ไหปีศาจ - บทที่ 685 ราชันวานร
บทที่ 685 ราชันวานร
บทที่ 685
ราชันวานร
ถูกต้อง สิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าของลั่วอู๋คือผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชร
แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้แสดงลมปราณออกมา แต่ลั่วอู๋ก็เคยได้เห็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรมามากแล้ว เขาจึงตระหนักได้ถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย
“การรับรู้ของเจ้าช่างแข็งแกร่งไม่เลวเลย” เสียงที่เปล่งออกมาจากหมอกสีดำแหบแห้งและเกรี้ยวกราดราวกับเสียงร้องของผีร้าย
เมื่อได้ยินเสียงนี้ลั่วอู๋ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงพวกสัตว์ประหลาดในหุบเขามรณะ เสียงของพวกเขาค่อนข้างคล้ายกับเสียงของผู้ใช้พลังวิญญาณที่อยู่ตรงหน้าเขา
ใบหน้าของลั่วอู๋ดูไม่ดีเท่าไหร่ “เกินความจำเป็นรึเปล่าที่ต้องส่ง ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชร เช่นเจ้ามาจับผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูงตัวเล็ก ๆ อย่างข้า เจ้าว่างมากเหรอ มาที่นี่ได้อย่างไรกัน?”
“นี่เป็นการตัดสินใจขององค์จักรพรรดิ ถึงความสำคัญของเจ้า มันเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งที่ข้าจะต้องสนองพระประสงค์ นอกจากนี้ข้าไม่มีประโยชน์อื่นใดนอกจากในการต่อสู้”
ร่างนั้นได้เดินออกมาจากหมอกมืด
ร่างกายของเขาแข็งทื่อราวกับผีดิบสีหน้าของเขาหมองคล้ำ ดวงตาของเขาไม่มีแววเปลี่ยนไป นอกจากนี้เขายังมีแผลโหว่ขนาดใหญ่ที่กลางอกของเขา
ทว่ากลับไม่มีเลือดไหลออกมาจากบาดแผลนั้นสักหยด
เขาแผ่พลังวิญญาณแห่งความตายอันแข็งแกร่งออกมาตลอดเวลา ทีแรกลั่วอู๋คิดว่าเขาคงจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่จะเข้าใจแก่นแท้แห่งความตาย แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าไม่ใช่แบบนั้นเสียแล้ว
สิ่งที่ทำให้ลั่วอู๋ประหลาดใจที่สุดก็คือ ลั่วอู๋รู้จักเขาคนนี้
“เซียวอวี้ นายพลอันดับหนึ่ง ! เจ้ายังมีชีวิตอยู่ได้ยังไง กัน !” ลั่วอู๋ตกใจ
ใช่แล้ว ชายที่ปรากฏตัวต่อหน้าเขาคือเซียวอวี้ ผู้เป็นอันดับหนึ่งในบรรดา 13 นายพลเทพเจ้า เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่มีค้อนคู่ใจอยู่ในมือ
ก่อนหน้านี้ที่จัตุรัสซวนหวู่ เซียวอวี้ถูกโจมตีโดยทีฮั๋ว หัวหน้ากองทหารองครักษ์มังกรขาว ทีฮั๋วแทงทะลุหน้าอกของเขาและสังหารเขาลงในทันที
เขาตายโดยไม่ได้ตั้งตัว
แต่ตอนนี้เขากลับกำลังยืนอยู่ต่อหน้าลั่วอู๋
นี่มันเกิดขึ้นได้ยังไง
