจึงพยายามติดต่อกับเขา ฝึกฝนจนประสบความสำเร็จในการยกระดับมิติวิญญาณ และเชี่ยวชาญการใช้พลังวิญญาณของพยัคฆ์ขาว ความแข็งแกร่งของข้าพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดและค่อยๆตามติดเขาไป”
ผู้บัญชาการหลิงหลงเอ่ยปากหัวเราะ “จนในคืนที่ฝนตกวันหนึ่ง ข้าก็ได้วางยาเขาและทำให้ข้าเป็นของเขาได้สำเร็จ”
ลั่วอู๋ตะลึง
มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยาก
“หลังจากนั้นข้าก็กลายเป็นคู่หูของเขา” ผู้บัญชาการ หลิงหลงกล่าวต่อ “พวกเราสองคนช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกัน ความรู้สึกที่มีต่ออีกฝ่ายจึงค่อยๆอบอุ่นขึ้น”
ลั่วอู๋ไม่สามารถหัวเราะหรือร้องไห้ได้
ประสบการณ์ทางอารมณ์ของผู้บัญชาการหลิงหลง ทำให้เขาไร้คำพูด
แต่แล้วรอยยิ้มจากปากของผู้บัญชาการหลิงหลงก็มาบรรจบกัน และเริ่มเย็นชาลง “ทว่าด้วยการยกระดับมิติวิญญาณของข้า ความแข็งแกร่งและพลังวิญญาณที่ปล่อยออกมาจากแก่นวิญญาณของพยัคฆ์ขาวก็เริ่มแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ข้าเริ่มไม่สามารถยับยั้งพลังในตัวข้าได้ ข้าจึงได้บอกความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้าให้เขาฟัง”
“ เขาไม่คิดเลยว่าข้าจะเป็นผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลราชวงศ์จักรพรรดิ และเป็นผู้ถือแก่นวิญญาณพยัคฆ์ขาว นี่ทำให้เขาตัดสินใจได้อย่างโง่เง่า จนเขาโง่พอที่จะบอกความจริงเรื่องของตัวเขาเองกับข้า”
“ตอนนั้นข้าไม่รู้จะทำอย่างไรดี มันยากที่จะร้องไห้ออกมาเหมือนสาวน้อยคนอื่น ๆ จะให้บ่นก็คงไม่ใช่?” ผู้บัญชาการ หลิงหลงมีแววตาอันดุร้าย “มันเป็นไปไม่ได้แน่นอนสำหรับข้า”
ลั่วอู๋เงียบไป
ไม่มีทางแน่นอน
เพราะนางคือผู้บัญชาการหลิงหลง!
“แต่ถ้าข้าไม่ทำอะไรเลย ข้าก็คงไม่สามารถเป็นตัวข้าต่อไปได้ ด้วยที่มีพลังวิญญาณของพยัคฆ์ขาวหลั่งไหลออกมาจากในร่างกายของข้า มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะยับยั้งการต่อสู้ได้ ทำให้พวกข้าต้องต่อสู้กันในที่สุด”
“การต่อสู้นั้นเริ่มขึ้นภายในค่ายของหน่วยสยบมังกร ทำให้ทั้งเจ้าหน้าที่และทหารต่างก็เฝ้าดูอย่างจริงจัง”
“ ในตอนนั้นแม้ว่าข้าจะไปถึงมิติวิญญาณระดับเพชรแล้ว แต่ช่องว่างความแข็งแกร่งระหว่างเขากับข้าก็ยังห่างกันอยู่มาก แต่ท้ายที่สุดแล้วข้าก็เป็นฝ่ายชนะ” ผู้บัญชาการหลิงหลงกล่าวด้วยเสียงต่ำ “ร่างวิญญาณจักรพรรดิหวู่ของเขาถูกทำลาย ด้วยความมุมานะของข้าในการต่อสู้ ทำให้ความแข็งแกร่งของเขาลดลงไปอย่างมาก มันทำให้เขาก็เลือกที่จะออกจากหน่วยสยบมังกรไป”
“ แล้วหลังจากวันนั้น … ข้าก็ไม่เคยเห็นเขาอีกเลย”
ลั่วอู๋รู้สึกหดหู่
