ไหปีศาจ - บทที่ 704 นารุ
บทที่ 704 นารุ
บทที่ 704
นารุ
จดหมายได้ถูกส่งไปแล้ว
แต่กลับไม่มีการตอบกลับใด ๆ
แม้เวลาจะล่วงเลยผ่านมาสิบวันแล้ว แต่ก็ยังไม่มีข่าวคราวใด ๆ ตอบกลับมา
หากหลี่หยินได้รับจดหมายของ ลั่วอู๋ นางน่าจะต้องตอบกลับโดยเร็วที่สุด เห็นได้ชัดว่าหลี่หยินนั้นยังไม่ได้รับจดหมายของเขา
อย่างไรก็ตามเขาก็คาดคิดผลลัพธ์นี้เอาไว้แล้วเช่นกัน ท้ายที่สุดแล้วลั่วอู๋นั้นเพิ่ง “ตาย” ไป และการกลับไปยังสำนักเฉียนหลงเองก็ดูไม่มีความหมายสำหรับหลี่หยิน
แต่ลั่วอู๋ก็ยังคงผิดหวังเล็กน้อย หากหลี่หยินสามารถรับจดหมายของเขาได้ นางก็น่าจะพอขอให้รองเจ้าสำนักสำนักช่วงเปิดประตูห้วงมิติมารับเขากลับไปได้
ช่างน่าเสียดายที่ฟ้าไม่เป็นใจ
เขาไม่สามารถวางความหวังทั้งหมดไว้กับความเป็นไปได้ที่หลี่หยินจะกลับไปยังบ้านพักของเขาในสำนักเฉียนหลงได้ เขาจึงได้ลองตรวจสอบว่าทางเดินห้วงมิตินั้นมั่นคงหรือไม่ ลองดูว่าและเห็นจดหมายที่ส่งจะกลับมาหาตัวเองไหม
ในบ้านหินหลังเล็ก ๆ
หมอกสีขาวอันหนาแน่นเริ่มกระจายตัวออกไป จากนั้นพลังวิญญาณก็หลั่งไหลออกมาจากบ้านหินอย่างช้า ๆ พลังวิญญาณอันเข้มข้นและบริสุทธิ์ได้มารวมตัวกันในบ้านหินหลังเล็ก
ลั่วอู๋หลับตาหายใจเข้า นำพลังวิญญาณเข้าสู่ร่างกายของเขา จากนั้นเขาส่งมันให้วิ่งไปบรรจบกันในทะเลแก่นวิญญาณ รวมเข้ากับแก่นวิญญาณ
อย่างช้า ๆ แต่เป็นระเบียบ
หลังจากผ่านไปนานลั่วอู๋ก็อาเจียนออกมาด้วยลมปราณอันที่ขุ่นมัว จนในที่สุดแก่นวิญญาณก็ได้หวนกลับคืนสู่ระดับที่ไม่เสื่อมโทรมอีกต่อไป
มันไม่มีทางจะเป็นแบบนั้นได้เลย พลังวิญญาณบริสุทธิ์ในนรกมนตรานั้นต่ำเกินไป
เขาจึงไม่มีทางอื่นนอกจากใช้เวลาอย่างช้า ๆ
หลังจากนั้นลั่วอู๋ก็เริ่มการฝึกฝนเพื่อฟื้นฟูร่างกายของตัวเอง การเติบโตของแขนขาใหม่ค่อย ๆ กลับมาอยู่ในรูปแบบที่เขาปรับตัวได้มากขึ้น
เขาพยายามลุกออกจากเตียง แม้ว่าศีรษะจะยังคงเวียนหัวอยู่เล็กน้อย เพราะยังไงซะอาการบาดเจ็บของแก่นวิญญาณก็ยังไม่ได้หายไป แม้มันจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมในชีวิตปกติก็ตาม
“ไหนลอง ออกไปเดินบ้างดูสิ” หลังผ่านมาเป็นเวลาสิบวันในที่สุดลั่วอู๋ก็เดินออกจากกระท่อมด้วยตัวเองได้สำเร็จ
เมื่อออกไปข้างนอก ลั่วอู๋ ก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจกับภาพฉากด้านนอก
ตอนนี้ชาวแซคนั้นไม่ได้ยากจนอย่างที่เคยเป็นอีกต่อไป พวกเขาแต่ละคนมีรอยยิ้มบนใบหน้าและเต็มไปด้วยพละกำลัง
