ไหปีศาจ - บทที่ 577 ครึ่งบนของหอคอยสีขาว
บทที่ 577 ครึ่งบนของหอคอยสีขาว
บทที่ 577
ครึ่งบนของหอคอยสีขาว
หลังจากการเลื่อนขั้นมิติวิญญาณ สิ่งสำคัญมากที่จะลืมไปไม่ได้เลยก็คือ
ในที่สุดเขาก็สามารถเปิดครึ่งบนของหอคอยสีขาวได้แล้ว
หอคอยสีขาวอันสูงตระหง่านนั้นตั้งอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานานแล้ว น่าเสียดายที่ ลั่วอู๋ เข้าใช้งานมันได้แค่ครึ่งล่างเท่านั้น เขายังไม่เคยได้ขึ้นไปครึ่งบนเลยสักครั้ง
เนื่องจากความแข็งแกร่งของเขายังไปไม่ถึงข้อกำหนด เขาจึงไม่สามารถปลดผนึกหอคอยครึ่งบนได้
แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะตอนนี้ความแข็งแรงของเขานั้นมากเพียงพอที่จะเปิดมันแล้ว
ลั่วอู๋ขึ้นไปที่หอคอยสีขาวอีกครั้ง จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปอย่างเงียบ ๆ พลางมองไปยังลายเส้นลึกลับบนผนังด้านใน ที่ทำให้เขาเริ่มมีความเข้าใจบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้แล้วเข้ามาในหัว
ดูเหมือนว่าลายเส้นเหล่านี้คือศูนย์รวมของแก่นแท้ทักษะ
หลังจากได้เข้าใจแก่นแท้ทักษะในที่สุดลั่วอู๋ก็รู้ว่าลายเส้นพวกนี้คืออะไร อย่างไรก็ตามเขาก็รู้เพียงแค่ว่าพวกมันคืออะไร แต่เขาก็ยังไม่ได้เข้าใจในพวกมัน
ขณะมองไปยังบันไดอันคดเคี้ยว ลั่วอู๋ ก็หายใจเข้าลึก ๆ แล้วก้าวขึ้นไป
คราวนี้ครึ่งบนของหอคอยสีขาวไม่ได้หยุดเขาเอาไว้ มันปล่อยให้เขาเดินขึ้นไปได้ต่อ จากนั้นแสงสีขาวก็กลืนกินร่างของลั่วอู๋เข้าไป
ครึ่งบนของหอคอยสีขาวนั้นเป็นพื้นที่อันว่างเปล่า มีเพียงลานฝึกขนาดใหญ่ทำมาจากแท่นหยกขาวไร้รอยตำหนิ โดยมีเปลวไฟสีขาวสี่ดวงลอยอยู่ในอากาศ พวกมันเปล่งแสงสีขาวออกมาเป็นวงกว้าง ทำให้เขาเห็นว่าลานนี้นั้นกว้างแค่ไหน ดูเหมือนว่าพื้นที่ของมันจะกว้างยิ่งกว่าพื้นที่ของหอคอยสีขาวเสียอีก
“เปิดใช้งาน” ลั่วอู๋พึมพำ
เห็นได้ชัดว่านี่คือพื้นที่ใหม่ที่ถูกเปิดขึ้นมาทีหลัง ทำให้เขาเข้าใจได้ว่ามันเป็นมิติที่แยกออกมาจากการดำรงอยู่ของมิติไห
ลั่วอู๋มองไปรอบ ๆ นอกจากพื้นลานสว่างไสวและเปลวไฟสีขาวในอากาศ ที่นี่ก็ไม่ได้มีอะไรอื่นอีก
“ที่นี่มีไว้เพื่ออะไรกัน?” ลั่วอู๋รู้สึกหดหู่
ทันใดนั้นก็มีร่างปรากฏขึ้นอยู่ไม่ไกลนัก
หัวใจของลั่วอู๋จมลง ไม่จริงน่า คนอื่นโผล่มาที่นี่ได้ยังไงกัน! คนที่เข้ามาในมิติไหก่อนหน้าเขางั้นเหรอ?
