ไหปีศาจ - บทที่ 706 พัฒนาการของวิชาดาบ
0
บทที่ 706 พัฒนาการของวิชาดาบ
บทที่ 706
พัฒนาการของวิชาดาบ
สามเดือนผ่านไปในพริบตา
ลั่วอู๋นั้นยังคงอาศัยอยู่ในบ้านหินหลังเล็ก ๆ
ยิ่งเขาอยู่ที่นี่นานมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของนรกมนตราได้มากขึ้นเท่านั้น
มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ชะตากรรมบังคับเขาให้อยู่ที่นี่
เขาดึงเอาพลังวิญญาณของนรกมนตราออกมาใช้ได้อย่างชำนาญมากขึ้น จนในที่สุดอาการบาดเจ็บของเขาก็หายเป็นปกติ และแก่นวิญญาณเองก็ฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็วภายในสามเดือนที่ผ่านมา
คาดว่าหากฝึกฝนต่อไปอีกสามเดือน เขาก็น่าจะกลับมาเป็นปกติได้
หรือก็คือกว่าบาดแผลทั้งหมดจะหายได้เขาต้องใช้เวลากว่าครึ่งปี
นี่แสดงให้เห็นเลยว่าการบาดเจ็บในครั้งนี้ร้ายแรงถึงเพียงไหน
ตลอดเวลาสามเดือนที่ผ่านมา ลั่วอู๋ พยายามติดต่อกับต้าหวงผ่านสะพานพันธสัญญา แต่ไม่ว่าจะกี่ครั้ง ๆ ก็ล้มเหลว
“ไม่สำเร็จอีกแล้วสินะ” ลั่วอู๋ค่อนข้างหัวเสีย
“ท่านอาจารย์!” แซคตัวน้อยวิ่งเข้ามาอย่างครึกครื้น
เขาพูดออกมาเป็นภาษามนุษย์อันชัดเจน
แน่นอนว่าแซคน้อยคนนี้คือนารุ ตั้งแต่ลั่วอู๋รับเขามาเป็นศิษย์ แซคเฒ่าก็ได้ริเริ่มสอนภาษามนุษย์ให้กับนารู ดูเหมือนว่าในที่สุดเขาก็พร้อมที่จะส่งต่อตำแหน่งหัวหน้าเผ่าให้กับคนอื่นแล้ว
แม้ว่าจะอายุจะยังน้อย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับนารุที่จะเรียนรู้สองภาษา นอกจากนี้ภาษามนุษย์และภาษาแซคเองก็มีความคล้ายคลึงกันมาก
นารุน้อยจึงได้เรียนรู้ภาษาของมนุษย์ และคำต่าง ๆ มามากมาย
ตอนนี้เขามีอายุราว ๆ สามขวบปี ซึ่งลั่วอู๋ก็ได้ใช้พลังวิญญาณช่วยแยกเส้นวงจรพลังวิญญาณและเสริมสร้างร่างกายให้กับนารุ จากนั้นลั่วอู๋ก็จะสอนแก่นแท้แห่งดาบให้กับเขาได้ทำความเข้าใจทั้งกลางวันและกลางคืน ดังนั้นเมื่อนารุสามารถเริ่มฝึกฝนได้จริง ๆ เมื่อไหร่ละก็เขาจะต้องก้าวหน้าอย่างมากแน่
“มีอะไรเหรอ นารุ?” ลั่วอู๋ ถาม
นารุพูดด้วยรอยยิ้ม “พวกลุงให้ข้ามาส่งข่าว”
“งั้นเหรอ?” ลั่วอู๋รู้สึกประหลาดใจ
“นี่ไงจดหมาย”
ลั่วอู๋แทบอดใจรอไม่ไหวที่จะได้เปิดจดหมายนั้น
สามเดือนที่ผ่านมานี้ ลั่วอู๋ ได้เรียนรู้ทั้งภาษาในการพูดและการเขียนของชาวแซค แม้ว่าเขาจะพูดภาษาแซคยังไม่ค่อยเก่ง แต่เขาก็สามารถอ่านตัวอักษรภาษาแซคได้อย่างเชี่ยวชาญ
เนื้อหาของจดหมายง่ายมาก
เพื่อช่วย ลั่วอู๋ กลับไปแซคเฒ่าจึงส่งสมาชิกระดับสูงสิบคนไปยังสถานที่ที่ ลั่วอู๋ กำหนด
