ไหปีศาจ - บทที่ 619 อดีตของอาณาจักรภูเขาแห้งแล้ง
บทที่ 619 อดีตของอาณาจักรภูเขาแห้งแล้ง
บทที่ 619
อดีตของอาณาจักรภูเขาแห้งแล้ง
ภูเขาแห้งแล้งเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเซียนโบราณหมื่นอมตะ?!
คำพูดของ ท่านหม่าเฉิน ทำให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ในใจของ ลั่วอู๋ เขาไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าคำตอบจะออกมาเป็นเช่นนี้
“ไม่ต้องแปลกใจ มันไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเท่าไหร่หรอกนะ”
ท่านหม่าเฉินกล่าวช้า ๆ “ภูเขาแห้งแล้งเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเซียนโบราณหมื่นอมตะ”
“เมื่อหลายหมื่นปีก่อน อาณาจักรเซียนโบราณหมื่นอมตะนั้นเคยเชื่อมต่อกับที่นี่ แต่ด้วยเหตุผลบางประการ อาณาจักรเซียนโบราณหมื่นอมตะกลับหายไปอย่างเป็นปริศนา เหลือเพียงร่องรอยของอาณาจักรเซียนโบราณหมื่นอมตะ ”
“มันยากมากที่จะมายังภูเขาแห้งแล้งผ่านป่าเทียนหวู่ นอกจากนี้ในสมัยนั้น เผ่าพันธุ์มนุษย์ยังไม่มีอารยธรรมเจริญรุ่งเรืองถึงขนาดนี้ และพวกเขายังหวาดกลัวเหล่าภูตอยู่ ดังนั้นจึงไม่มีล่องลอยของมนุษย์อยู่ที่นี่เท่าไหร่ ทุกคนจึงลืมไปแล้วว่ามีล่องลอยของอาณาจักรเซียนโบราณหมื่นอมตะอยู่ที่นี่”
“เมื่อหมื่นปีก่อนในตอนที่หายนะเกิดขึ้นทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่”
“บรรพบุรุษของพวกข้าได้เดินทางมาที่นี่ผ่านป่าเทียนหวู่ ซึ่งกลายเป็นดินเสีย พวกเขาที่รอดชีวิตจากหายนะมาได้รวมตัวกันสร้างอาณาจักรภูเขาแห้งแล้ง”
เนื่องจากในเวลานั้นยังคงมีความแตกต่างกันอย่างมากในหมู่ผู้คน ประกอบกับการรุกรานที่ลดน้อย และการพบแหล่งที่อยู่ใหม่ ดังนั้นความขัดแย้งในหมู่ผู้คนจึงเกิดขึ้นตามธรรมชาติ
ดังนั้นระบบชนเผ่าจึงถูกนำมาใช้ในภูเขาแห้งแล้ง เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งภายในหมู่คนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
แน่นอนว่าลั่วอู๋รู้ว่าท่านหม่าเฉินหมายถึงอะไร
การก่อกำเนิดของพลังวิญญาณอันชั่วร้าย และเผ่าปีศาจ
ไม่น่าแปลกใจ
ไม่น่าแปลกใจเลยที่หนังสือโบราณของคฤหาสน์สุตราในสำนักเฉียนหลง มีการเปิดเผยอย่างชัดเจนว่าอาณาจักรเซียนโบราณหมื่นอมตะเคยอยู่ในสถานที่ที่เผ่าพันธุ์มนุษย์สามารถเข้าถึงได้
ปรากฏว่าภูเขาแห้งแล้งนี่เองที่เคยเป็นจุดเชื่อมต่อกับอาณาจักรเซียนโบราณหมื่นอมตะ ทำให้มันเป็นสถานที่ที่เผ่าพันธุ์มนุษย์สามารถเข้าถึงได้ในอดีต
เมื่อหลายหมื่นปีก่อนองค์กรทางศาสนาหลายแห่งเคยจัดการ “แสวงบุญ” ครั้งใหญ่ ผ่านป่าเทียนหวู่เพื่อพบกับ “ผู้เป็นอมตะ”
