ไหปีศาจ - บทที่ 710 ช่างเป็นเนื้อที่ชิ้นใหญ่อะไรอย่างนี้
บทที่ 710 ช่างเป็นเนื้อที่ชิ้นใหญ่อะไรอย่างนี้
บทที่ 710
ช่างเป็นเนื้อที่ชิ้นใหญ่อะไรอย่างนี้
ณ ถิ่นฐานของชาวแซค
กูระ นักรบอันดับหนึ่งของเผ่ากำลังนั่งอยู่ในถังหิน เขาอาบน้ำยาสีขุ่นอยู่ โดยในน้ำเต็มไปด้วยซากแขนขาที่เหลืออยู่ของสิ่งมีชีวิตอันน่าขยะแขยงต่าง ๆ เช่นแมงป่องและแมงมุม ซากเหล่านั้นลอยอยู่บนของเหลวส่งกลิ่นเหม็นหืนออกมา
วิธีรักษาด้วยน้ำยานี้เป็นสูตรที่ทางเผ่าได้รวบรวมมาอย่างยากลำบากจนเสร็จสิ้นสมบูรณ์ หลังจากการพยายามมาหลายต่อหลายครั้ง
แม้ว่าผลลัพธ์จะไม่ดีเท่าไหร่นักและเต็มไปด้วยสารน่ารังเกียจมากมายในนั้น แต่มันก็มีประโยชน์มากสำหรับการรักษาร่างกาย โดยมีเพียงแค่สามคนในเผ่าแซคทั้งหมดเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะใช้บ่ออาบยานี้
ถ้าหากต้องพึ่งพายาชนิดนี้บ่อย ๆ แม้แต่เขาเองก็คงจะต้องเสียชีวิตลงอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามตราบใดที่เขาสามารถฝ่าฟันมันไปได้ เขาก็จะสามารถรักษาฟื้นฟูร่างกายของตนเองกลับมาได้
ในความเป็นจริง กูระ ไม่ต้องการของเหลวประเภทนี้อีกต่อไป เพราะสถานะที่แท้จริงของเขานั้นได้ไปถึงระดับทองแล้ว ทำให้ของเหลวเหล่านี้ไม่มีประโยชน์สำหรับเขา
แต่เพื่อช่วยให้ ลั่วอู๋ ฟื้นตัวขึ้นมาได้ เขานั้นได้เผาแก่นวิญญาณและเลือดของตนเองไปเป็นจำนวนมาก จนมิติวิญญาณของเขาก็ตกลงไปที่ระดับ เงิน มิติ 2
เพื่อป้องกันไม่ให้มิติวิญญาณเสื่อมลงไปมากกว่านี้ เขาจึงต้องพึ่งพายาเหลวเพื่อรักษาเสถียรภาพของมิติวิญญาณ
“ ฮู … ”
แก่นวิญญาณ อันชั่วร้ายบริสุทธิ์ถูกนำเข้าสู่ร่างกายของเขา
จากนั้นรอยสีดำก็ปรากฏขึ้นบนร่างกายของเขาราวกับปานพิษ ร่องรอยของความเจ็บปวดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของกูระ แต่เพียงครู่เดียวสีดำนั้นก็หายไป ราวกับมันได้ละลายเข้าไปในร่างกายของเขา จากนั้นคิ้วของเขาก็ค่อย ๆ ขยายออกอย่างผ่อนคลาย
นี่คือข้อเสียของการฝึกฝนพลังวิญญาณในนรกมนตรา
ไม่มีใครคอยชี้ทางให้เห็น พวกเขาจะต้องฝึกฝนแบบคลำทางไปข้างหน้า กระตือรือร้นที่จะพัฒนามิติวิญญาณแบบลองผิดลองถูก ดูดซับพลังวิญญาณเข้ามาเพื่อพัฒนาร่างกาย
ทุกขั้นตอนของการฝึกฝนล้วนเป็นเรื่องที่เจ็บปวดอย่างยิ่ง
“ในที่สุดข้าก็กลับไปที่มิติวิญญาณระดับทองได้เสียที แต่ข้าไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่ข้าถึงจะฟื้นตัวกลับมาได้อย่างสมบูรณ์อีก” กูระ ยิ้มอย่างขมขื่นและลุกขึ้นจากถังหิน
ของเหลวในถังหินได้ถูกเขาดูดซับไปเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงน้ำยาอันขุ่นมัวและส่งกลิ่นเหม็น สิ่งเหล่านี้เป็นสารตกค้างที่เหลืออยู่ จึงเป็นเพียงของเสียที่มีความเป็นพิษสูง
กูระ เดินออกจากห้องของเขา ทำให้ชาวแซคต่างมีความสุขกันมากที่ได้พบเขา
“ กูระออกมาแล้ว!”