แน่นอนว่าสถานที่แห่งนั้นก็คือช่องประตูมิติสำหรับประสบการณ์ฝึกอบรมอวกาศของสำนักเฉียนหลง
อย่างไรก็ตามหากไม่ได้มีการเปิดช่องว่างห้วงมิติ คนธรรมดาทั่วไปก็จะไม่สามารถรับรู้ได้เลย ดังนั้นสมาชิกระดับสูงทั้งสิบคนจึงไม่พบอะไรเลยแม้แต่น้อย
พวกเขาจึงทิ้งสมาชิกเอาไว้สามคนเพื่อรอการเปิดช่องว่างห้วงมิติ ส่วนอีกเจ็ดคนนั้นเลือกที่จะกลับมา แล้วจึงจะกลับไปในอีกสามเดือนต่อจากนี้
แค่รอข่าวไม่จำเป็นจะต้องให้พวกเขาหลายคนไปเฝ้า
“ไม่มีข่าวดีสินะ” ลั่วอู๋ปิดจดหมายลง “ปัญหาก็คือข้าไม่รู้เลยนี่สิว่าครั้งต่อไป การฝึกอบรมอวกาศในนรกมนตราของสำนักเฉียนหลงจะจัดขึ้นเมื่อไร”
ลั่วอู๋เกรงว่ามันเพิ่งผ่านไปแล้วก่อนที่เขาจะมาได้ไม่นาน
หากให้ลั่วอู๋ประมาณเวลาของการเปิดประตูห้วงมิติครั้งต่อไป
มันน่าจะอีกห้าปีข้างหน้า
“หวังว่าจะมีนักเรียนที่เอาแต่ใจสักคนอยากจะมาที่นรกมนตราแล้วบังคับให้รองประธานสำนักเปิดห้วงประตูมิติ ข้ารอไม่ไหวแล้ว ” ลั่วอู๋อธิษฐาน
นารุน้อยอยากรู้อยากเห็น “ท่านอาจารย์กำลังคิดอะไรอยู่งั้นเหรอ?”
“ไม่มีอะไรหรอก” ลั่วอู๋รู้สึกตัวและส่ายหัว “ว่าแต่เร็ว ๆ นี้มีอะไรเกิดอะไรขึ้นในเผ่าบ้างไหม”
นารุน้อยหันมาด้วยใบหน้าอันจริงจัง “ไม่มี ไม่มี”
ลั่วอู๋อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
ตลอดสามเดือนที่ผ่านมาที่เขาเอาแต่ฝึกฝนอยู่ในบ้านหิน แต่เขาก็พอจะรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับโลกภายนอก
อาหารสะอาดและยารักษาโรคของชาวแซคนั้นหมดลงแล้ว ซึ่งทำให้แซคเฒ่าปวดหัวมากและหลายคนก็เรื่องตื่นกลัว
ตอนนี้วิถีชีวิตของชาวแซคจึงแย่ลงมาก
แม้ว่าเลือดและเนื้อสัตว์วิญญาณที่ถูกพลังวิญญาณชั่วร้ายจะสามารถรับประทานได้ แต่มันก็ยังอาจมีอันตราย และไม่มีเป็นประโยชน์ ชาวแซคดั้งเดิมจึงมักมีอายุไม่เกิน 50 ปี
ดังนั้นเนื้อของหนูวิญญาณ จึงควรใช้เป็นอาหารในยามฉุกเฉินเท่านั้น
อย่างไรก็ตามหากเป็นนักรบ พวกเขาก็จะสามารถเปลี่ยนพอพลังวิญญาณชั่วร้ายให้กลายเป็นพลังวิญญาณดูดซึมมาได้บ้างอย่างช้าๆ
ลั่วอู๋ลุกขึ้นยืนจากเตียงหิน ลมปราณของเขาค่อย ๆ ถูกปลดปล่อยออกมา ราวกับดาบที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่นละออง
“ ท่านอาจารย์จะออกไปที่ไหน” นารุกล่าวด้วยความประหลาดใจ
ลั่วอู๋หัวเราะ “หลังจากนั่งมาสามเดือน มันถึงเวลาที่ข้าจะออกไปเดินเล่นแล้ว มันเป็นสิ่งที่ข้าต้องทำ ข้าพึ่งพาพวกเจ้าไปตลอดไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากใช้ชีวิตมานานขนาดนี้ ข้าควรจะทำอะไรบางอย่างให้กับพวกเจ้าบ้างไม่เช่นนั้นมันก็จะผิดต่อพวกเจ้าเกินไป ที่มากินและดื่มโดยเปล่าประโยชน์”