แน่นอนว่ามีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
เนื่องจากในป่าเทียนหวู่มีสัตว์วิญญาณอยู่มากมาย รวมถึงสัตว์วิญญาณที่ดุร้ายบางชนิดด้วย
แต่มนุษย์ผู้โง่เขลาในตอนนั้นกลับคิดว่า นี่เป็นการทดสอบความจริงใจแบบหนึ่ง ยิ่งอันตรายมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นและยิ่งศรัทธาต่อผู้เป็นอมตะมากขึ้นเท่านั้น
ไม่น่าแปลกใจที่มีสัตว์วิญญาณหายากมากมายในภูเขาแห้งแล้ง บางทีพวกมันอาจอพยพมาจากป่าเทียนหวู่
ลั่วอู๋เคยเห็นเรื่องราวนี้ในบันทึกของราชาหมอกซานเหริน
หลังจากยุคมืดอันปั่นป่วนดินแดนแห่งเดียวที่เหลืออยู่ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน เนื่องจากการขาดแคลนทรัพยากร คนกลุ่มหนึ่งจึงออกจากถิ่นที่อยู่เดิมและมาที่ภูเขาแห้งแล้ง ส่วนคนที่ยังอยู่หลังจากช่วงเวลาแห่งสงครามสิ้นสุดลง พวกเขาก็ได้ตั้งรกรากและก่อตั้งอาณาจักรราชวงศ์มังกรเร้นกายขึ้น และกลุ่มสุดท้ายก็คือกลุ่มของราชาหมอกซานเหรินที่เดินทางไปยังทะเลเหนือสุดขอบ ซึ่งปัจจุบันก็คือพระราชวังเป่ยหมิง
ลั่วอู๋เคยสงสัยว่าทำไมไม่มีใครเคยเดินทางผ่านป่าเทียนหวู่มาก่อน ในเมื่อภูเขาแห้งแล้งนั้นใหญ่โตอุดมสมบูรณ์มาก แม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะผ่านป่าเทียนหวู่ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว
มรดกแห่ง “ดินแดนอมตะ” เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่กล้าลบหลู่
ขอบเขตของสิ่งเหล่านี้ แม้แต่ราชาหมอกซานเหริน ก็ยังไม่รู้
บางทีอาจมีเพียงท่านหม่าเฉิน ผู้ปกครองที่แท้จริงของภูเขาแห้งแล้งเท่านั้น ที่จะล่วงรู้ถึงความจริงของสิ่งเหล่านี้
ลั่วอู๋สงบอารมณ์แล้วจึงถามต่อ “แท้จริงแล้วน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ยังมีอยู่ในภูเขาแห้งแล้งด้วยงั้นเหรอขอรับ”
“ไม่ ๆ น้ำพุศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่นั้นได้เหือดแห้งไปนานแล้ว” ท่านหม่าเฉิน พูดอย่างใจเย็น “ข้าทำได้เพียงแค่ดึงน้ำพุศักดิ์สิทธิ์บางส่วนที่ยังหลงเหลืออยู่ในอดีต ออกมาจากพื้นดินอันเหือดแห้งได้ มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในบรรดามรดกที่เหลือเอาไว้ แต่ถ้าเจ้าต้องการมันอีก ข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้”
ลั่วอู๋ผิดหวังเล็กน้อย
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น
บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เป็นของดีที่หาได้ยาก เขาไม่แน่ใจว่าลูกบอลน้ำที่ได้รับนั้นจะเพียงพอหรือไม่ ไม่อย่างนั้นคงจะแย่น่าดู
แน่นอนว่าเขาต้องการมันมากกว่านี้
