ไหปีศาจ - บทที่ 579 พบกับเหวินเสี่ยวอีกครั้ง
บทที่ 579 พบกับเหวินเสี่ยวอีกครั้ง
บทที่ 579
พบกับเหวินเสี่ยวอีกครั้ง
“ เจ้ารู้เรื่องนั้นด้วยเหรอ?”
“ นี่มันน่าตกใจเกินไปแล้ว”
“เจ้ามันคนขี้โกหก” ฉูจงฉวน ร้องไห้อย่างหดหู่ ” เจ้าเข้าใจแก่นแท้ทักษะสามอย่างถึงระดับสามทั้งหมด แล้วข้าจะมีชีวิตอยู่ทำไมเนี่ย! ”
ลั่วอู๋พูดด้วยรอยยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “มีเพียงแก่นแท้ทักษะแห่งการทำลายล้างเท่านั้นที่ข้าบรรลุถึงขั้นการหยั่งรู้ อีกสองแก่นแท้ทักษะข้าไปถึงแค่ ความเข้าใจเบื้องต้น”
“นั่นก็ยากพอแล้ว”ฉูจงฉวน ถอนหายใจ “ข้าคิดว่าข้าไปไกลพอสมควรแล้วแท้ ๆ ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะไปได้ไกลเกินกว่าข้าถึงขนาดนั้น”
ผู้ใช้พลังวิญญาณทุกคนต่างมีโอกาสและจังหวะในการพัฒนาแก่นแท้ทักษะที่แตกต่างกัน
แน่นอนว่าพวกเขาล้วนต้องพยายามอย่างหนักและใช้เวลาในการทำความเข้าใจแก่นแท้ทักษะ
ซึ่งแค่ไปถึงระดับแรกอย่างการเริ่มต้นก็หืดขึ้นคอแล้ว เวลาที่ลั่วอู๋ใช้จึงถือว่าสั้นเกินไปมาก กล่าวได้ว่าเขาเป็นระดับแนวหน้าของเหล่าผู้มีพรสวรรค์เลยก็ว่าได้
มีเพียงอัจฉริยะเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่จะไปถึงระดับการหยั่งรู้ได้ตั้งแต่แรกเช่นเขา
ที่ฉูจงฉวนเข้าใจแก่นแท้ทักษะถึงระดับนี้ได้ นั้นเป็นเพราะสัตว์วิญญาณตัวแรกของเขาคือภูตไฟ ซึ่งเป็นสัตว์วิญญาณสายเปลวเพลิงที่ดีที่สุด
นอกจากนี้เขายังได้ไปฝึกฝนที่พระราชวังทั้งแปดในสำนักเฉียนหลง อาบไฟโลกันตร์ของที่นั่น เพื่อพัฒนาทักษะอัญเชิญเทพเพลิง ความสัมพันธ์ของเขากับธาตุไฟจึงอยู่ในระดับที่สูงมาก
นอกจากนี้เขายังมีความเข้าใจเฉพาะทางเกี่ยวกับแก่นแท้ทักษะธาตุไฟ ด้วยการอาบไฟใต้พิภพ ซึ่งเป็นไฟระดับสูงสุดของห้องเล่นแร่แปรธาตุ ปัจจัยต่าง ๆ ทุกชนิดได้ถูกสะสมซ้อนทับกัน เพื่อให้การรับรู้ในแก่นแท้ทักษะของเขาเลื่อนขึ้นไปสู่ระดับที่สาม: การหยั่งรู้
เขาไม่ได้อิจฉาลั่วอู๋ กลับกันแล้วเขามีความสุขในการเก็บเกี่ยวของลั่วอู๋ด้วยซ้ำ
แต่ ฉูจงฉวนก็ยังรู้สึกหดหู่ใจอยู่ดี
เขาอ่อนแอขนาดนั้นเลยเหรอ? ทั้ง ๆ ที่เขามีปัจจัยมากมายให้สามารถบรรลุแก่นแท้ทักษะได้แล้วแท้ ๆ แต่ก็ยังไม่สามารถเทียบเคียงกับสหายของเขาได้เลย
ลั่วอู๋ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “อย่าคร่ำครวญไปเลยน่า เจ้าเองก็เป็นอัจฉริยะที่มีฝีมือยอดเยี่ยม การพัฒนาเลื่อนขั้นมิติวิญญาณของเจ้ามันสูงเพียงพอแล้วที่จะทำให้ทุกคนอิจฉาด้วยซ้ำ จริง ๆ แล้วเจ้ามีความเข้าใจที่ดีกว่าข้ามาก ข้าแค่โชคดีได้รับข้อมูล เชิงลึกมาโดยโชคช่วย ต่างจากความเข้าใจของเจ้าที่ได้มาจากความพยายามอย่างมั่นคง”
ฉูจงฉวน เงยหน้าขึ้นอย่างตกตะลึง “เจ้าหมายถึงอะไร?”