“ ยอดเลย” นารุดูมีความสุข
เวลานี้เผ่าแซคต่างก็มาร้องเรียนเกี่ยวกับลั่วอู๋กันมากมาย แม้ว่าชาวแซคจะรู้สึกขอบคุณลั่วอู๋ แต่อาหารของลั่วอู๋นั้นต้องเป็นของสะอาดเสมอ เพราะเขากำลังรักษาตัว
ยิ่งไปกว่านั้นลั่วอู๋มีพลังวิญญาณมาก แต่กลับอยู่ในบ้านหินทั้งวันและไม่ได้ช่วยงานอะไร แถมยังไม่สามารถทำธุรกิจตามที่ตกลงกันไว้ต่อได้อีก
ความกตัญญูในอดีตก็คือความกตัญญูในอดีต
ตอนนี้ถ้าเขาไม่ได้ทำอะไรเลย มันก็คงจะไม่ได้มันจะขี้เกียจเกินไป
นารุไม่อยากเป็นผู้คนชาวแซคเริ่มเกลียดลั่วอู๋ ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินว่าท่านอาจารย์ของเขากำลังจะออกไปทำงาน เขาก็ย่อมต้องส่งเสียงยินดี
ลั่วอู๋กล่าว “นารุเจ้าไปบอกหัวหน้าเผ่าที ว่าเรื่องอาหารและยารักษาข้าจะหาทางแก้ไขให้”
“ได้เลย” นารุกอดกำปั้นตลก ๆ แล้ววิ่งออกไป
ขณะนั้นเองในมือของลั่วอู๋ ดาบเลือดเดือดก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้น
ดาบระบำแห่งความตายนั่นเอง
มันคือดาบวิญญาณ ดังนั้นมันจึงไม่ได้อยู่ในมิติไห แต่อยู่ในแก่นวิญญาณของเขา
ตลอดสามเดือนที่ผ่านมา ลั่วอู๋ ไม่สามารถใช้ทักษะใด ๆ ของเขาได้เลย เพราะเขาไม่สามารถเชื่อมต่อกับสัตว์วิญญาณคู่พันธะของเขาได้ ดังนั้นเขาจึงสามารถพยายามทำความเข้าใจแก่นแท้ทักษะต่าง ๆ ได้ด้วยความเร็วเพียงครึ่งเดียว
นี่ทำให้ลั่วอู๋มีสมาธิกับวิชาดาบ
เช่นทักษะที่หลินเจิ้งคิดค้นขึ้นมาอย่าง [หยินเซียน] ลั่วอู๋ได้ใช้เวลาศึกษามันอย่างรอบคอบที่นี่ แม้ว่าเขาจะล้มเหลวในทีแรก และจะสามารถใช้มันได้ ก็ต่อเมื่อใช้มันด้วยพลังของเสี่ยวกง
แต่หลังจากที่เขาได้ใช้มันมาหลายต่อหลายครั้งในอดีต เขาก็เริ่มมีความเข้าใจมากเกี่ยวกับทักษะดาบนี้มากขึ้น
และด้วยประสบการณ์ทั้งหมดนั้น ลั่วอู๋จึงรับรู้ถึงมันได้สำเร็จ จิตใต้สำนึกของเขาได้เข้าใจถึงความรู้สึกแห่งดาบ
นี่ทำให้เขาประหลาดใจอยู่พอสมควรที่ตนเองสามารถใช้ทักษะดาบ [หยินเซียน] ได้ แต่มันก็ยังค่อนข้างแตกต่างจากของหลินเจิ้ง
ลั่วอู๋จึงยิ่งชื่นชมหลินเจิ้งจากก้นบึ้งของหัวใจ
สมแล้วที่เขาถูกยกย่องให้เป็นนักดาบอันดับหนึ่งของโลก ทักษะดาบของเขานั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามความเข้าใจของผู้ใช้ มันช่างเป็นทักษะที่ทรงพลังมากจริง ๆ
