ไหปีศาจ - บทที่ 608 พลังของหมาป่าละโมบ
บทที่ 608 พลังของหมาป่าละโมบ
บทที่ 608
พลังของหมาป่าละโมบ
พรรคพวก ลั่วอู๋ หยุดเดิน
หยู่เสี่ยวฉางมองผู้อาวุโสฉายาหมาป่าด้วยคิ้วขมวด สีน้ำหลากสีดูเหมือนจะขมวดเป็นภาพภูเขาและแม่น้ำคู่ “ผู้อาวุโสของตระกูลหมาป่าเจ้าต้องการจะทำอะไร?”
เผ่าหมาป่าเป็นเผ่าที่มีอำนาจมากในภูเขาแห้งแล้ง แม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับเทียนหวู่ ในปัจจุบัน แต่อย่างน้อยก็เป็นหนึ่งในสิบอันดับแรกของภูเขาแห้งแล้ง
หมาป่าพูดด้วยเสียงต่ำ “ข้าต้องการหยุดเขา”
“ข้าอธิบายไปแล้ว” หยู่เสี่ยวฉางโกรธมาก “เจ้าเองก็เป็นผู้อาวุโสของสำนักหม่าเฉินด้วยไม่ใช่เหรอ”
“ถ้ามีความสามารถไม่พอก็ต้องเป็นผู้แพ้ แน่นอนข้ารู้ความจริงข้อนี้ แต่ข้าไม่ได้มีความสนใจในการชิงอันดับรายชื่อเลยสักนิด” หมาป่ากล่าว
จุดประสงค์ของการชิงอันดับรายชื่อก็คือเพื่อพิสูจน์ให้ท่านหม่าเฉินเห็นว่าอนาคตของอาณาจักรภูเขาแห้งแล้ง นั้นมั่นคงยิ่งกว่าราชวงศ์มังกรเร้นกาย
แต่บางคนไม่ได้เห็นด้วยกับเรื่องนี้
ซึ่งหมาป่าก็เป็นหนึ่งในนั้น
เขาคิดว่ามันไร้สาระ
ชาวภูเขาแห้งแล้งไม่จำเป็นต้องไปพิสูจน์อะไร เพราะที่นี่จะเป็นอาณาจักรที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกตลอดไป แม้ว่าท่านหม่าเฉินจะตายไปในอนาคตก็ตาม
หยู่เสี่ยวฉางไม่เข้าใจ “เจ้าต้องการจะทำอะไร”
“ลูกหลานของข้าคนหนึ่งเสียชีวิตที่สำนักเฉียนหลง” ดวงตาของหมาป่าเย็นยะเยือก “ถ้าเขาถูกฆ่าตายในการต่อสู้ ซึ่ง ๆ หน้าข้าก็คงไม่มีคำบ่น แต่เขาถูกลอบสังหาร ข้ารับความจริงข้อนี้ไม่ได้ สำนักเฉียนหลงไม่ได้ให้คำตอบที่น่าพอใจกับข้า ข้ารอการสอบสวนของสำนัก ข้ายอมอดทนรอ แต่มันไม่ได้หมายความว่าข้าจะต้องลืมความบาดหมางครั้งนี้ ”
“จนถึงตอนนี้ มีเพียงลั่วอู๋ที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัย เจ้าทำให้ข้าเชื่อว่าเขาบริสุทธิ์ได้ไหมล่ะ เจ้าทำไม่ได้”
หยู่เสี่ยวฉางเวลาไม่มีอะไรมาหักล้างคำพูดของเขาได้
มันเป็นเรื่องใหญ่มากก่อนหน้านี้
แม้ว่าจะมีหลักฐานมากมายว่าลั่วอู๋ไม่ได้ทำ และจินฉันกับลั่วอู๋ก็ได้ร่วมมือกันซุ่มโจมตีชายลึกลับ แต่ฆาตกรก็ยังลอยนวลหนีไปได้อยู่ดี
ผู้ต้องสงสัยนั้นมีจำนวนน้อยมาก ทำให้ลั่วอู๋กลายเป็นผู้ต้องสงสัยเพียงคนเดียวในมุมมองของชาวภูเขาแห้งแล้ง
ลั่วอู๋คิ้วขมวด “ลูกหลานของเจ้าคือใคร”
“ อากูดะ” หมาป่ากล่าว
ลั่วอู๋จำได้
เขาคือเด็กชายผู้สวมสร้อยคอฟันหมาป่า ที่อยู่ในอันดับสามของสำนักหม่าเฉิน เขาทรงพลังมาก และมีวิธีพูดอันก้าวร้าว เขามักจะมุ่งเป้าไปที่การต่อสู้จริง ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ทั้งสองยังไม่เคยได้ต่อสู้กันเลย จากนั้นเขาก็เสียชีวิตลงไปก่อน
เสียงของหมาป่า ทุ้มต่ำลงเหมือนกลุ่มหมาป่าที่โหยหวน จิตสังหารอันรุนแรงแพร่กระจายออกไป “เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวไหม?”