แม้ว่าเสียงของผู้บัญชาการหลิงหลงจะไม่ได้ทำให้เขาเกิดความรู้สึกอารมณ์ร่วมใด ๆ แต่ ลั่วอู๋ก็ยังคงสัมผัสได้ถึงความอ้างว้างจากมัน
คนที่นางรักคือศัตรูของนางเอง
หลงเซี่ยได้จากนางไป
นี่หมายความว่าผู้บัญชาการหลิงหลงนั้นได้สูญเสียคู่ชีวิต และคนที่นางรักอย่างมั่นคงที่สุดไปแล้ว
ถึงอย่างนั้นนางก็เป็นคนที่เหมาะสมที่สุดในการนำหน่วยสยบมังกร
ลั่วอู๋เกาหัวของเขา “ บางทีเขาอาจจะแค่ไม่รู้ว่า จะเผชิญหน้ากับเจ้าอีกครั้งอย่างไรก็ได้”
ผู้บัญชาการหลิงหลงเงียบลง หลังจากนั้นครู่หนึ่งนางก็กล่าวว่า “ข้าไม่คิดเลยว่าเขาจะไปอยู่กับตระกูลเฉิน และกลายเป็นผู้คุ้มกันของเฉินซังเทียน ทันทีที่ข้าไปหาเขา เขาก็ได้จากไปที่ไหนก็ไม่รู้อีกครั้งเสียแล้ว นอกจากนี้ข้าได้ไปถาม เฉินซังเทียนมาว่าร่างวิญญาณจักรพรรดิหวู่ของเขาฟื้นขึ้นมาบ้างรึยัง แต่ก็ได้รับคำตอบว่าความจริงแล้วความแข็งแกร่งของเขาลดลงไปมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ภายในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา มันทำให้ข้ายิ่งคิดว่าข้าคงจะไม่มีโอกาสได้เห็นเขาอีกแล้วในชีวิตนี้ ”
ความแข็งแกร่งที่หายไปนั้นไม่มีทางกลับคืนมาได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน อีกทั้งหลงเซี่ยเองก็ไม่น่าจะมาปรากฏตัวต่อหน้าผู้บัญชาการหลิงหลงอีกเป็นครั้งที่สอง
ไม่มีข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้อีก
วิธีที่สองคนนี้เข้าหากันนั้นแตกต่างจากคู่หูคู่ชีวิตทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด
นอกจากนี้ด้วยที่สไตล์การต่อสู้ของทั้งสองคนนั้นคล้ายกันมาก วิธีการต่อสู้อันโดดเด่นและดุร้ายของพวกเขา ทำให้การต่อสู้เองก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาด้วยเช่นกัน
แต่ที่ลั่วอู๋กังวล ก็คือประโยคสุดท้ายมากกว่า
ห้าสิบปี?
ลั่วอู๋อดไม่ได้ที่จะมองไปยังผู้บัญชาการหลิงหลง
แม้ว่าอาชีพการเป็นทหารอันยาวนานของนางจะทำให้เสียงของนางแหบและหยาบกระด้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผู้บัญชาการหลิงหลงเป็นผู้หญิงที่สวยมาก ริมฝีปากสีแดงดุจเลือด ผมยาวดุจน้ำตกด้วยอารมณ์ที่เย่อหยิ่ง แสดงถึงเสน่ห์ที่แตกต่างออกไปจากหญิงอื่น
นางมีอายุอย่างน้อย ๆ ก็ 70-80 ปีหรืออาจจะมากกว่า 100 ปี? เขาเดาไม่ได้เลย
ใบหน้าของผู้บัญชาการหลิงหลงเย็นชาลงราวกับถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง “เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?”
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร ” ลั่วอู๋ส่ายหัว
การถามอายุของผู้หญิงนั้นเป็นเรื่องต้องห้ามจริง ๆ
โดยเฉพาะกับนาง นี่มันน่ากลัวเกินไป