“นี่พอจะสนองความอยากรู้อยากเห็นของเจ้าได้หรือไม่” “แม้ว่าประวัติศาสตร์เหล่านี้จะน่าตกใจแค่ไหน แม้ว่าเจ้าจะได้รู้จักกับพวกเขาเพียงใด แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นแทนที่จะมาสำรวจเรื่องราวที่อาจจะไม่ใช่ความจริงในประวัติศาสตร์ตอนนี้ เจ้าสู้ไปฝึกให้แข็งแกร่งเพียงพอ แล้วค่อยกลับมาอีกในอนาคต มายังป่าแห่งนี้เพื่อสำรวจประวัติศาสตร์ในอดีตภายหลังก็ยังได้ ที่นี่ยังมีวัตถุโบราณมากมายในภูเขาแห้งแล้ง ซึ่งทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับอาณาจักรเซียนโบราณหมื่นอมตะให้เจ้าได้เรียนรู้อีกมาก ”
ทันทีที่ได้ยินใบหน้าของลั่วอู๋ก็สงบลง เขาเข้าใจแล้วว่า ท่านหม่าเฉิน กำลังแนะนำให้เขาไม่ต้องพยายามจนเสียพลังงานไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็น
การฝึกฝนมิติวิญญาณของตัวเองควรจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำขอรับ” ลั่วอู๋กล่าวอย่างจริงจัง
ท่านหม่าเฉิน พยักหน้าเล็กน้อย “ไปเถอะ”
หลังจากนั้นท่านหม่าเฉินหายไปในป่าราวกับว่าเขาไม่เคยอยู่ที่นี่ สัตว์วิญญาณรอบตัวเขาที่หวาดกลัวจนตัวสั่น เมื่อรู้สึกได้ถึงการหายตัวไปของท่านหม่าเฉิน พวกมันก็วิ่งหนีไปอย่างบ้าคลั่ง
เขาไม่รู้ว่าลั่วอู๋และพรรคพวกจะสำรวจอีกนานแค่ไหน ท่านหม่าเฉิน จึงไม่สามารถรอพวกเขาที่นี่ได้ตลอดเวลา
ดังนั้นพรรคพวกลั่วอู๋จึงต้องหาทางออกจากป่าแห่งอสูรด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตามที่นี่เป็นสถานที่อันยอดเยี่ยมสำหรับการหาสัตว์วิญญาณ มันมีสัตว์วิญญาณหลากหลายรูปแบบเท่าที่จะหาได้ นี่เป็นโอกาสอันดี
เพราะนอกจากลั่วอู๋แล้ว ในหมู่พวกเขายังไม่มีใครได้เลือกสัตว์วิญญาณคู่พันธะตัวที่สี่เลย
ลั่วอู๋ดูกังวลเล็กน้อยเมื่อเขาเดินกลับไปหาพรรคพวก
“มีอะไรเหรอ เจ้าดูอารมณ์เสียนิดหน่อยนะ?” ฉูจงฉวน ถาม
ลั่วอู๋ส่ายหัว “ไม่เป็นไร พวกเราไปที่ป่าแห่งอสูรกันก่อนเถอะ”
ในเวลานี้องค์หญิงเจียโรวก็ได้เข้ามาใกล้หูของเขาพลางกระซิบว่า “พวกเราได้น้ำพุศักดิ์สิทธิ์มาแล้วถ้าอย่างนั้น … ”
ลั่วอู๋ มองไปที่ องค์หญิงเจียโรว นางพยายามหักห้ามความวิตกกังวลในใจของนางโดยการถูมือกับกระโปรงอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงอารมณ์อันซับซ้อนของนางโดยไม่ได้ตั้งใจ
นางต้องการใช้น้ำพุศักดิ์สิทธิ์เพื่อช่วย หงเฉา
“แน่นอน” ลั่วอู๋พยักหน้า ในขณะนี้สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ร่างของเหวินเสี่ยว ซึ่งทำให้เหวินเสี่ยวสับสนเล็กน้อย
“เกิดอะไรขึ้น?” เหวินเสี่ยวไม่เข้าใจ “ทำไมพวกเจ้าถึงมองข้าแบบนั้น?”