ลั่วอู๋มองดูแสงอาทิตย์อันอบอุ่น
ใบหน้าของเหวินเสี่ยวเคร่งเครียดขึ้นมาในขณะนี้
แม้ว่าเขาจะไม่ได้เศร้าใจกับสิ่งที่ทำลงไป แต่สถานการณ์ในตอนนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะเขาคือชายลึกลับที่ทำร้ายผู้คนของสำนักหม่าเฉิน
คนอื่นอาจไม่รู้ แต่ลั่วอู๋นั้นรู้ดี
หากลั่วอู๋สารภาพกับหมาป่า นี่ก็คือจุดจบของเขา ที่นี่คือสำนักหม่าเฉิน มันไม่มีที่ให้เขาหนี
ลั่วอู๋ลดเสียงลง “เจ้ายังยิ้มได้อยู่ไหม?”
เหวินเสี่ยวเครียดจนใบหน้าเป็นสีฟ้าและพูดอะไรไม่ออก
เขาไม่สามารถควบคุมความปรารถนาของตัวเองได้ ดังนั้นเขาจะไม่ยืนหยัดยอมรับว่าตัวเองเป็นคนทำแน่ และเลือกที่จะยอมรับความอย่างยากลำบาก
ลั่วอู๋ส่ายหัวแล้วมองไปที่หมาป่า “ข้าไม่ได้ทำ และข้าไม่มีอะไรจะพูด ถ้าเจ้าต้องการฆ่าข้า ข้าก็คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า แต่ข้าจะไม่ยอมอยู่นิ่ง ๆ รอความตายแน่”
แน่นอนว่าเขาเลือกที่จะไม่ยอมขายเหวินเสี่ยว
ลั่วอู๋ไม่มีนิสัยทรยศต่อสหายของเขา แม้ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมทางจะเพียงชั่วคราวก็ตาม
ในทางกลับกันเขาไม่พอใจอย่างมากกับท่าทีของหมาป่า เรื่องนี้น่าจะได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา แล้วทำไมอีกฝ่ายยังต้องการถามเขาอีก ? ป่วยรึไง?
“ดี!” ทันใดนั้นแสงสีเขียวเข้มในดวงตาของหมาป่าก็ระเบิดออกมา ความโกรธของเขาก็เข้าปกคลุมทุกคนในพริบตา “พวกเจ้าทั้งหมดหลบไปให้พ้นทางของข้า”
บางคนต้องการหยุดเขา แต่มันก็ยากที่จะเข้าใกล้หมาป่าในตอนนี้ได้
คนที่ออกมาล้วนเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูง ตรงนี้ไม่มีผู้ใดที่แข็งแกร่งระดับเพชร หมาป่านั้นอยู่ในจุดสูงสุดของระดับทองขั้นสูง เขาจึงเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้
กรร!