พื้นที่ของชนเผ่านั้นได้ขยายออกไปมากกว่าสามหรือ สี่เท่า
เดิมทีที่นี่นั้นเคยมีเพียงบ้านหินดิบ ๆ แต่ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยอาคารหินสองชั้นอันสวยงาม
เห็นได้ชัดว่าชนเผ่านั้น พัฒนาความแข็งแกร่งขึ้นมาเนื่องจากวัสดุที่ลั่วอู๋จัดหาให้พวกเขา ทำให้วัสดุต่าง ๆ ดีขึ้น
นอกจากนี้ยังมีพื้นที่เปิดโล่งขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบด้วยรั้วหิน ชาวแซคหนุ่มสาวต่างติดตามผู้อาวุโสต่าง ๆ ที่กำลังฝึกฝนใช้พลังวิญญาณพัฒนาร่างกายของพวกเขา
ชาวแซคไม่เพียงแต่ปรับปรุงบ้านที่พักอาศัยของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังเริ่มพัฒนาการเลี้ยงสัตว์ด้วย พวกเขาได้เลี้ยงหนูวิญญาณขนาดเล็กและแมงมุมราตรีเป็นปศุสัตว์
หนูวิญญาณนั้นอยู่ด้านล่างสุดของห่วงโซ่อาหาร ความแข็งแกร่งของมันเองก็ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไหร่ แต่มันกินได้เกือบทุกอย่างและแพร่พันธุ์ได้เร็วมาก ส่วนแมงมุมราตรีนั้นแข็งแกร่งกว่าหนูวิญญาณเล็กน้อย มันมีขนาดประมาณอ่างล้างหน้า และคลานได้เร็วมาก มันมีความสามารถในการปั่นไหม หลังจากนำมาแปรรูปแล้ววัสดุเหล่านี้สามารถใช้มาทอเป็นเสื้อผ้าและเชือกได้
นอกจากนี้ที่ทำให้ลั่วอู๋ประหลาดใจมากก็คือชาวแซคนั้นได้เริ่มสร้างอาวุธเป็นของตัวเอง
แม้ว่าเขาจะเคยส่งหนังสือสำหรับการหลอมอาวุธไปให้พวกเขาหลายเล่ม แต่ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงหนังสือความรู้พื้นฐานทางทฤษฎี เขาจึงไม่ได้คิดว่าชาวแซคจะสามารถใช้มันได้
ในนรกมนตรานั้นพวกเขาไม่มีทางขาดแคลนแร่วิญญาณ ดังนั้นแม้ว่าอาวุธที่ทำโดยชาวแซคจะยังหยาบมาก แต่อย่างน้อยก็มีความทนทานเพียงพอและไม่แตกหักง่าย ๆ
ทว่าการทำอาวุธนั้นต้องใช้ความร้อนในการหลอมแร่
ที่นี่ไม่มีเชื้อเพลิงและไม่มีสิ่งที่เรียกว่าไฟ พื้นที่ในนรกมนตรานั้นมีเพียงพลังวิญญาณอันชั่วร้ายที่พร้อมจะกัดกร่อนทุกสิ่ง
ดังนั้นชาวแซคจึงพยายามอย่างมากที่จะหาจับสัตว์วิญญาณหายากที่ชื่อว่า หยันโม
หยันโม เป็นสัตว์วิญญาณระดับเพชร เป็นมันสัตว์วิญญาณชั่วร้ายเข้าใจแก่นแท้แห่งไฟ มันสามารถใช้เปลวไฟห่อหุ้มร่างและใช้ลาวาเป็นเกราะได้ มันทรงพลังมาก
แต่หยันโมที่ยังเด็กนั้นต่างกันออกไป มันง่ายกว่าที่จะจับและเพลิงของมันก็ต่างกันเล็กน้อย แม้พวกมันจะมีชื่อเหมือนกัน แต่ในความเป็นจริงความแตกต่างของพลังนั้นสูงมากกว่าหมื่นเท่า
