ไหปีศาจ - บทที่ 575 จุดสิ้นสุดของวิวัฒนาการ
บทที่ 575 จุดสิ้นสุดของวิวัฒนาการ
บทที่ 575
จุดสิ้นสุดของวิวัฒนาการ
พลังวิญญาณที่ถูกกลืนกินเข้าไปมักจะเป็นพลังวิญญาณบริสุทธิ์
น่าเสียดายที่แก่นวิญญาณเทพพิทักษ์เวหานั้นอยู่ในระดับสูงเกินไป ทำให้ต้าหวงไม่สามารถกลืนพลังวิญญาณของมันลงไปได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นมันจึงกลายเป็นพลังวิญญาณจุดด่างดำจำนวนมากย้อนกลับมา
โชคดีที่ลั่วอู๋มียาปีกสีครามแห่งความมืด ซึ่งสามารถแก้ไขจุดนี้ได้
การพัฒนาทางมิติวิญญาณจึงสามารถดำเนินต่อไปได้
แก่นทักษะจำนวนมากจมลงในทะเลแก่นวิญญาณของต้าหวงและลั่วอู๋ ทำให้พวกเขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ค่อย ๆ ลดลง สถานะที่ไม่มีตัวตนนี้ทำให้พวกเขารู้สึกโล่งใจ จนในที่สุดพวกเขาก็สามารถเลื่อนขั้นขึ้นเป็นมิติวิญญาณเป็นระดับทองขั้นสูงได้สำเร็จ
ทองขั้นสูง
ตอนนี้ลั่วอู๋ได้กลายเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับปรมาจารย์แล้ว
พลังวิญญาณในร่างกายทั้งหมดได้รับการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพ เส้นวงจรพลังวิญญาณไหลมาบรรจบกันเป็นแม่น้ำอันไหลเชี่ยว จำนวนพลังวิญญาณทั้งหมดของผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูงนั้นมากกว่าผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองถึงสิบเท่า อีกทั้งทั่วร่างกายยังได้รับการชำระล้างจากพลังวิญญาณทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นมาก
ต่อให้ลั่วอู๋จะต้องใช้ทักษะระดับ SS อย่างต่อเนื่อง จนต้องใช้พลังวิญญาณมากมหาศาล เขาก็แทบไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการขาดพลังวิญญาณเลย
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความเข้าใจในแก่นแท้ทักษะ มันช่วยเพิ่มพลังและความสามารถในการควบคุมทักษะต่าง ๆ ได้เป็นอย่างมาก เรื่องนี้แทบจะทำให้เขาบดขยี้ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองได้สบาย ๆ
ลั่วอู๋ในตอนนี้ แม้จะใช้เพียงทักษะที่มีอัตลักษณ์ของการทำลายล้าง ระดับ S เขาก็สามารถปล่อยพลังทำลายล้างที่ทัดเทียมกับลมหายใจมังกรออกมาได้สบาย ๆ
คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของผู้ใช้พลังวิญญาณทองขั้นสูง ก็คือเขาจะสามารถใช้ทักษะวิญญาณได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งการผสานพลังวิญญาณระหว่างผู้ใช้พลังวิญญาณและสัตว์วิญญาณ
นั่นหมายความว่าตัวเขาและสัตว์วิญญาณ จะสามารถต่อสู้แยกกันได้ หรือก็คือต่อให้ไม่มีสัตว์วิญญาณอยู่รอบ ๆ ผู้ใช้พลังวิญญาณเช่นเขาก็ยังสามารถโจมตีศัตรูได้เหมือนเดิม
มันทำให้เขานึกวิธีการต่อสู้ได้หลากหลายมากขึ้น ซึ่งน่าสนใจมาก
แต่ใบหน้าของลั่วอู๋ในตอนนี้กลับเคร่งขรึม
เขาไม่มีเวลามาสนใจสถานะปัจจุบันของตนเองเลย เนื่องจากสภาพของต้าหวงนั้นยังคงตกอยู่ในอันตราย
แม้จะไม่มีการคุกคามจากแก่นแท้ทักษะแห่งการทำลายล้าง แต่สถานการณ์ของต้าหวงก็ไม่ได้ดีขึ้นเท่าไหร่ เพราะการวิวัฒนาการนั้นเป็นอะไรที่อันตรายมาก
แม้ว่าผลของยาปีกสีครามแห่งความมืดที่ซ่อนอยู่ในแก่นวิญญาณของต้าหวงจะสามารถแสดงผลออกมาได้ในเวลานี้ และช่วยระงับแก่นแท้ทักษะแห่งการทำลายล้าง ราวกับเป็นประกันในเวลาวิกฤต แต่ต้าหวงนั้นได้ดูดซับแก่นแท้ทักษะแห่งการทำลายล้างมามากเกินไป ทำให้ยาปีกสีครามแห่งความมืดไม่สามารถเข้าใจและดูดซับมันได้ทั้งหมดอย่างทั่วถึง
ยิ่งไปกว่านั้นสถานะของการผสานพลังวิญญาณระหว่างผู้ใช้พลังวิญญาณและสัตว์วิญญาณก็ยังทำให้เกิดการรบกวนอย่างมากต่อสภาพของต้าหวง
“กรร!”