“สุดยอดจริง ๆ ”
“ตราบใดที่เจ้ายังอยู่ที่นี่ พวกเราก็วางใจได้”
“ ยังมีเนื้อสะอาดเหลืออยู่ รีบ ๆ ฟื้นกลับมาไว ๆ นะ ข้าจะเอามาให้เจ้า”
ผู้คนในเผ่าต่างให้ความช่วยเหลือกับเขาอย่างอบอุ่น
กูระตอบด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นใจ ตราบที่เขาสามารถปกป้องพวกพ้องจากความทุกข์ยากได้ เขาพร้อมทำทุกอย่าง
แซคเฒ่าเองก็ได้มาที่นี่ด้วย เขาเป็นคนที่มีจิตใจดีและดูแก่มาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว แซคเฒ่านั้นมีอายุเพียงแค่ 40 ปี
“หัวหน้าเผ่า” คำทักทายอย่างเคารพดังมาจากทุก ๆ คนในเผ่า
กูระ เห็นเขาก็ทักทันที “ท่านหัวหน้าเผ่า ท่านสุขภาพไม่ดีเท่าไหร่ ท่านควรพักผ่อน”
“ไม่เป็นไรไม่เป็นไร” แซคเฒ่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “สภาพของเจ้ากลับมาดีขึ้นรึยัง”
“ข้ากลับขึ้นมาเป็นมิติวิญญาณระดับทองได้แล้ว” กูระ ตบหน้าอกของเขา
“ดีมาก ดีมาก”
แซคเฒ่าดูมีความสุขมาก
“ เอาเถอะ แล้วพี่น้องคนอื่น ๆ ล่ะ” กูระถาม
มีนักรบทั้งหมด 18 คนในเผ่าที่ได้เผาแก่นวิญญาณและเลือด เพื่อช่วยให้ลั่วอู๋ฟื้นสภาพร่างกายของเขากลับมา ระดับกูระยังตกต่ำถึงขนาดนี้คนอื่น ๆ ย่อมมีสภาพแย่ลงไปตามธรรมชาติ
บรรยากาศแย่ลงมาในทันที
ผู้คนชาวแซคต่างมองหน้ากันด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
กูระตะลึง “มีอะไรงั้นเหรอ?”
“พวกเขายังไม่ฟื้นตัวเลย ตอนนี้มิติวิญญาณของพวกเขาล่มสลายไปแล้ว” แซคเฒ่ากล่าวโดยไม่ปิดบัง
“นี่มันเกิดขึ้นได้ยังไง!”
