ไหปีศาจ - บทที่ 607 หมดลมหายใจ
บทที่ 607 หมดลมหายใจ
บทที่ 607
หมดลมหายใจ
เหล่าผู้อาวุโสจากสำนักหม่าเฉินต่างเข้ามาล้อมรอบลั่วอู๋
อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าคนส่วนใหญ่ที่เคยไปยังสำนักเฉียนหลงนั้นไม่ได้มาปรากฏตัวที่นี่ด้วย เพราะพวกเขารู้ถึงสถานการณ์ดี
แต่ก็ยังมีคนอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่ได้รู้สถานการณ์ในอดีตจริง ๆ
พวกเขาไม่สามารถชิงอันดับรายชื่อได้อยู่แล้ว และอันดับต้น ๆ ของรายชื่อต่างก็ถูกชิงไป
“คนไหนคือลั่วอู๋” ผู้อาวุโสที่มีลมปราณรุนแรงราวกับมังกรยืนมองลั่วอู๋ด้วยสายตาที่ไม่ดี
ลั่วอู๋ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยิ้มอย่างขมขื่น
เอ๋าเฉียนจุน ต่างหากที่ควรมาอยู่ตรงนี้
เขาปลอดภัยไม่เหมือนเจ้านั่นสักนิด
เนื่องจากไม่มีทางเลือกอื่น ลั่วอู๋จึงก้าวออกไปแล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “ข้าเอง มีอะไรให้ข้าช่วยไหม”
“ช่างกล้านักนะ” ชายชราคนหนึ่งตะโกนอย่างเย็นชา เสียงของเขายังคงดุร้าย “เจ้าสินะที่เป็นคนขัดขวางการชิงอันดับรายชื่อเฉียนหลงของสำนักหม่าเฉิน”
เฉียนเหอรีบเข้ามาพูด “ไม่ ๆ ความจริงแล้วมันค่อนข้างซับซ้อน”
“เจ้าจะสื่อว่าอะไร?” ชายชราจ้องมองเขา “เจ้าอยู่ฝั่งเดียวกับคนนอกงั้นเหรอ?”
เฉียนเหอทำอะไรไม่ถูก
หุนหันพลันแล่นจนไม่ฟังคำแนะนำของผู้อื่น นี่เป็นลักษณะสำคัญของผู้คนในภูเขาแห้งแล้ง
“เจ้าหนุ่ม ข้าอยากถามอะไรเจ้าสักหน่อย” ชายชราคนหนึ่งจ้องมองไปที่ลั่วอู๋
ลั่วอู๋เชิดหน้าขึ้นอย่างไม่เกรงกลัว “ใช่ ข้าทำ เนื่องจากความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่ได้ดีมาก การพยายามชิงอันดับรายชื่อก็เป็นสิ่งที่ควรทำที่สุดไม่ใช่หรือไง”
เขาไม่ได้อธิบาย
มันไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องอธิบาย เขาควรใช้มีทัศนคติที่รุนแรงต่อคนเหล่านี้
ทันทีที่ลั่วอู๋กล่าวเช่นนี้คลื่นนับพันคลื่นก็ก่อตัวขึ้นมา
“หยิ่งยโสยิ่งนัก”
“เจ้ากล้าเยาะเย้ยความเข้มแข็งนักเรียนของสำนัก หม่าเฉินได้อย่างไร”