ต้าหวง คำราม
ร่างกายของมันไม่สามารถยับยั้ง การปลดปล่อยพลังวิญญาณแห่งการทำลายล้างอันน่าหดหู่ได้ จนถึงขั้นเริ่มการควบแน่นทักษะลมหายใจมังกรขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
ดูเหมือนว่ามันได้สูญเสียการควบคุมในตัวเองไปแล้ว
ลั่วอู๋ตกใจและรีบรีดเค้นพลังวิญญาณของตนออกมา เพื่อปราบปรามพลังทำลายล้างนั้น
ทั้ง ๆ ที่พวกเขากำลังอยู่ในสถานการณ์ผสานพลังวิญญาณระหว่างผู้ใช้พลังวิญญาณและสัตว์วิญญาณแท้ เรื่องแบบนี้กับเกิดขึ้นมาได้เสียอย่างนั้น
ลั่วอู๋ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีสัตว์วิญญาณตัวไหน สามารถใช้ทักษะได้อย่างอิสระในสถานการณ์ผสานพลังวิญญาณระหว่างผู้ใช้พลังวิญญาณและสัตว์วิญญาณ เพราะตามหลักแล้วสัตว์วิญญาณนั้นจะถูกควบคุมโดยผู้ใช้พลังวิญญาณ
เห็นได้ชัดว่าการวิวัฒนาการนี้ ทำให้ต้าหวงมีการเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาดมาก
ถึงระดับที่การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลต่อพันธสัญญาระหว่างพวกเขาเลยด้วยซ้ำ
“ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว” ใบหน้าของลั่วอู๋จมลง “ถ้าข้าปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไป พันธสัญญาจะต้องพังทลายแน่ ๆ ”
ตามหลักแล้วพันธสัญญากับสัตว์วิญญาณ นั้นแทบจะไม่มีทางพังทลายลงได้
แต่มันก็ไม่มีอะไรแน่นอน
เพราะตามหลักการแล้วสถานการณ์ในปัจจุบันเองก็ไม่ใช่อะไรที่ควรจะเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตามเนื่องจากต้าหวงนั้นเป็นสัตว์วิญญาณแห่งพันธสัญญาตัวแรกของลั่วอู๋ หากพันธสัญญาระหว่างเขากับมันพังทลายลง แม้ว่าลั่วอู๋จะมีความสามารถชำระล้างบาปอยู่ แต่เขาก็ไม่มีทางเลยที่จะสร้างพันธสัญญาใหม่ขึ้นมาแทนต้าหวงได้
ดังนั้นลั่วอู๋จึงตัดสินใจและส่งต่อพลังวิญญาณทั้งหมดของเขาไปที่ต้าหวง “เจ้าต้องใช้พลังวิญญาณเท่าไหร่สำหรับการวิวัฒนาการ ก็เอาไปเท่าที่ต้องการเลย ข้าให้เจ้าได้ทั้งหมด ต้าหวงจงอย่ากลัวที่จะวิวัฒนาการ ทำต่อไปซะ”
พลังวิญญาณจำนวนมากหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของ ต้าหวง ทำให้ในเวลาเดียวกันพลังวิญญาณรอยด่างก็ค่อย ๆ ถูกส่งไปยัง ลั่วอู๋ แบ่งปันกันไป
ชายคนหนึ่งและสุนัขหนึ่งตัว หลังจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ดูเหมือนว่าการเชื่อมต่อระหว่างพวกเขาจะใกล้ชิดกันมากขึ้น