ใครกันที่เข้ามาในไหปีศาจก่อนเขา ? แล้วแบบนี้เขาจะยังสามารถควบคุมไหปีศาจได้หรือเปล่า?
ไม่มีทาง!
ไม่มีใครสามารถครอบครองไหปีศาจใบนี้ได้นอกจากเขา
ดวงตาของลั่วอู๋เต็มไปด้วยจิตสังหาร ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร ที่นี่คือดินแดนของเขา ถ้าอีกฝ่ายเขามายุ่ง เขาจะกำจัดทิ้งซะ
ลั่วอู๋รีบตรงไปที่ร่างปริศนาเพื่อดูว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
แต่เมื่อลั่วอู๋เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย เขาก็ต้องตกตะลึง
เขารู้จัก หญิงสาว คนนี้ดี
อีกฝ่ายนั้นอยู่ในวัยสามสิบ มีใบหน้าแข็งทื่อ และเป็นคนแต่งตัวมีระเบียบ ลมปราณของนางไม่ได้ทรงพลังมาก อาจจะถือว่าอ่อนแอเลยด้วยซ้ำไป นางมีมิติวิญญาณ เพียงระดับเงิน มิติห้าเท่านั้น
“ หลินตา!” ลั่วอู๋โพล่งออกมา “ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้กัน?”
หญิงสาวคนนี้เป็นคนดูแลหอคอยหวงชา นางมายังศาลาไป่หยู่ของลั่วอู๋ในอดีตในนามของหอคอยหวงชาเพื่อที่จะซื้อสูตรกลั่นยารวบรวมพลังวิญญาณ นางยังเป็นคนแรกที่ทำให้ลั่วอู๋รู้สึกถูกคุกคามถึงชีวิตอีกด้วย
แต่หลินตากลับไม่ได้ตอบอะไร เบื้องหน้าของนางมีจิ้งจอกเฝ้าพระจันทร์และหมีคำรามปรากฏตัวขึ้น จากนั้น สัตว์วิญญาณทั้งคู่วิ่งเข้าไปโจมตีลั่วอู๋พร้อม ๆ กัน
ลั่วอู๋ขมวดคิ้ว
บ้าไปแล้วรึเปล่า
เขาเป็นถึงผู้ใช้พลังวิญญาณระดับปรมาจารย์ ที่มีมิติวิญญาณระดับทองขั้นสูง แต่อีกฝ่ายนั้นเป็นเพียงผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเงิน และสัตว์วิญญาณของนางก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไร ทำไมนางถึงกล้าโจมตีเขากัน
ทว่าทันทีที่ลั่วอู๋ พร้อมจะฟาดฟันอีกฝ่ายลงด้วยมือข้างเดียว เขาก็พบว่ามิติวิญญาณของเขาถูกยับยั้งลงเหลือเพียงระดับเงิน มิติ 5 โดยไม่ทราบสาเหตุ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” ลั่วอู๋รู้สึกประหลาดใจ
แต่เขาก็ไม่ได้มีเวลาคิดอะไรมากไปกว่านั้น เพราะ หลินตาได้โจมตีมาแล้ว
ดวงตาของลั่วอู๋เปล่งประกายอันเย็นชา จากนั้นพลังวิญญาณแห่งการทำลายล้างก็หลั่งไหลลงมาอยู่ในมือของเขา พร้อมยิงออกไปแล้วทำลายร่างของหลินตาตรง ๆ
แม้ว่ามิติวิญญาณของเขาจะถูกระงับ แต่ดูเหมือนการรับรู้เข้าใจในแก่นแท้ทักษะวิญญาณของเขาจะไม่ได้หายไปด้วย
แน่นอนว่าต่อให้หลินตาจะอยู่ในมิติวิญญาณเท่าเทียมกับเขา แต่นางก็ไม่สามารถต้านทานการโจมตีของพลังวิญญาณแห่งการทำลายล้างได้ นางจึงกลายเป็นผงในทันที
ขณะเดียวกันจิ้งจอกเฝ้าพระจันทร์และหมีคำรามเองก็หายไปเช่นกัน
แต่สิ่งที่ทำให้ลั่วอู๋แปลกใจที่สุดก็คือ แม้ว่าหลินตาจะถูกการโจมตีถึงตายพุ่งเข้าใส่ แต่นางก็ไม่ได้มีการแสดงออกบนใบหน้าเลย ราวกับว่าเป็น …ผีดิบ?