“ไม่แปลกหรอก วัสดุที่ใช้ในการทำน้ำยาอาบนั้นมีไม่เพียงพอ พวกเราสามารถรวบรวมพวกมันเข้าด้วยกันเพื่อช่วยให้เจ้าฟื้นมาก่อนได้เพียงคนเดียวเท่านั้น พวกเราต้องการนักรบที่แข็งแกร่งมาปกป้องเผ่า” แซคเฒ่ากล่าวอย่างจริงจัง “ไม่เช่นนั้นเผ่าของเราก็คงจะไม่สามารถต้านทานภัยอันตรายจากภายนอกได้”
ริมฝีปากของ กูระ ขยับและเขาไม่สามารถพูดอะไรได้
แม้แต่ยาเหลวที่เป็นอันตรายก็ยังหายาก สำหรับเผ่าแซคในตอนนี้
“ ชีวิตของพวกเขาไม่ตกอยู่ในอันตรายใช่ไหม?” กูระ ถามหลังจากที่เงียบไปนาน
แซคเฒ่าส่ายหัว “ไม่ต้องกังวลไป สิ่งที่พวกเขาสูญเสียไปมีเพียงความสามารถในฐานะนักรบ อย่างไรก็ตามสภาพของพวกเขาก็ยังดีกว่าคนธรรมดาทั่วไปมาก”
กูระได้ แต่ถอนหายใจและยอมรับความเป็นจริง
ทันใดนั้นเสียงของเด็กน้อยก็ดังขึ้นมา “ไม่เป็นไรท่านอาจารย์ บอกว่าจะแก้ปัญหาเรื่องอาหารและยารักษาโรคให้พวกเราเอง”
ทุกคนมองไปทางต้นเสียง
แน่นอนว่านั่นเป็นเสียงของนารุน้อย ใบหน้าเด็กของเขาเต็มไปด้วยความจริงจัง
ทุกวันลั่วอู๋ใส่แก่นแท้ดาบลงไปให้เขาได้ทำความเข้าใจ แม้ว่าเขาจะยังไม่เข้าใจมันทั้งหมด แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังวิญญาณจากทักษะของอาจารย์
อาจารย์มีพลังอำนาจมากกว่าท่านลุงมาก
ในเมื่อลั่วอู๋บอกว่าจะแก้ไขให้ เขาก็คงจะทำตามนั้นได้อย่างแน่นอน
ผู้คนในเผ่าต่างทำอะไรไม่ถูก
พวกเขาทุกคนต่างรู้ดีว่าลั่วอู๋กำลังทำอะไร
มันบ้ามากที่จะไปท้าทายกับเต่าวิญญาณที่อยู่ในจุดสูงสุดของมิติวิญญาณระดับทองขั้นสูง
กูระอยากจะถามกลับไป แต่เขาก็เลือกที่จะยิ้มอย่างช่วยไม่ได้แทน เต่าวิญญาณที่อยู่ในจุดสูงสุดของมิติวิญญาณระดับทองขั้นสูง? เกรงว่าถ้าเป็นเขาที่ไป เขาก็คงจะตายในการโจมตีของมันเพียงครั้งเดียว
แม้ว่าผู้มีพระคุณอย่างลั่วอู๋จะมีความแข็งแกร่งของระดับทองขั้นสูง แต่เขาก็เป็นเพียงผู้ใช้พลังวิญญาณที่ไม่มีสัตว์วิญญาณ ความแข็งแกร่งของลั่วอู๋ถูกลดลงเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บสาหัสในช่วงเริ่มต้นของการฟื้นตัว ด้วยความแข็งแกร่งระดับนั้น
เขาจะไปเอาชนะเต่าวิญญาณได้ยังไง
กูระก้มศีรษะลงแล้วถาม “นารุตัวน้อยเจ้าบอกว่าเขาจะแก้ปัญหาเรื่องอาหารและยารักษาโรคให้กับพวกเรางั้นเหรอ?”
นารุน้อยพยักหน้าอย่างหนัก “ใช่นั่นคือสิ่งที่ท่านอาจารย์พูด”
“ แล้วเขาจะแก้ไขมันยังไง?”