“ เจ้ายังจำแก่นวิญญาณของเทพพิทักษ์เวหาได้ไหม” ถาม ลั่วอู๋
ฉูจงฉวน พยักหน้า
ก่อนหน้านี้เขาเองก็ได้อยู่ในเหตุการณ์ที่ลานจัตุรัสซวนวู เขาจึงได้รู้ว่าเทพพิทักษ์เวหานั้นถูกสังหารโดยองค์จักรพรรดิ จากนั้นแก่นวิญญาณของมันก็ได้ถูกมอบให้กับ ลั่วอู๋
“มันถูกกินโดยต้าหวง” ลั่วอู๋ กล่าว
ฉูจงฉวน สะดุ้งและกระโดดออกไปสามเก้า “หา?”
เทพพิทักษ์เวหานั้นเป็นสัตว์วิญญาณระดับเพชร อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในสามส่วนของแก่นวิญญาณของสัตว์วิญญาณระดับจักรพรรดิในตำนานอีกด้วย มันถูกกินไปได้ยังไง?
“ เจ้า … เจ้าใจป้ำมาก”ฉูจงฉวน ตกตะลึงเป็นเวลานานและพูดประโยคดังกล่าวออกมา
ลั่วอู๋ ยิ้มอย่างเบามือ “เจ้าคิดว่าข้าจงใจงั้นเหรอ มันเป็นอุบัติเหตุ แก่นวิญญาณของเทพพิทักษ์เวหา เกือบจะระเบิดร่างของต้าหวงไปแล้ว ถึงแม้ว่าผลการฝึกฝนของข้าจะออกมาดี แต่มันเกิดจากความบังเอิญจริงๆ อีกทั้งมันยังเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ด้วย”
หลังจากที่ฉูจงฉวน รู้เรื่องราวนี้ เขาก็มีรอยยิ้มที่อธิบายไม่ถูกบนใบหน้าของเขา
มันเป็นเพราะความบังเอิญจริงๆ
อีกอย่างต่อให้เขาเสียใจไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไร ๆ มันดีขึ้น
“นี่คือเหตุผลว่าทำไมเจ้าถึงเป็นอัจฉริยะ ข้าเดาไว้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องทำมันได้ นอกจากสัตว์ประหลาดอย่าง เอ๋าเฉียนจุนแล้วก็คงมีแค่เจ้าจริง ๆ แหละ” ลั่วอู๋ กล่าว
เอ๋าเฉียนจุนสามารถควบคุมพลังวิญญาณของสายลมและสายฟ้าร้องได้อย่างเชี่ยวชาญ ยิ่งกว่าใคร ๆ ในรุ่นเดียวกัน มันคงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ หากเขาจะสามารถเข้าถึงระดับการหยั่งรู้ ของแก่นแท้ทักษะธาตุลมและสายฟ้าทั้งสองอย่างพร้อม ๆ กัน
ฉูจงฉวน พยักหน้า เขาเองก็เห็นด้วยว่าอัจฉริยะอย่างเอ๋าเฉียนจุนนั้นคงจะต้องมีความแข็งแกร่งในระดับดังกล่าวอย่างแน่นอน
“บางทีนอกจากเขาแล้วก็คงมี หยู่เฮาอีกคน”ฉูจงฉวน กล่าวเสริม
ในฐานะผู้สืบทอดของท่านหม่าเฉิน หยู่เฮา นั้นถือว่าเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณที่มีศักยภาพที่ดีเยี่ยม อย่างไรก็ตามเนื่องจากเขาถูกส่งตัวกลับไปยังภูเขาแห้งแล้ง ด้วยอาการบ้าคลั่ง พวกเขาจึงไม่เคยได้พบกันอีกเลยนับจากวันนั้น
ลั่วอู๋ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้แล้วพยักหน้า “ก็คงใช่”
หากหยู่เฮาไม่มีศักยภาพถึงระดับนี้ เขาก็คงไม่ได้เป็นถึงผู้สืบทอดของท่านหม่าเฉินหรอก
“เจ้าจะทำอะไรต่อ ? กลับไปที่สำนักเฉียนหลงรึ?” ฉูจงฉวน ถาม
ตามกฎของสำนักเฉียนหลง หลังจากเข้าศึกษาเป็นเวลา 10 ปี หรือไปถึงมิติวิญญาณระดับทองขั้นสูง พวกเขาก็จะสามารถจบการศึกษาของตัวเองได้
อย่างไรก็ตามถ้าหากคิดจะอยู่ต่อ พวกเขาก็สามารถเลือกที่จะอยู่ในฐานะอาจารย์พิเศษได้เช่นกัน
หากนับเวลาที่ผ่านมาทั้งหมด พวกเขาเพิ่งได้อยู่ในสำนักเฉียนหลงมาเป็นเวลาเพียงแค่ห้าปีเท่านั้น
ความเร็วในการฝึกฝนของพวกเขานั้นเร็วมาก
ลั่วอู๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนสิ พวกเราต้องกลับไปที่นั่นอยู่แล้ว เจ้าไม่อยากไปอาณาจักรเซียนโบราณหมื่นอมตะหรือไง?”