เงาหมาป่าสีม่วงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นข้างหลังเขา เขี้ยวของมันดูดุร้ายดวงตาของมันโกรธเกรี้ยวเต็มไปด้วยความโกรธอันไม่มีที่สิ้นสุด
พลังของหมาป่าละโมบ
นี่ไม่ใช่สัตว์วิญญาณของเขา แต่เป็นพลังวิญญาณคุ้มครองพิเศษที่เกิดจากการสังเวยต่อสวรรค์และโลก ด้วยวิชาของชนเผ่า เพื่อดึงดูดพลังของหมาป่าผู้ละโมบมาใช้งาน
ร่างกายของลั่วอู๋แน่นไปหมดราวกับว่าเขาอยู่ในปากของหมาป่า และกำลังจะถูกกลืนกินได้ทุกเมื่อ
“ถอยไปซะ” ลั่วอู๋บอกให้คนที่อยู่ข้างหลังเขาถอยห่างออกไป จากนั้นก็เตรียมใช้การผสานพลังวิญญาณระหว่างผู้ใช้พลังวิญญาณและสัตว์วิญญาณ โดยใช้พลังของสัตว์วิญญาณทั้งสี่ตัวของเขาเป็นครั้งแรก ทันใดนั้นลมปราณของลั่วอู๋ก็พุ่งทะยานขึ้น
ระดับ SS [พลังอันไร้เทียมทาน]
ระดับ S [โทสะกระหายเลือด]
ขณะเดียวกัน.
เงาของสุนัขยักษ์สีเงินของต้าหวงก็คำรามขึ้นบนท้องฟ้าด้วยดวงตาสีแดงและพลังแห่งการทำลายล้างอันพลุ่งพล่าน เมฆสีฟ้าอ่อนรอบกรงเล็บยักษ์ แสดงถึงพลังวิญญาณอันทรงพลังราวกับว่ามันกำลังจะทะลุผ่านความว่างเปล่าไปได้ทุกเมื่อ
เงาสุนัขยักษ์สีเงิน
เงาของหมาป่าละโมบสีม่วง
ทั้งสองเป็นหัวหอกสำหรับการปะทะกันทางพลังวิญญาณ แม้ว่าฝั่งของหมาป่าละโมบจะทรงพลังกว่าแต่ฝั่งสุนัขยักษ์สีเงินก็ยังไม่ถอยกลับ
หลังจากที่ได้กลืนกินแก่นแท้วิญญาณของเทพพิทักษ์เวหาลงไปแล้ว ต้าหวงก็มีระดับแก่นแท้ที่ไม่น้อยไปกว่าสัตว์วิญญาณใด ๆ แต่มันก็เป็นเพียงแค่สถานการณ์ช่วงต้น
ท้ายที่สุดแล้วมิติวิญญาณของพวกเขานั้นแตกต่างกันเกินไป
ความประหลาดใจเล็กน้อยปรากฏขึ้นในดวงตาของหมาป่าราวกับว่าเขากำลังตกตะลึงต่อพลังวิญญาณของลั่วอู๋ “ทั้งที่เพิ่งก้าวเข้าสู่มิติวิญญาณระดับทองขั้นสูงแท้ ๆ แต่กลับมีพลังมากขนาดนี้ เจ้านี่เป็นสัตว์ประหลาดจริงๆ”
แต่เขาก็ไม่ได้หยุด.
“ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ลองรับมือนี่ดู” หมาป่าคำราม จากนั้นเงาขนาดใหญ่ของหมาป่าละโมบก็กลายเป็นดั่งสายฟ้า
พลังวิญญาณของหมาป่าละโมบอันน่าสะพรึงกลัว ทำให้ดวงดาวสั่นคลอนพื้นทลายไม่เป็นระเบียบด้วยเงาสีม่วงที่กลายเป็นสายฟ้า
เขายังไม่ได้ปลดปล่อยพลังทั้งหมดของเขาออกมา แต่พลังวิญญาณนั้นก็ยังรุนแรงมากอยู่ดี
มีคนตะโกนใส่เขาว่าหยุดเถอะ แต่เขาก็ทำเป็นไม่ได้ยิน
ลั่วอู๋หายใจเข้าลึก ๆ แล้วปลดปล่อยทักษะ ลมหายใจของมังกร ออกมาในสภาพรุนแรงกว่าเดิมถึงสองเท่า เนื่องจากเข้าได้บรรลุทั้งแก่นแท้ทักษะแห่งการทำลายล้าง และเชี่ยวชาญมันไปกว่า 65% แล้ว
มันเป็นทักษะการโจมตีที่รุนแรงที่สุดของ ลั่วอู๋
เขามั่นใจว่าเขาสามารถต่อสู้กับผู้ใช้พลังวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่าตนเองประมาณ สามถึงสี่ มิติ ได้ด้วยการเคลื่อนไหวนี้ แต่เขาไม่เห็นทางชนะเลยเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหมาป่า
ไม่มีทางชนะเลย ไม่มีเลย
แต่เขาก็ไม่มียอมแพ้เช่นกัน
ลมหายใจมังกรของลั่วอู๋ขยายขนาดใหญ่ขึ้นได้กลายเป็นพลังที่สามารถทำลายล้างผู้คนให้หายไปในพริบตาได้
พลังวิญญาณของหมาป่าละโมบได้เข้าปะทะกับลมหายใจมังกร
พื้นที่โดยรอบก็พังทลายลงเช่นเดียวกับการละลายของน้ำแข็งและหิมะ จุดศูนย์กลางของการปะทะ กลายเป็นความว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง
การปะทะกันครั้งนี้เสมอเทียบเคียงกัน
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนหลายคนตอบสนองไม่ทันด้วยซ้ำ
ผู้คนจำนวนมากมองไปที่ลั่วอู๋อย่างประหลาดใจ
แม้ว่าหมาป่าจะไม่ได้ออกแรงทั้งหมดของเขา แม้ว่ามันจะเป็นเพียงการโจมตีแบบสบาย ๆ แต่ท้ายที่สุดแล้ว มันก็ยังเป็นพลังวิญญาณของหมาป่าละโมบ ทว่ามันกลับถูกต้านไว้ได้โดยเด็กรุ่นใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่มิติวิญญาณระดับทองขั้นสูง?
นี่มันเหลือเชื่อมาก
ลั่วอู๋ยังมีท่าทีที่ดูสงบ แต่พลังวิญญาณในร่างกายของเขานั้นกำลังเดือดพล่าน เพราะแรงระเบิดที่ยากจะทำให้สงบลงได้นี้
“ ยุ่งยากนิดหน่อยเสียแล้วสิ” หมาป่าดูเหมือนพร้อมที่จะใช้ทักษะอื่นต่อ
แต่แล้วในเวลานี้เสียงหนึ่งก็ดังมาจากท้องฟ้า
“พอได้แล้ว”
ผู้อาวุโสของสำนักหม่าเฉินทุกคนเงียบลงทั้งหมดในทันที
ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างช้า ๆ เขาเป็นชายชราที่ดูใจดีและสงบ แต่รอบตัวของเขาเต็มไปด้วยพลังวิญญาณอันน่ากลัว
หลิงฉี รองเจ้าสำนักหม่าเฉิน
เขามองไปที่หมาป่าแล้วพูดอย่างช้าๆ “เจ้าต้องการฆ่าศิษย์ที่มีความสามารถของสำนักเฉียนหลงจริงๆหรือ?”