“อันดับหนึ่งแล้วมันยังไงเล่า สำนักเฉียนหลงมั่นใจได้ยังไงว่าพวกเขาจะมีความสามารถในการต่อสู้จริง”
“พวกเราก็เป็นคนของสำนักหม่าเฉินนะ”
กลุ่มผู้อาวุโสของภูเขาแห้งแล้งคำราม
เสียงอันรุนแรงสั่นสะเทือนไปทั่วท้องฟ้าของสำนัก หม่าเฉิน พวกเขาต่างเต็มไปด้วยความโกรธ ทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับว่าพวกเขาอยู่ในยุคแห่งถิ่นทุรกันดารอันเต็มไปด้วยสัตว์ดุร้าย
ตาของชายชราหรี่ลงเล็กน้อย “เจ้าหนุ่ม เจ้าช่างกล้า จริง ๆ กล้าที่จะท้าทายสำนักของพวกเรา อย่างไรก็ตามหยู่เฮากำลังฝึกฝนอยู่กับท่านหม่าเฉิน จินฉันเองก็ได้กินสมุนไพรบางอย่างเข้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจ จนอยู่ในวิกฤตระหว่างความเป็นและความตาย ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องยากที่จะเลือกคนของสำนักหม่าเฉินในรุ่นเดียวกันมาเอาชนะเจ้า ”
พวกเขาอาจจะบ้าบิ่น แต่ไม่โง่
ระดับมิติวิญญาณของลั่วอู๋ชัดเจนในสายตาของพวกเขา
อันดับต้น ๆ ของรายชื่อเฉียนหลงไม่ใช่คนอ่อนแอแน่
“มีอาจารย์คนในอยากมาแทนไหมล่ะ” ลั่วอู๋พูดอย่างเงียบ ๆ “ข้าไม่รังเกียจหรอกนะ หากพวกเจ้าจะเอาเปรียบคนที่อ่อนแอกว่าเช่นข้า ”
มีผู้อาวุโสของภูเขาแห้งแล้งบางคนผู้มีมิติวิญญาณระดับทองขั้นสูงกระตือรือร้นอยากจะสู้กับลั่วอู๋ แต่เมื่อพวกเขาได้ยินประโยคครึ่งหลัง พวกเขาก็รู้สึกราวกับว่าได้กินมูลหนูลงคอไป
การกลั่นแกล้งผู้น้อยโดยผู้ใหญ่ไม่ใช่คำที่น่ายกย่อง
ชาวภูเขาแห้งแล้งนั้นจะปกป้องผู้ที่อ่อนแอ พวกเขาจึงไม่สนับสนุนให้ผู้ใหญ่กลั่นแกล้งผู้น้อย พวกมีคติของตัวเอง “ถ้าอีกฝ่ายเอาชนะศิษย์ของพวกเขา พวกเขาจะขอลากตัวอาจารย์ของอีกฝ่ายออกมาแล้วเอาชนะเขาเสีย”
“เจ้าเองก็เป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูงเช่นกัน จะถือว่าพวกเราจะเล่นงานผู้น้อยไปได้อย่างไร?” มีผู้อาวุโสคนหนึ่งพูดด้วยความโกรธ
ลั่วอู๋ทำหน้าเฉยเมย“ ถ้าบอกว่าพวกเจ้าไม่นับข้าเป็นผู้น้อย งั้นมีรุ่นพี่คนไหนอยากสั่งสอนรุ่นน้องก่อน”
ตอนนี้เหล่าผู้อาวุโสของภูเขาแห้งแล้งเริ่มลำบากใจมากขึ้นไปอีก
เพราะพวกเขาล้วนอยู่ในสถานะ “รุ่นพี่.”