“เอ่อ … ” นารุสับสน
เด็กน้อยอายุเพียงไม่ถึงสี่ขวบ ย่อมไม่รู้อะไรมากนัก เขาแค่เชื่อใจในตัวลั่วอู๋
กูระ ได้ แต่ส่ายหัว ความหวังของเขาดูจะไร้ผล
ที่นารุออกมาแบบนี้ก็เพราะว่า ป้าและคนอื่น ๆ ในเผ่าต่างโกรธอาจารย์ของเขากันอย่างเห็นได้ชัด
พวกเขาหันหน้าหนีจากนารุ และทำทีเป็นไม่สนใจ
อย่างไรก็ตามพวกเขามีสิ่งที่สำคัญกว่าจะต้องทำ พวกเขาไม่มีเวลามาสนใจเรื่องพรรค์นี้
“ฮึ่ม แล้วแต่พวกเจ้าเลย ข้าจะไปตามหาท่านอาจารย์” นารุน้อยหันหน้าไปทางพวกเขาอย่างโกรธ ๆ แล้ววิ่งออกไป โดยไม่ลืมที่จะนำหอกไม้ของตัวเองติดมือไปด้วย
มันอันตรายเป็นอย่างยิ่งที่จะวิ่งออกไปภายนอกคนเดียว
ไม่ต้องพูดถึงจุดที่ว่าเขาเป็นเพียงเด็กอายุต่ำกว่าสี่ขวบ
แม้แต่หนูวิญญาณที่อ่อนแอที่สุด ก็ยังแข็งแกร่งกว่านารุน้อยที่อายุไม่ถึงสี่ขวบ
แต่เมื่อเด็กน้อยโกรธเขาก็ไม่ได้สนใจคำเตือนของพ่อแม่อีกต่อไป แม้ว่าพวกเขาจะเตือนนารุหลายต่อหลายครั้งแล้วว่าอย่าออกไปไหนคนเดียว
พวกยามคุ้มกันเผ่าเองก็ไม่ได้สนใจเลย พวกเขาคิดเพียงว่านารุตัวน้อยกำลังเล่นซ่อนหาอยู่ พวกเขาจึงไม่ได้ตามไปดูอย่างจริงจัง และปล่อยให้นารุวิ่งออกไป
“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์หายไปไหนแล้ว” นารุน้อยคิด
น่าจะเป็นทางทิศตะวันตก
นารุน้อยวิ่งไปทางทิศตะวันตก
วิ่งต่อไปเรื่อย ๆ
โชคดีที่เขาไม่เจอกับอันตราย
แต่หลังจากวิ่งไปได้ประมาณสิบนาที นารุก็รู้สึกเหนื่อยจนเดินไม่ไหว สภาพแวดล้อมรอบตัวเขานั้นมืดมนและน่ากลัว
นารุน้อยจึงเริ่มร้องไห้
“ฮือ ข้าอยากกลับบ้าน”
ในเวลานี้เสียงอันงงงวยก็ดังขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็กลับไปที่เผ่าสิ มันอยู่ข้างหลังเจ้าไม่ใช่เหรอ?”
นารุน้อยหยุดร้องไห้และมองไปรอบ ๆ
ที่ตั้งของเผ่านั้นอยู่ห่างออกไปถึง 100 เมตร
แต่หลังจากวิ่งไปเพียงแค่สิบนาที ด้วยความแข็งแกร่งของนารุตัวเล็ก เขานั้นสามารถเดินไปได้ไกลได้แค่นั้น
โอ้ ในที่สุดเสียงนี้มัน
นารุน้อยเปลี่ยนใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาของเขาให้กลายเป็นรอยยิ้ม
จากนั้นเขาก็มองไปตรงหน้า เงยขึ้นไปหาคนที่เพิ่งพูดกับเขา
“ท่านอาจารย์!” นารุน้อยร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น
ใช่แล้ว เขาคือลั่วอู๋
ลั่วอู๋เตรียมจะกลับไปยังเผ่าแซค แต่เขาดันมาเจอกับนารุตัวน้อยที่กำลังร้องไห้งอแงจะกลับบ้าน
เมื่อมองไปที่นารุที่เขามากอดขาของเขาอย่างตื่นเต้น ลั่วอู๋ก็สับสน
เขาไม่ควรยอมรับเด็กโง่คนนี้เป็นศิษย์เลย
แต่ช่างมันเถอะ ตอนนี้เขาต้องกลับไปที่เผ่าแซคก่อน
ลั่วอู๋กอดนารุตัวน้อย อุ้มเขากลับไปที่เผ่าแล้วทิ้งอุ้งเท้าเต่าขนาดใหญ่ลงบนพื้นอย่างแรง
“ มันตายแล้ว” ลั่วอู๋บ่นและตะโกน “ออกมากินเนื้อมันกัน!”
ชาวแซคเดือดพล่านในทันที
ทุกคนมองไปที่อุ้งเท้าเต่าขนาดใหญ่เท่าเนินเขา ตกอยู่ในสภาพที่เต็มไปด้วยโคลน
ช่างเป็นเนื้อชิ้นใหญ่อะไรอย่างนี้