ในขณะนี้ร่างกายของต้าหวงเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมไปมาก
ขนสีเงินหนานุ่มเดิมของมันเปลี่ยนไป จากนั้นก็เกิดรอยแตกจำนวนนับไม่ถ้วนบนร่างกายที่เปล่งแสงสีฟ้าพราวที่เบ่งบานออกมา
ร่างกายของมันก็ค่อยๆสูงขึ้นอย่างช้าๆ ใหญ่กว่าตอนแรกเกือบสองเท่า รอยหลุมดำที่กึ่งกลางคิ้วเองก็ค่อยๆเข้มขึ้น เขี้ยวอันดุร้ายในปากยาวขึ้น และมีพลังวิญญาณสีแดงอันยุ่งเหยิงกำลังลุกโชนรอบตัวอยู่ตลอดเวลา
สิ่งที่เกินจริงที่สุดก็คือ มันมีปีกสีน้ำเงินขนาดใหญ่คู่หนึ่งงอกออกมาจากด้านหลังอย่างช้าๆ ส่งเสียงหวีดหวิวขึ้น
ลั่วอู๋ไม่สามารถรับสภาพของมันได้
ร่างกายของต้าหวงมีสีน้ำเงินปนสีแดงชิ้น ไม่เป็นระเบียบเหมือนตกลงไปในถังสี
มันน่าเกลียดมาก
หมาของข้ากลายสภาพเป็นแบบนี้ได้ยังไง!
โชคดีที่พลังทำลายล้างอันรุนแรงของต้าหวงค่อยๆมาบรรจบกัน ด้วยความช่วยเหลือจากยาปีกสีครามแห่งความมืดและพลังวิญญาณของลั่วอู๋ มันก็ได้ทำให้ต้าหวงสามารถวิวัฒนาการตัวเองได้สำเร็จ
ถึงแม้ว่า … มันจะดูอึดอัดไปสักหน่อยก็ตาม
ลั่วอู๋ตรวจสอบสถานะของต้าหวงในทันที ใบหน้าของมันดูน่าเกลียด และสถานะก็แปลกมาก แม้ว่าลมปราณจะอยู่ในระดับทองขั้นสูง แต่พลังวิญญาณในร่างนั้นกลับสูงเกินไปกว่ามิติวิญญาณของมันมาก
อย่างไรก็ตามพลังวิญญาณของมันยุ่งเหยิงเกินไป จนเขาเกรงว่าประสิทธิภาพในการต่อสู้ของมันน่าจะตกต่ำเสียยิ่งกว่าสัตว์วิญญาณที่มีมิติวิญญาณเพียงระดับทองด้วยซ้ำ
การวิวัฒนาการของมันประสบความสำเร็จแล้ว
ลั่วอู๋ตรวจดูข้อมูลของต้าหวง ข้อมูลเผ่าพันธุ์ของมันได้เปลี่ยนไปจากสุนัขแห่งการกลืนกิน เป็นสุนัขกลืนกินสวรรค์หลากสี
“เป็นชื่อที่แปลกดีนะ” ลั่วอู๋ยิ้มอย่างขมขื่น
เมื่อต้าหวงพบว่าตัวเองกลายเป็นประหลาดน่าเกลียด มันก็นอนลงบนพื้นน้ำตาคลอเบ้า มันไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไป ตัวมันที่กลืนเทพพิทักษ์เวหาลงไป น่าเกลียดถึงขนาดนี้ได้อย่างไร
ต้าหวงนั้นค่อนข้างพอใจกับรูปร่างก่อนหน้านี้ของตนเองมาก ทั่วร่างของมันเต็มไปด้วยขนสีเงิน ดูสง่างามงดงามเสียยิ่งกว่า หมาป่าพระจันทร์เงิน
การวิวัฒนาการคือการเปลี่ยนแปลงของระดับชีวิต ทั้งรูปร่างและแก่นวิญญาณจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วสัตว์วิญญาณย่อมจะคาดหวังรอคอยรูปลักษณ์ใหม่ของตัวมันเอง