มันคงไม่ดีหากรุ่นพี่จะไปกลั่นแกล้งคนรุ่นน้อง
“ข้าไม่สนหรอก ว่าเจ้าจะนับว่าข้ากลั่นแกล้งผู้น้อย หรือกลั่นแกล้งรุ่นน้อง ข้าคิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่มีมารยาท มาเถอะ ข้าจะสอนบทเรียนให้เจ้าเอง” ชายชราร่างผอมคนหนึ่งเดินออกมา
เขาดูผอมแห้ง แต่กลับมีลมปราณอันรุนแรง มือของเขาม้วนงอเหมือนตะขอเหล็ก สายตาของเขาเย็นชา และนัยน์ตาของเขาเป็นสีเขียว เขามีบรรยากาศดุร้ายเหมือนหมาป่าที่หิวโหย ถูกเขาจ้องมองจะรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังถูกฝูงหมาป่าที่ดุร้ายและหิวโหยอยู่รอบตัวนับไม่ถ้วน
เหวินเสี่ยวมองไปที่ลั่วอู๋อย่างมีความสุข
เขาควรจะได้รับมัน ใครบอกให้เขาชิงอันดับสูงสุดของรายชื่อเฉียนหลงกันล่ะ
ก่อนหน้านี้เขาแอบต่อสู้อย่างลับ ๆ เพื่อชิงอันดับหนึ่งของรายชื่อเฉียนหลง และได้ถูกลั่วอู๋สังหารไปครั้งหนึ่ง เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้เหวินเสี่ยวก็อดไม่ได้ที่จะเศร้าใจ
ลั่วอู๋รู้สึกได้ถึงสายตาของเหวินเสี่ยวแล้วหันหน้าไปจ้องมองเขา
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เร่งด่วนที่สุดตอนนี้คือผู้อาวุโสร่างผอมที่ให้สัญญาณอันตรายแก่ลั่วอู๋
หลายคนคิดริเริ่มที่จะเดินเปิดทางออกไปปล่อยให้คนแก่ผอม ๆ คนนั้นเดินเข้ามา
“หมาป่า เจ้าจริงจังใช่ไหม?” มีผู้อาวุโสคนหนึ่งคนถามด้วยเสียงต่ำ
ชายชราผอมโซตอบ “แน่นอน”
“งั้นก็ไปเถอะ.” ผู้อาวุโสคนนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “เจ้ามันก็เป็นคนพาลอยู่แล้ว ซ้อมมันสักหน่อยคงไม่เป็นไร ”
หลายคนต่างพยักหน้า
พวกเขาทุกคนรู้ถึงความแข็งแกร่งของชายชราร่างผอมผู้นี้ดี เขามีพลังวิญญาณในระดับสูง หากต่อสู้กันมันก็ไม่ต่างจากการที่เขาเข้าไปรังแกเด็กหนุ่มระดับทองขั้นสูงคนนั้น นี่มันค่อนข้างมากเกินไปสักหน่อย
“ ข้าไม่สน” “ ข้าต้องสอนบทเรียนให้เด็กคนนี้” ชายชราร่างผอมกล่าว
ไม่มีใครพูดอะไรอีก
อย่างไรก็ตามคนที่กลั่นแกล้งนั้นไม่ใช่ตัวของพวกเขาเอง อีกทั้งยังมีคนอื่นมาช่วยสอนบทเรียนให้กับเด็กชายหยิ่งผยองคนนั้น แค่นี้ก็พอใจได้แล้ว
ลั่วอู๋ไม่ค่อยเข้าใจ
ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงอยากเป็นศัตรูกับตัวเองถึงขนาดนี้
“ พอแล้ว พอแล้ว” มีเสียงอันชัดเจนดังขึ้น
ที่มาของเสียงนั้นเป็นเด็กสาวที่มีผิวสีเข้ม มีลวดลายสีน้ำหลากสีบนใบหน้าของนาง หมวกขนสัตว์ต่าง ๆ บนศีรษะของนางดูสวยงาม นางมีโซ่ส่องแสงอยู่ที่มือและเมื่อนางเคลื่อนไหวมันจะเปล่งแสงสีเงินออกมา ทำให้รู้ได้ว่านางไม่ใช่คนธรรมดา ๆ อย่างแน่นอน
ลั่วอู๋คุ้นเคยกับเด็กสาวคนนี้ดี นางคือหยู่เสี่ยวฉางน้องสาวของหยู่เฮา
น่าแปลกใจที่มิติวิญญาณของนางเองก็อยู่ในระดับทองขั้นสูงด้วยเช่นกัน