ดวงตาของฉูจงฉวน สว่างขึ้น “ใช่ เป้าหมายของข้าคือการไปที่อาณาจักรเซียนโบราณหมื่นอมตะ ในที่สุดข้าก็จะได้ไปแล้วสินะ ฮ่าฮ่าฮ่า นี่มันน่าตื่นเต้นมากเลยจริง ๆ”
ฉูจงฉวนไม่เคยลืมเกี่ยวกับความฝันที่อยากจะไปอาณาจักรเซียนโบราณหมื่นอมตะเลย
นอกจากนี้ที่สำคัญที่สุดคือ เขาเพิ่งได้รับการเลื่อนขั้นมิติวิญญาณเป็นทองขั้นสูง ตอนนี้เขาจึงมีคุณสมบัติที่จะทำ พันธสัญญากับสัตว์วิญญาณตัวที่สี่
แน่นอนว่าในโอกาสเช่นนี้ อาณาจักรเซียนโบราณหมื่นอมตะเป็นสถานที่ที่ดีที่จะไป
“ที่แน่ ๆ พวกเราต้องกลับไปที่เมืองหลวงของจักรวรรดิกันก่อน ข้าไม่รู้ว่าตอนนี้เราสามารถเข้า ออกสำนักเฉียนหลงได้ตามปกติรึยัง” ลั่วอู๋ กล่าว
จากนั้นลั่วอู๋และพรรคพวก จึงได้ออกเดินทางไปยังเมืองหลวงของจักรวรรดิ
พวกเขาได้ก็กลับไปที่สำนักโล่พิทักษ์ในเมืองหลวงของจักรวรรดิ
“ นายน้อย มีคนอยากพบท่านขอรับ” เสี่ยวชา รีบเดินมาหาเขา “เขารอท่าน มานานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว แต่ท่านยังไม่กลับมาเสียที”
ลั่วอู๋ไม่เข้าใจ “เขาใครงั้นเหรอ?”