อย่างไรก็ตามมันก็ยังเป็นสัตว์วิญญาณธาตุไฟ มันเกิดมาพร้อมกับเปลวไฟอันน่ากลัว ซึ่งเหมาะสำหรับการหลอมแร่วิญญาณ
แน่นอนว่าอุณหภูมิของไฟนั้นสูงเกินไปสำหรับการทำอาหาร และหยันโมที่ยังเด็กเองก็หาได้ยากมากในนรกมนตรา
“มันเปลี่ยนไปมากเลย” ลั่วอู๋รู้สึกตกตะลึง
ชาวแซคที่ผ่านไปมามองไปยัง ลั่วอู๋ พลางกล่าวทักทายอย่างอบอุ่น เห็นได้ชัดว่าทุกคนรู้จักลั่วอู๋เป็นอย่างดี นั่นก็เพราะลั่วอู๋เป็นคนที่นำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาสู่ชาวแซค
ทันใดนั้นเองลั่วอู๋ก็เห็นแซคตัวเล็ก ๆ ซ่อนตัวอยู่หลังบ้านหินหลังเล็ก เขามองมาที่ลั่วอู๋อย่างระมัดระวัง
เด็กชาวแซคตัวนี้ตัวเล็กมาก เขาน่าจะอายุเพียงสามหรือสี่ขวบ แม้ว่าเขาจะมีใบหน้าและเขี้ยวสีฟ้า แต่ดวงตาของเขานั้นชัดเจนและเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณมาก
ที่สำคัญที่สุดคือเขามีรอยนูนปูดสองรอยที่หน้าผาก
ลั่วอู๋อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เขาคือเด็กน้อยตัวเล็ก ๆ ก่อนหน้านี้นั่นเอง
“สวัสดี” ลั่วอู๋ลงไปนั่งยองๆเพื่อทักทาย
แซคตัวน้อยยังคงดูหวาดกลัวลั่วอู๋
ลั่วอู๋ยืดนิ้วออกเพื่อรวบรวมพลังวิญญาณและแตะที่รอยนูนบนหัวเขาเบา ๆ จากนั้นรอยนูนที่หน้าผากของแซคน้อยก็ถูกพลังวิญญาณอันอ่อนโยนไหลผ่าน ทำให้รอยปูดทั้งสองบรรเทาลง
ยังไงซะมันก็เป็นรอยนูนที่ลั่วอู๋ทุบด้วยพลังวิญญาณ มันจึงไม่ง่ายที่จะรักษาให้หาย
ในที่สุดรอยปูดทั้งสองก็หายไป แซคตัวน้อยแตะที่หน้าผากของเขาอย่างดีใจและส่งเสียงร้องออกมาอย่างมีความสุข เขาเริ่มมองลั่วอู๋อย่างเป็นมิตรมากขึ้น
ความสุขของเด็กนั้นช่างเรียบง่าย
เขาลืมไปเสียสนิทเลยด้วยซ้ำว่าลั่วอู๋เป็นคนทำรอยปูดทั้งสองบนหน้าผากของเขาขึ้นมา
“ ทำไมเจ้าไม่ไปฝึกฝนกับคนอื่น ๆ ล่ะ” ลั่วอู๋ใช้ทักษะสื่อสารวิญญาณกับแซคน้อย แล้วถามเขา
แซคตัวเล็กจึงตอบเขาไปว่า “ข้าพึ่งพาการฝึกฝนของตัวเอง”
“ทำไมล่ะ”
“ เพราะท่านลุงมีงานยุ่ง”
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะกลายเป็นผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ได้
เผ่าแซคนั้นมีกันอยู่หลายพันคน แม้ไม่ว่าผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก และผู้ใหญ่จะต้องฝึกฝนศิลปะการต่อสู้โบราณ แต่จนถึงขณะนี้กลับมีเพียงไม่ถึง 100 คนที่สามารถกลายเป็นผู้ใช้ศิลปะการต่อสู้ได้