ลั่วอู๋มองอย่างสงสัย
ไม่จริงน่า?
ต่อมาไม่ไกลนัก ร่างที่สองก็ปรากฏขึ้นมา ราวกับจะยืนยันความคิดของเขา
คราวนี้อีกฝ่ายเป็นชายในชุดดำ
มิติวิญญาณระดับ ทอง มิติ 4
ลั่วอู๋พบชายคนนี้ ในตอนที่เขาเดินทางไปยังเขตหมิงหนานเป็นครั้งแรก ชายคนนี้พยายามที่จะจับ ตัวองค์หญิงเจียโรว จากนั้นเขาก็ถูกทักษะท่วงทำนองราชันมังกรโจมตีเข้าอย่างรุนแรง จนสุดท้ายเขาก็ต้องมาตายด้วยน้ำมือของลั่วอู๋
ชายคนนี้เองก็เคยทำให้ลั่วอู๋รู้สึก การคุกคามที่มีอันตรายถึงชีวิต
ลั่วอู๋เริ่มเข้าใจถึงข้อกำหนดในลานกว้างนี้อย่างรวดเร็ว
หรือว่าเขาที่นี่จะทำให้เขาได้ต่อสู้กับผู้คนทั้งหมดที่เคยคุกคามชีวิตของเขาในอดีต?
การปรากฏตัวของชายในชุดดำ ทำให้ลั่วอู๋พบว่ามิติวิญญาณของเขานั้นได้รับการยกระดับเป็นระดับทอง มิติสี่เช่นเดียวกันกับอีกฝ่าย
ที่นี่มีการเทียบระดับมิติวิญญาณ เพื่อให้เท่าเทียมกันด้วยรึเปล่า?
คิดว่าแค่นี้จะทำให้เขากลัวงั้นเหรอ ? การต่อสู้ก็คือการต่อสู้
คราวนี้ลั่วอู๋เป็นผู้ริเริ่มโจมตีก่อน
แม้ว่าต้าหวงและสัตว์วิญญาณของเขาจะไม่ได้อยู่รอบ ๆ ทำให้เขาสูญเสียพลังในการต่อสู้ไปบางส่วน แต่แก่นวิญญาณของเขานั้นได้มาถึงระดับทองขั้นสูงแล้ว จึงทำให้เขาไม่จำเป็นต้องใช้การผสานพลังวิญญาณระหว่างผู้ใช้พลังวิญญาณและสัตว์วิญญาณก็ ใช้ทักษะต่าง ๆ ได้โดยตรง ผลกระทบของการลดระดับมิติวิญญาณจึงไม่มากอย่างที่คิด
ระเบิดไปซะ!
ใช้งานทักษะ ระดับ SS [นัยน์ตาแห่งการทำลายล้าง]
นี่เป็นครั้งแรกที่ลั่วอู๋ใช้ทักษะนี้ตรง ๆ แต่เนื่องจากเขาเข้าใจในแก่นแท้ทักษะแห่งการทำลายล้างระดับความเชี่ยวชาญจึงเพิ่มขึ้นมาทันทีถึง 20% ซึ่งก็ทำให้มันมีประสิทธิภาพเพียงพอแล้วในการปิดฉากอีกฝ่าย
ที่สำคัญที่สุดคือทักษะนี้สามารถยิงพลังแห่งการทำลายล้างออกไปได้เร็วมาก
แสงแห่งการทำลายล้างฉายผ่านดวงตาของลั่วอู๋ จากนั้นก็ควบแน่นเป็นลำแสงแล้วยิงออกไปทะลุหน้าอกของชายชุดดำ
หลุมเลือดขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น
เลือดไหลทะลักออกมา
จากนั้นชายในชุดดำก็ค่อยๆล้มลง
ลั่วอู๋ไม่ได้ลำบากเท่าไหร่ในการจัดการเขา
บุคคลต่อไปที่ปรากฏตัวก็คือ ชิงชู เจ้าของร้านค้าสาขาใหญ่ของหอคอยหวงชาในเมืองแห่งความพินาศ เขาเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทอง 7 ลมปราณของเขารุนแรงกว่าชายชุดดำมากและเต็มไปด้วยกลิ่นอายอันเลือดเย็น
คิ้วของลั่วอู๋เลิกขึ้นเล็กน้อย