กล้ามเนื้อของเขาแข็งทื่อ ท่าทีของเขานิ่งสนิทไม่มีการแสดงออกใด ๆ เขาไม่แม้แต่จะหันมาสบตา ร่างกายของเขาเหมือนตายไปแล้วทั้งตัว สำคัญที่สุดคืออาการบาดเจ็บของเขายังคงเหลืออยู่บนร่างกาย
เขาดูไม่เหมือนคนที่ยังมีชีวิต
เซียวอวี้อ้าปากราวกับจะหัวเราะออกมา “ยังมีชีวิตอยู่? งั้นเหรอ สภาพในตอนนี้ของข้าเหมือนตายทั้งเป็นเสียมากกว่า”
ลั่วอู๋พยายามใจเย็น
การฟื้นมาจากความตาย เป็นเรื่องที่ฟังดูแปลก แต่เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่แลกมาเพื่อการคืนชีพนั้นไม่ใช่ราคาถูก ๆ ตอนนี้ผู้ที่อยู่ตรงหน้าเขาอาจจะแลกความอมตะมาด้วยการกลายเป็นผีดิบ
ตอนนี้ปัญหาก็คือ
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผีดิบ แต่ก็เป็นผีดิบที่เป็นผู้ใช้พลัง วิญญาณระดับเพชร
เขาจะไปต่อต้านอะไรได้
“มากับข้าซะ” เซียวอวี้พูดเสียงแข็ง “ถ้าเจ้าเลือกที่จะถูกจับกุมโดยไม่ขัดขืน ข้าก็จะไว้ชีวิตเจ้า แต่ถ้าเจ้ายังพยายามจะขัดขืน ข้าก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสังหารเจ้าเสีย”
เซียวอวี้ไม่ได้เกลียดลั่วอู๋
ที่เขาเกลียดมีเพียงทีฮั๋วที่ทรยศและสังหารเขา น่าเสียดายที่หลังจากที่หลี่ซวนซงชุบชีวิตเขาขึ้นมา ทีฮั๋วก็ได้หนีไปแล้ว
ยอมแพ้?
ความคิดดังกล่าวฉายผ่านห้วงความคิดของลั่วอู๋
แต่มันถูกปฏิเสธโดยเร็วที่สุด
ลั่วอู๋เกรงว่าชีวิตของเขาจะเลวร้ายลงยิ่งกว่าความตาย หากต้องตกอยู่ใต้อาณัติของหลี่ซวนซง
แต่จะให้หนีงั้นเหรอ ? เขาจะหนีพ้นไปได้อย่างไร เขาจะรอดพ้นจากผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรได้อย่างไร ในขณะที่เขากำลังบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้?
ณ จุดนี้เขามีทางเลือกสุดท้ายเพียงทางเดียว
“เจ้าอยากจับกุมข้างั้นเหรอ ฝันไปเถอะ” ลั่วอู๋หายใจเข้าลึก ๆ แล้วตะโกน “ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! ผู้บัญชาการหลิงหลง เจ้าพอจะมีเวลามาช่วยข้าไหม! ”
หากผู้บัญชาการหลิงหลงสามารถมาที่นี่ได้ นางจะต้องช่วยลั่วอู๋ได้อย่างแน่นอน
เพียงแค่ว่านางอยู่ห่างไกลเกินไป ในค่ายของหน่วยสยบมังกร นางไม่มีทางได้ยินคำพูดของลั่วอู๋จากค่ายทหารที่อยู่ห่างไกลออกไปได้แน่
เซียวอวี้ส่ายหัว “เจ้าโง่”
หลังจากนั้นเซียวอวี้ก็กลายร่างเป็นฝ่ามือขนาดยักษ์สีดำ และเข้าจับตัวลั่วอู๋อย่างช้าๆ แรงกดดันอันน่ากลัวของกระแสน้ำสีดำมืด ทำให้ลั่วอู๋ไม่สามารถขยับได้เลย
ตอนนี้ดูเหมือนว่าเข้าจบสิ้นแล้วจริง ๆ
ลั่วอู๋หลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง
ในช่วงเวลาปกติเขามักเป็นที่นิยม แต่ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ จะไปมีผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรที่ไหนยื่นมือมาช่วยเขากัน?