ทว่า
ต้าหวงกลับเสียใจอย่างหนัก เพราะมันคิดว่าตัวเองอาจจะต้องเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ในอนาคต
“ ต้าหวง?” ลั่วอู๋กระซิบเสียง
ต้าหวงตกใจ มันปีนขึ้นไปถูตัวของลั่วอู๋แล้วนอนต่อ จากนั้นจึงถอนหายใจด้วยท่าทางน่าสงสาร
“นี่เป็นเพราะเจ้าแอบกินมันเป็นอาหารไง” ลั่วอู๋พูดด้วยรอยยิ้ม
ต้าหวงยิ่งเสียใจหนักกว่าเก่า
มันไม่ได้คิดจะกินเทพพิทักษ์เวหาเลยจริงๆ อีกฝ่ายต่างหากที่เข้ามาในปากของมันด้วยตนเอง
ลั่วอู๋ตระหนักถึงความคิดของต้าหวงด้วยความสงสัย “เจ้าพูดจริงเหรอ?”
ต้าหวง พยักหน้าอย่างรวดเร็ว
ไม่ว่าต้าหวงจะโง่แค่ไหน มันก็คงไม่มีทางใช้ข้ออ้าง ง่อย ๆ แบบนั้นแน่ เรื่องนี้น่าจะจริงรึเปล่า? เป็นเทพพิทักษ์เวหาไม่สามารถหนีได้ มันเลยต้องการที่จะตายงั้นเหรอ?
“ไม่ต้องห่วงข้ามีวิธี” ลั่วอู๋ยิ้ม จากนั้นก็ชูนิ้วที่ห่อหุ้มไปด้วยพลังวิญญาณแสงสีน้ำนมออกมา
พลังแห่งการชำระล้างบาป
“ข้าจะช่วยเจ้าคัดแยกพลังวิญญาณพวกนั้นออกมาเอง”
พลังนี้คือความสามารถที่เขาได้มาจากภูตไห
มันสามารถทำความสะอาดพลังวิญญาณที่เป็นจุดด่างดำในพลังงานบริสุทธิ์ออกไปได้ มันทำได้แม้กระทั่งล้างร่องรอยของพันธสัญญาที่ถูกทิ้งเอาไว้ มันจึงเป็นความสามารถที่น่าทึ่งมาก
แสงสีน้ำนมปกคลุมร่างของต้าหวง
เพียงชั่วพริบตาต้าหวงก็รู้สึกสบายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ มันรู้สึกอบอุ่นราวกับหลุดออกจากห่วงบางอย่าง และรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก
เมื่อมันลืมตาขึ้นอีกครั้ง.
รูปร่างของมันก็เปลี่ยนไป
ปีกสีน้ำเงินสลายหายไป สีแดงทั่วร่างค่อย ๆ จางลงอย่างช้าๆ รอยหลุมดำตรงกลางคิ้วก็สว่างขึ้น มีเพียงเขี้ยวที่ยังไม่หายไป แต่มันก็ไม่ได้ดุร้ายเหมือนเดิม คราวนี้มันกลับมาดูสง่าผ่าเผยน้อยและเต็มไปด้วยพลังวิญญาณอันบริสุทธิ์
รูม่านตาทั้งสองข้างของต้าหวงเปลี่ยนเป็นสีแดง เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งการทำลายล้างอันน่ากลัว ราวกับกับสัตว์ร้ายที่กลับมาจากโลกันตร์ กรงเล็บทั้งสี่ของมันถูกล้อมรอบด้วยเมฆสีฟ้าอ่อน
ข้อมูลของต้าหวงเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
ชื่อเผ่าพันธุ์ของมันไม่ใช่สุนัขกลืนกินสวรรค์หลากสีอีกต่อไป แต่กลายเป็นสุนัขกลืนกินสวรรค์ผู้ทำลายล้าง