นี่เป็นเรื่องที่ท้าทายเล็กน้อยสำหรับเขา ชิงชูนั้นเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งมาก ทำให้เขาเป็นตัวปัญหาสำหรับลั่วอู๋มากในสมัยนั้น
อย่างไรก็ตามลั่วอู๋ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับอีกฝ่ายอย่างยากลำบากอีก เพียงใช้การโจมตี 10 ครั้ง ลั่วอู๋ก็สามารถสังหารอีกฝ่ายลงได้อย่างสบาย ๆ
“ การฝึกแบบนี้ ก็ไม่เลวเท่าไหร่เลยแฮะ นี่สามารถช่วยเพิ่มความสามารถในการต่อสู้จริงได้มากเลยทีเดียว แต่ข้าจะต้องลุยไปอีกนานเท่าไหร่กัน?” ลั่วอู๋รู้สึกร้อนรนเล็กน้อย
มันคงจะเป็นเรื่องยาก หากเขาต้องต่อสู้ต่อเนื่องเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ
ที่สำคัญที่สุดคือมันไม่ได้มีความท้าทายมากเท่าไหร่เลย
ไม่นานนักร่างถัดไปก็ปรากฏขึ้น
หนิงฮัว
“ ถึงคราวของสำนักเฉียนหลงแล้วหรือเนี่ย?” ลั่วอู๋พูดกับตัวเอง
แม้ว่าหนิงฮัวจะไม่ได้มีการตัดสินใจที่ดีเท่าไหร่ในการต่อสู้ แต่ความแข็งแกร่งโดยรวมของเขาก็ไม่ได้แย่ นอกจากนี้เขายังมี เล่กุย สัตว์วิญญาณหายากที่มีพลังทำลายล้างอันรุนแรง ซึ่งทำให้เขาแข็งแกร่งมาก
การต่อสู้ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
เหล่าผู้มีพรสวรรค์ของสำนักเฉียนหลงล้วนมีความแข็งแกร่งที่ยอดเยี่ยม มันยากกว่าก่อนหน้านี้มากหากจะต้องสู้กับพวกเขาเหล่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นภาพลวงตาของหอคอยสีขาว นั้นไม่กลัวความเจ็บปวด ทำให้มันสามารถตอบโต้ทุกจังหวะในการต่อสู้ได้อย่างถูกต้อง ทำให้ ลั่วอู๋ มีปัญหามากมาย
ลั่วอู๋ต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการเอาชนะ หนิงฮัว
จากนั้นก็ร่างที่ปรากฏขึ้นต่อ ๆ มา ก็เริ่มเป็นผู้คนจากสำนักหม่าเฉิน
อากูดะ, หวู่เก๋า, เฉียนเหอ, จินฉัน และคนอื่น ๆ ที่ก่อนหน้านี้ ลั่วอู๋ เคยต่อสู้กับพวกเขา เพื่อเรียนรู้ทักษะในการต่อสู้
เมื่อลั่วอู๋ได้มาเผชิญหน้ากับพวกเขาอีกครั้ง ความรู้สึกก็แตกต่างออกไปจากเดิมมาก
ทักษะในการต่อสู้ของลั่วอู๋นั้นได้รับการฝึกฝนและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มันจึงแตกต่างจากตอนแรกที่ต้องรับมือกับเหล่าผู้มีพรสวรรค์เหล่านี้อย่างครึ่ง ๆ กลาง ๆ
แต่แล้วใบหน้าของลั่วอู๋ก็เคร่งเครียดขึ้นมา ด้วยการปรากฏตัวของศัตรูคนใหม่
เขามีผมสีดำ ดวงตาอันล้ำลึก ดูดื้อรั้นและมีลมปราณอันรุนแรง เขาเป็นชายผู้ไร้เทียมทาน
เอ๋าเฉียนจุน!
ในที่สุดก็ถึงตาเจ้าแล้วสินะ