หยู่เสี่ยวฉาง เดินเข้ามาและย่นจมูก “ข้าได้อธิบายอย่างชัดเจนไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าพวกเราพ่ายแพ้ได้อย่างไร แม้จะไม่มี ลั่วอู๋ ยังไงซะพวกเราก็ต้องล้มเหลว มันไม่ใช่ว่าเราจะไม่แพ้ถ้าไม่มีเขา พวกเราไม่มีความจำเป็นต้องไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ”
ผู้คนต่างหันศีรษะแล้วแสร้งทำเป็นว่ามันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตัวเอง
สถานะของหยู่เสี่ยวฉาง นั้นพิเศษมากในสำนักหม่าเฉิน
แต่ไม่ใช่เพราะว่านางเป็นน้องสาวของหยู่เฮา หรือเพราะนางมาจากเผ่าเทียนหวู่แต่อย่างใด แต่เป็นเพราะนางเป็นหมอผีที่ยอดเยี่ยม
หมอผีนั้นคือผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณของภูเขาแห้งแล้ง ที่นี่พวกเขาถูกเรียกด้วยชื่อที่แตกต่างกัน
ในอาณาจักรภูเขาแห้งแล้งนั้นมีหมอผีเพียงไม่กี่คน และพวกเขาต่างมีวิธีการสืบทอดวิชาที่ทรงพลัง เมื่อเทียบกับผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณของราชวงศ์มังกรเร้นกายแล้ว หมอผีนั้นหายากกว่ามาก
อาจารย์ของ หยู่เสี่ยวฉาง เป็นหมอผีอันดับหนึ่งในอาณาจักรภูเขาแห้งแล้ง และนางเองก็ได้เติบโตขึ้นมาอยู่ในระดับที่สูงมากเลยทีเดียว
ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงให้ความเคารพนาง
ใครจะรับประกันได้ล่ะว่าในอนาคตพวกเขาจะไม่ต้องมาขอให้นางช่วย
นอกจากนี้นางยังได้รับการเลื่อนขั้นเป็นระดับทองขั้นสูงแล้ว ในแง่ของสถานะนางไม่ได้สำคัญน้อยไปกว่า ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรเลย
“ ทำไม ไม่คุยกันดี ๆ ก่อนล่ะ” หยู่เสี่ยวฉางโกรธมาก
มีคนพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “จะผ่อนปรนต่อคนนอกมากเกินไปไม่ได้”
“หา เจ้ามีปัญหาอะไรกับเขารึไง ? เจ้ามาจากที่ไหนกัน?” หยู่เสี่ยวฉางจ้องเขม็งไปที่เขา “ชายคนนี้เป็นเพื่อนของพี่ชายข้า อีกทั้งเขายังเคยช่วยชีวิตพี่ชายข้าเอาไว้ด้วย”
ตอนนี้ไม่มีใครกล้าพูดอีก
หยู่เฮานั้นเป็นผู้สืบทอดของ ท่านหม่าเฉิน เขามีความสำคัญมาก
ตอนนี้มันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะหาหัวข้อสองสามอย่างมาเป็นเหตุผลกล่าวร้ายหรือเข้าจู่โจมลั่วอู๋ เพียงเพราะลูกศิษย์ของพวกเขาแพ้
ถึงตอนนี้ไม่มีใครอยากเป็นคนโง่
ถ้าพวกเขามีความแค้นกับลั่วอู๋จริง ๆ พวกเขาคงลงมือ จู่โจมไปนานแล้ว ตามปกติด้วยนิสัยของเหล่าผู้อาวุโสในอาณาจักรภูเขาแห้งแล้ง พวกเขาไม่จำเป็นจะต้องเถียงยืดเยื้อนานเช่นนี้
“เจ้าไม่ต้องไปสนใจพวกเขาหรอก พวกเขาชอบยุ่งวุ่นวายไม่เข้าเรื่อง ข้ารู้ว่าเจ้ามาที่นี่เพื่ออะไร เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปหาท่านรองเจ้าสำนักก่อน”
ลั่วอู๋พยักหน้า
ตอนนั้นเอง ชายชราที่ได้รับฉายาว่าหมาป่า ก็เข้ามาหยุดพวกเขาและตะโกน “เดี๋ยวก่อน!!!”