“ฮึ่ม” หมาป่าหันหน้าไปทางอื่นโดยไม่ให้ความเคารพ
เขาแค่ต้องการระบายความโกรธ ถ้าลั่วอู๋ไม่สามารถต้านทานพลังของหมาป่าละโมบได้เขาก็จะหยุดมันลงในทันที เขาเพียงแต่อยากจะทำให้ลั่วอู๋ทุกข์ใจเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะหยุดมันลงสักหน่อย
โลกนี้ช่างไม่แน่นอนเลยจริง ๆ
การปกป้องผู้อ่อนแอในสำนักหม่าเฉินนั้นไม่ได้ง่ายไปกว่าในสำนักเฉียนหลงเลย
หลิงฉีส่ายหัว เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับเขาที่จะต้องคอยปราบปรามผู้อาวุโสป่าเถื่อนที่ดื้อรั้นเหล่านี้ ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ได้มีบารมีเทียบเท่ากับ หลี่หวู่หยวน ในสำนักเฉียนหลง
เพราะเฮาราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่มักจะไม่อยู่ หลี่หวู่หยวนจึงเป็นผู้ควบคุมสำนักเฉียนหลงเกือบตลอดเวลา ทำให้ระดับบารมีของเขาสูงมาก
อย่างไรก็ตามในสำนักหม่าเฉิน ท่านหม่าเฉินมักจะปรากฏตัวขึ้น และได้รับความเคารพและนับถือเป็นอย่างสูง ทำให้รองประธานอย่างเขา มีบารมีลดลงไปตามธรรมชาติ
เมื่อมองไปที่พรรคพวก ลั่วอู๋ เขาก็กล่าวขึ้น “เรื่องของพวกเจ้า หลี่หวู่หยวน ได้บอกข้าไว้แล้ว ตามข้ามา”
พูดจบเขาและพรรคพวกลั่วอู๋ก็เดินออกมาจากตรงนั้น
และคนอื่น ๆ ก็เตรียมแยกย้ายกันไป
หลิงฉีพาพวกเขาไปที่ยังวิหารลึกลับแห่งหนึ่ง รูปแบบของที่นี่ค่อนข้างแตกต่างจากสำนักเฉียนหลง รอบ ๆ มีภาพจิตรกรรมฝาผนังของอาวุธและสัตว์วิญญาณที่ดุร้ายและ ห้าวหาญ
พวกเขาสามารถเปิดช่องว่ามิติได้ที่นี่
เมื่อลั่วอู๋มองไปรองเจ้าสำนักหม่าเฉิน แล้วพูดขึ้นช้าๆ “เหมือนว่าท่านจะจับตาดูพวกเรามาสักพักแล้ว”
หลิงฉีหันหน้าไปมองลั่วอู๋ จากนั้นดวงตาของเขาก็หรี่ลงเล็กน้อย เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ทำไมเจ้าถึงคิดอย่างนั้น?”
“มันบังเอิญเกินไป เวลาที่ท่านโผล่มันเหมาะสมเกินไป” ลั่วอู๋ กางมือออก “และท่านรองเจ้าสำนักเฉียนหลงก็ได้แจ้งท่านเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ข้าไม่เชื่อว่าท่านจะลืม”
ตอนที่เขามาถึงสำนักหม่าเฉินครั้งแรก ลั่วอู๋คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นคนใจกว้าง
“แล้วทำไมท่านถึงนิ่งเฉยล่ะ?” ลั่วอู๋ ถาม
ทำไมปล่อยให้เหตุการณ์เมื่อครู่เกิดขึ้น? เขาต้องการสอนบทเรียนให้กับพรรคพวกลั่วอู๋อย่างนั้นเหรอ? ใจแคบเกินไปแล้ว
“ข้าแค่อยากเห็นว่าพวกเจ้าเป็นคนประเภทไหน พวกเจ้าไม่คู่ควรที่จะได้พบท่านหม่าเฉิน”
หลังจากได้ยินคำพูดนี้พวกเขาก็ทำอะไรไม่ถูก
ปรากฏว่าเป็นเพราะเหตุผลดังกล่าว