ไม่มีทางเลย
แผนการจับกุมลั่วอู๋ ของหลี่ซวนซงเป็นแผนลับ มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้
โดยธรรมชาติแล้วจึงไม่มีใครพร้อมพอที่จะมาช่วยเหลือเขา
ทันใดนั้นเสียงอันโกรธเกรี้ยวในอากาศก็ดังขึ้นมา “หยุดเดี๋ยวนี้ ! เจ้ากล้าดียังไงมาแตะต้องลูกหลานของตระกูลลั่วของข้า ไม่ไว้หน้ากันเลยหรือยังไง?”
ลั่วอู๋เบิกตากว้าง เขาเห็นเสื้อคลุมสีขาวค่อย ๆ ลอยลงมาจากอากาศ และปัดมือสีดำของอีกฝ่ายออกไปได้อย่างง่ายดาย
ชายชราคนนี้มีผิวขาวเหมือนกับเทวดา เขามีใบหน้ายิ้มตลอดเวลาเหมือนผู้สร้างสันติ แต่พลังวิญญาณของเขากลับแสดงให้เห็นถึงโทสะ
เขาคือ ลั่วไป่เหา บรรพบุรุษของตระกูลลั่ว
“ โชคดีที่ข้าไหวตัวทัน” ลั่วไป่เหามองไปที่ลั่วอู๋ด้วยความกังวล “เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ลั่วอู๋มองไปที่ใบหน้าอันกังวลของบรรพบุรุษ จมูกของเขาก็เริ่มตื้อขึ้นมา เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเรียก“ท่าน บรรพบุรุษ … ”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ต่อให้เป็นจักรพรรดิก็จับตัวเจ้าไปไม่ได้หรอก เจ้าอยู่กับบรรพบุรุษของเจ้าที่นี่แหละ” ลั่วไป่เหา กล่าวอย่างเมตตา
ดวงตาของลั่วอู๋เปลี่ยนเป็นสีแดง เขารู้สึกเหมือนกำลังจะร้องไห้
แม้ว่าเขาจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีนักกับคนในตระกูลลั่ว ถึงขั้นที่แม้แต่บรรพบุรุษของเขาก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับเขา เช่นเดียวกันกับลั่วอู๋ที่เขาเองก็อธิบายไม่ถูกว่าเขาควรรู้สึกอย่างไร
ก่อนหน้านี้ที่ลานจัตุรัสซวนหวู่
ในตอนที่หลินยูหลันและฉูจงฉวนกำลังจะถูกฆ่าตายทั้งคู่
ทันทีที่ เซียวอวี้ กำลังจะฆ่าพวกเขา หลินกุย และ ฉูจานเทียนก็เข้ามาขวาง
“ ใครกันที่กล้าแตะต้องลูกสาวข้า”
“ ใครกันที่กล้าแตะต้องลูกหลานตระกูลฉูของข้า”
ลั่วอู๋ยังคงจำคำพูดของทั้งสองได้เป็นอย่างดี
จริง ๆ แล้วในตอนนั้นเขารู้สึกอิจฉาทั้งสองคนเป็นอย่างมาก แต่ในกรณีฉุกเฉินเช่นนั้นเขาทำได้เพียงแค่ระงับอารมณ์ของตัวเองเท่านั้น
ใครเล่าไม่อยากมีผู้ใหญ่ที่คอยออกมาปกป้องตัวเองจากลมฝนกัน ลั่วอู๋นั้นไม่เคยได้รู้สึกถึงความรักของพ่อ แม่เลยตั้งแต่เขายังเด็ก ดังนั้นเขาจึงต้องการได้รับการดูแลโดยธรรมชาติ
ในสถานการณ์แห่งความตายนี้เมื่อบรรพบุรุษของตระกูลลั่วปรากฏตัวขึ้นราวกับเทพเจ้า ทำให้ลั่วอู๋ซาบซึ้งมากจริง ๆ
ถ้าลั่วไป่เหาเสนอให้ ลั่วอู๋กลับไปที่ตระกูลลั่วอีกครั้งตอนนี้ ลั่วอู๋จะตอบตกลงโดยไม่ลังเลเลย
ดวงตาของเซียวอวี้เปลี่ยนไปอย่างมึนงง “ลั่วไป่เหาเจ้ากล้าฝ่าฝืนคำสั่งขององค์จักรพรรดิงั้นหรือ?”