“ข้าไม่รู้ขอรับ แต่เขามีสีหน้าที่สงบ และดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ ข้าถามชื่อเขาแล้ว แต่เขาก็ไม่ยอมตอบอะไร ข้าเลยให้เขารออยู่ในร้าน” เสี่ยวชา กล่าว
ลั่วอู๋ขมวดคิ้ว “ถ้าเขาสร้างปัญหาเจ้าก็ไล่เขาออกไปสิ”
“ความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้อ่อนแอและ … ” เสี่ยวชาพูดด้วยเสียงต่ำ “ท่านหลินเจิ้งบอกว่า เขาคนนี้ไม่ได้มีจิตมุ่งร้าย ไม่ต้องสนใจก็ได้”
หลินเจิ้งนั้นอยู่ในสำนักโล่พิทักษ์เพื่อช่วยสอนเสี่ยวกง นอกจากนี้เขายังทำหน้าที่ช่วยปกป้องสำนักโล่พิทักษ์อีกด้วย หากเขาบอกว่าอีกฝ่ายไม่มีพิษภัยอะไร เขาคนนั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรจริง ๆ
แม้ว่า หลินเจิ้ง จะสูญเสียทะเลแก่นวิญญาณ แต่การรับรู้ของเขาก็ยังไม่ธรรมดา
“พาข้าไปหาเขาสิ” ลั่วอู๋ กล่าว
ในไม่ช้า เสี่ยวชา ก็พา ลั่วอู๋ ไปที่อีกห้องหนึ่ง
มีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ในห้อง อารมณ์ของเขาดูมืดมัว ทั้งตัวของเขาก็ปกคลุมไปด้วยหมอกที่เบาบาง จนทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัด
“ อืม เหวินเสี่ยว…” ลั่วอู๋เพิ่งจำเขาได้
ช่วงนี้เขายุ่งเกินไป
ลั่วอู๋จึงลืมอีกฝ่ายไปแล้ว
ตามหลักแล้วเขาควรจะกลับไปที่สำนักเฉียนหลงหนึ่งเดือนหลังจากที่แยกกันไปทำธุระตามที่ได้ตกลงกันไว้
ทว่าด้วยเรื่องหลาย ๆ อย่างดูเหมือนว่าลั่วอู๋จะไม่ได้เจอเขามาเกือบครึ่งปีแล้ว
ทันทีที่เหวินเสี่ยวเห็นลั่วอู๋ เขาก็แสดงสีหน้าที่ดูไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง “ในที่สุดเจ้าก็กลับมา นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกเจ้าถึงหายไปไหนกันหมด? แล้วทำไมสำนักเฉียนหลงถึงยังไม่เปิดช่องว่างมิติเสียที”
เขาต้องพเนจรอยู่ตัวคนเดียวในเมืองหลวงของจักรวรรดิ รอให้สำนักเฉียนหลงเปิดช่องว่างมิติอยู่คนเดียวแบบนั้นมานาน จนเขาคิดริเริ่มที่จะตามหาพวกลั่วอู๋
แต่เขาก็ตามหาพวกลั่วอู๋ไม่เจอ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพึ่งพาสำนักโล่พิทักษ์
ลั่วอู๋เกาหัวของเขา “เจ้าไม่รู้เหรอว่าเกิดอะไรขึ้น?”
“เกิดอะไรขึ้นล่ะ?” เหวินเสี่ยวขมวดคิ้ว
ลั่วอู๋เงียบไปครู่หนึ่ง “ เจ้าไม่ได้ติดต่อกับคนนอกมานานขนาดนั้นเลยเหรอ? เจ้าดูจะไม่ได้รู้อะไรเลย”
เหวินเสี่ยวรู้สึกเหมือนถูกแทงอย่างเจ็บปวดจนเริ่มโกรธ “ข้าแข็งแกร่งพอที่จะไม่จำเป็นต้องเพิ่งพาใคร หรือติดต่อกับใครอื่น”
ลั่วอู๋มองเหวินเสี่ยวอย่างเห็นใจ
นี่มันยากเกินไป
ถ้าเขาไม่ต้องการติดต่อกับคนอื่นจริงๆ เขาจะโกรธขนาดนี้ได้อย่างไร
เหวินเสี่ยวได้จากบ้านเกิดและมาที่อาณาจักรราชวงศ์มังกรเร้นกาย หลังจากเปลี่ยนแปลงสภาพอารมณ์ครั้งใหญ่เป็นบุคลิกที่สอง เขาก็ไม่ได้รับความนิยมมากนัก แน่นอนอยู่แล้วว่าเขาต้องเหงาเป็นธรรมดา
“ถ้าเจ้าไม่มีที่ไป ก็มาอยู่ที่สำนักโล่พิทักษ์ได้นะ ข้าจะขอให้พวกเขาดูแลเจ้าเป็นอย่างดี” ลั่วอู๋ กล่าว
เหวินเสี่ยวกล่าวด้วยความโกรธ “ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า!”
“ไม่เป็นไรขอรับ ข้ายินดี”
“ใครขอให้เจ้าสุภาพกับข้า ข้าไม่ต้องการมัน”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอบคุณหรอก”
“ขอบคุณบ้าอะไร!”
เหวินเสี่ยวโกรธมาก จนเขาอยากจะสอนบทเรียนให้ลั่วอู๋สักหน่อย
แต่วินาทีต่อมาเขาก็ต้องตกตะลึง
ลมปราณระดับทองขั้นสูง!
หัวใจของเหวินเสี่ยวเริ่มเต้นอย่างบ้าคลั่ง
เขาเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูงแล้วงั้นเหรอ?! ทำไมถึงเร็วได้ขนาดนี้!