ลั่วอู๋คิดเรื่องนี้อยู่สักพักแล้วจังพูดขึ้น “มีความลับบางอย่างที่พวกเราทุกคนรู้ และตอนนี้ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะบอกให้เจ้ารู้เกี่ยวกับมันด้วยเช่นกัน แต่ข้าไม่อยากให้เขารู้”
นี่เป็นเรื่องที่น่าอึดอัดเล็กน้อย แต่เหวินเสี่ยวก็เข้าใจดี
“เจ้าเก็บเป็นความลับจากเขาได้ไหม?” ลั่วอู๋ ถาม
เหวินเสี่ยวกล่าวด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “ข้าเกรงว่า ข้าจะทำแบบนั้นไม่ได้ พวกเราเป็นหนึ่งเดียวกัน แบ่งปันความทรงจำและความรู้สึกร่วมกัน มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีสิ่งที่ข้ารู้ แต่เขาไม่รู้”
ลั่วอู๋คิ้วขมวดเล็กน้อยดูเหมือนว่าเขาคงทำได้เพียงแค่หลีกเลี่ยงเหวินเสี่ยว
แม้ว่านี่จะไม่มีเหตุผลสมควร แต่มันก็ไม่มีทางอื่น
เหวินเสี่ยวเป็นดั่งระเบิดเวลา ลั่วอู๋จึงลังเลที่จะบอกให้เขารู้เกี่ยวกับมิติไห
เหวินเสี่ยวดูเหมือนจะเข้าใจความหมายของลั่วอู๋แล้วอธิบาย “อันที่จริงประสบการณ์การฝึกฝนจิตใจได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับเขาผ่อนคลายลงมาก แม้ว่าข้าและเขาจะไม่ถูกกันเท่าไหร่ แต่มันก็ไม่มีอะไรแน่นอน แต่ข้ามั่นใจได้ว่าตัวข้านั้นไม่ได้มีเพียงแสงสว่าง และตัวเขาก็ไม่ได้มีแต่ความมืดอย่างแน่นอน ”
ไม่ว่าจะมืดมิดแค่ไหนก็จะยังคงมีแสงอันริบหรี่
ลั่วอู๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดว่า “งั้นเจ้าคุยกับเขาได้ไหม ?”
เหวินเสี่ยวยิ้มอย่างผ่อนคลายและมีสุข “ตอนนี้ข้าได้คุยกับเขาแล้ว เขาสัญญาว่าจะไม่เปิดเผยความลับของเจ้า”
จิตใจทั้งสองนั้นยังคงเป็นหนึ่งเดียวกัน ทำให้พวกเขาสามารถสื่อสารความคิดระหว่างกันได้ในทันที โดยปกติแล้วการพูดคุยระหว่างกันจึงเป็นเรื่องที่รวดเร็วมาก
ลั่วอู๋ลังเลแต่ก็ยอมพยักหน้าในที่สุด
เขาไม่สามารถปล่อยให้เหวินเสี่ยวถูกทิ้งไว้แบบก่อนหน้านี้ได้ในทุก ๆ ครั้ง ที่พวกเขาเข้าไปในมิติไห ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะเสี่ยง
“ งั้นก็ได้” ลั่วอู๋โบกมือจากนั้นพลังวิญญาณลึกลับก็เข้าปกคลุมทุก ๆ คน
พริบตาต่อมา
ทุกคนก็หายไป
เหลือเพียงลั่วอู๋เท่านั้นที่นั่งอยู่ในที่ร่ม อย่างปลอดภัยโดยไม่มีเสียงลมหายใจ ราวกับว่าเขาหมดสติไปทั้งอย่างนั้น