“พล่ามอะไรไร้สาระน่า!” ลั่วไป่เหา มักจะดูใจดีและเป็นมิตร แต่จริง ๆ แล้วเขาเป็นคนขี้โมโหมาก “การทำร้ายลูกหลานตระกูลลั่ว ก็เหมือนกับพวกเจ้าอึบนหัวของข้า อย่าได้มาพูดกับข้าเกี่ยวกับองค์จักรพรรดิ ข้าไม่รู้จักจักรพรรดิชื่อหลี่ซวนซง”
กองกำลังจำนวนมากต่างยอมรับในตัวตนของ หลี่ซวนซง
แต่ลั่วไป่เหาไม่รู้จักเขา
เพียงแค่ว่าเขาไม่จำเป็นต้องก้าวร้าว
แต่ตอนนี้ ลั่วอู๋กำลังจะตาย เขาจึงไม่สามารถทนนิ่งดูดายได้อีก
เซียวอวี้เยาะเย้ย “เขาเนี่ยนะลูกหลานของตระกูลลั่ว ? ข้าจำได้ว่าลั่วอู๋เคยประกาศไปแล้ว ว่าตัวเองจะขอแยกออกจากตระกูลลั่ว”
“มันไม่ใช่ธุระของเจ้า” เมื่อลั่วไป่เหาได้ยินเช่นนี้เขาก็โกรธ “นี่เป็นเรื่องภายในของตระกูลลั่วของพวกเรา”
หัวใจของลั่วอู๋เต็มไปด้วยรสชาติทั้งห้าในขณะนี้
พลังวิญญาณอันไร้ชีวิตของเซียวอวี้พุ่งสูงขึ้น เสียงของภูตผีมากมายนับไม่ถ้วนดังขึ้นมา “ถ้าเช่นนั้นตระกูลลั่วก็คงไม่สามารถดำรงอยู่ได้อีกต่อไป”
แสงเย็นกะพริบในตาของลั่วไป่เหา
ความแข็งแกร่งของ เซียวอวี้ อยู่ในมิติวิญญาณระดับเพชรก็จริง แต่ก็เป็นแค่เพียงระดับเพชรมิติสามเท่านั้น ในขณะที่ลั่วไป่เหา เป็นสัตว์ประหลาดเก่าแก่ที่มีชีวิตมานานหลายพันปี มันไม่มีปัญหาเลยที่ลั่วไป่เหาจะข่มอีกฝ่ายกลับไป
แต่ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าขู่เขากับตระกูลลั่วเช่นนี้
“เจ้าอยากตายมากสินะ!” ลั่วไป่เหาคำราม
ด้านหลังเขาปรากฏเงาของสัตว์วิญญาณตัวใหญ่ส่งเสียงหวีดหวิวขึ้นไปบนฟ้า แสงสีทองของนัยน์ตาปีศาจพุ่งตรงราวกับจะทะลุเข้าไปในห้วงมิติ
กรร!
พลังวิญญาณอันดุร้ายและน่าเกรงขามถูกปลดปล่อยออกมา เขี้ยวและกรงเล็บที่น่ากลัวดูเหมือนจะฉีกท้องฟ้าออกเป็นเสี่ยง ๆ
ท้องฟ้ากำลังสั่นไหว
พื้นดินโดยรอบหลายร้อยลี้กลายเป็นผงเพราะบรรยากาศอันดุเดือดนี้
ความแข็งแกร่งของเขา มากกว่าพลังของลิงเผือกที่ชื่อว่าบ้าสงคราม ในโรงปรับแต่งลับของตระกูลลั่วเสียอีก
เพราะนี่คือพลังที่แท้จริงของลิงเผือก