อย่างไรก็ตาม ด้วยความมานะอุตสาหะของชาวแซคในหน้าที่ต่าง ๆ สัดส่วนของนักรบเหล่านี้จึงน่าจะต้องลดลงไปอีกอย่างแน่นอน
นักรบทุกคนมีสิ่งสำคัญที่ต้องทำ
“เป็นเหตุผลที่ดีมาก” ลั่วอู๋ลูบหัวแซคน้อยด้วยรอยยิ้ม
แซคน้อยหัวเราะ
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะหายดีแล้วสินะ” จู่ ๆ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่แซคเฒ่าก็ได้โผล่มาอยู่ข้างหลังของลั่วอู๋
ลั่วอู๋ลุกขึ้นยืนและพยักหน้า “ใช้แล้ว”
ถ้าก่อนหน้านี้เขาไม่เคยมาที่นรกมนตราและฝึกฝนวิธีกลั่นพลังวิญญาณบริสุทธิ์ออกจากพลังวิญญาณชั่วร้ายละก็ เกรงว่าเขาคงจะไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียงได้ภายในสิบวันเช่นนี้
“ เจ้ากับนารุเคยรู้จักกันมาก่อน”
“เด็กคนนี้ชื่อว่านารุงั้นเหรอ?”
“ใช่แล้ว เจ้าจำได้ไหมตอนที่พวกเจ้ามาหาพวกเราชาวแซค มีเด็กคนหนึ่งเกิดขึ้นมาจึงทำให้พวกเจ้าได้รู้ว่าพวกเราเป็นมนุษย์”
ลั่วอู๋ประหลาดใจ “เจ้าหมายถึงเด็กชายตัวเล็ก ๆ ที่เพิ่งคลอดตอนนั้นงั้นเหรอ?”
“ใช่แล้ว ” แซคเฒ่าพยักหน้า
ลั่วอู๋อดไม่ได้ที่จะมองไปยังนารุ ที่กำลังงงงวยเพราะพวกเขาพูดภาษามนุษย์กัน นารุจึงไม่เข้าใจและสับสน
เด็กชายคนนี้คือเด็กทารกที่เขาเห็นตอนถูกสวมหน้ากาก
เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่า เด็กคนนี้จะเป็นแซคคนแรกที่เขาได้เจอในครั้งนี้ ราวกับชะตากรรมนั้นได้ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าจริง ๆ
“ นารุ” ลั่วอู๋ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้แล้วจึงถาม “นี่เป็นภาษา แซครึเปล่า?”
แซคเฒ่าพยักหน้า “คำว่า นารุ นั้นหมายความว่า ” ความหวัง “ในภาษามนุษย์”
“ ความหวัง?”
“ใช่แล้ว หลังจากที่เขาเกิดมา ชาวแซคก็ได้รับความช่วยเหลือจากเจ้า จากนั้นความเป็นอยู่ของพวกเราก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ เขาคือจุดเริ่มต้นของความหวัง”
ลั่วอู๋อ่านชื่อของนารุหลายครั้งแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
เมื่อมองไปที่ นารุ ตัวน้อยเขาก็เข้าไปกระซิบ “ข้ามีทักษะศิลปะการต่อสู้โบราณ ซึ่งตกทอดมาจากจักรพรรดิดาบในตำนาน เจ้าสนใจที่จะลองเรียนรู้ไหม?”
นารุน้อยตาโตด้วยความตื่นเต้น
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าจักรพรรดิดาบคืออะไร แต่เขาก็พอจะคุ้นเคยกับมัน เขารู้ดีว่าศิลปะการต่อสู้โบราณนั้นมีความสำคัญมากเพียงใด
ด้วยสิ่งนี้เขาก็จะสามารถเก่งเท่ากับลุง ๆ ในเผ่าพวกนั้นได้