“มาเถอะ ถึงเวลาเลื่อนขั้นของเจ้าแล้ว” ลั่วอู๋พูดกับดาบระบำแห่งความตายในมือพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ
สีแดงสดของดาบระบำแห่งความตายสั่นเล็กน้อย ทำให้เกิดเสียงดาบอันแหลมคมราวกับว่ากำลังตื่นเต้น
แก่นวิญญาณที่ถูกบ่มเพาะในดาบนั้นเริ่มมีเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ คาดว่าอีกไม่นานดาบระบำแห่งความตายเล่มนี้คงจะได้กลายเป็นอาวุธมนตราอย่างแท้จริง
แม้ว่ามันจะล้มเหลวในการเติบโตมาถึง 43 ครั้ง แต่ดาบระบำแห่งความตายนั้นก็เต็มไปด้วยเลือดของผู้ใช้พลังวิญญาณและสัตว์วิญญาณที่แข็งแกร่ง ขณะนี้มันจึงอยู่ห่างออกไปเพียงครึ่งก้าว ก่อนที่มันจะเลื่อนขึ้นระดับไปสู่ระดับสวรรค์ได้อย่างแท้จริง
น่าเสียดายที่ลั่วอู๋ไม่มีเวลาจะใช้มันเลยในช่วงที่ผ่านมา
เหมือนว่าเขาฆ่าดาบระบำแห่งความตายทั้งเป็นด้วยการทำให้มันต้องรอ
อย่างไรก็ตามแก่นวิญญาณของดาบนั้นก็ยังคมกริบ และความตั้งใจของดาบเองก็รุนแรงจนยากเกินกว่าจะยับยั้ง ราวกับว่ามันกำลังจะระเบิดออกมา
“ข้าไม่รู้เลยว่า เจ้าจะพัฒนาไปเป็นอะไร” ลั่วอู๋หัวเราะและเดินออกจากบ้านหิน
ด้วยเสียงตะโกนของนารุ ผู้คนชาวแซคจึงได้มารวมตัวกันและมองไปที่ลั่วอู๋อย่างอยากรู้อยากเห็น พวกชาวแซคไม่รู้เลยว่าเขากำลังจะไปไหน
แซคเฒ่าเองก็เดินมาหาเขาด้วยสภาพตัวสั่นเครือ “เจ้าจะไปไหน?”
ลั่วอู๋พูดอย่างแผ่วเบา “สภาพแวดล้อมของนรกมนตราทำให้สัตว์วิญญาณส่วนใหญ่ปนเปื้อนพลังวิญญาณอันชั่วร้าย จนทำให้อาหารเป็นพิษ แต่เมื่อครั้งที่แล้วที่ข้ามาที่นี่ ข้าได้พบกับเต่าตัวใหญ่ซึ่งอยู่ในระดับสูงสุดของมิติวิญญาณทองขั้นสูง แม้ว่ามันจะเป็นสัตว์วิญญาณของที่นี่ แต่เนื้อและเลือดของมันก็น่าจะสะอาดเพียงพอที่จะนำมากินได้เป็นเวลานาน”
ชาวแซคต่างตกใจ
เต่าที่อยู่ในระดับสูงสุดของมิติวิญญาณทองขั้นสูง?
พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดเกี่ยวกับมันด้วยซ้ำ
“เจ้าบ้าไปแล้วรึเปล่า?” แซคเฒ่าตกใจ “เจ้าเพิ่งฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บสาหัส และสัตว์วิญญาณ ของเจ้าเองก็ไม่อยู่ที่นี่ เจ้าจะไปท้าทายเต่าที่อยู่ในระดับสูงสุดของมิติวิญญาณทองขั้นสูงได้อย่างไรกัน?”
“ถ้าไม่ใช่เพราะมันอยู่ในระดับสูงสุดของมิติวิญญาณทองขั้นสูง ข้าก็คงไม่เลือกมันหรอก” ลั่วอู๋ยกปากขึ้น
จากนั้นเขาก็ก้าวกระโดดลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า หายไปจากตรงหน้ากลุ่มชาวแซค
เหล่าชาวแซคต่างหันมามองหน้ากัน
พวกเขาคิดว่าลั่วอู๋เป็นบ้าไปแล้ว