ไหปีศาจ - บทที่ 712 หาทางกลับบ้าน
บทที่ 712 หาทางกลับบ้าน
บทที่ 712
หาทางกลับบ้าน
ในไม่ช้าลั่วอู๋ก็นำซากที่เหลือทั้งหมดของเต่าสังหารจักรพรรดิกลับมา
แม้ว่าดาบเทพพิทักษ์จะดูเลือดของมันจนหมด แต่ซากของมันก็ยังหนักมาก ลั่วอู๋ต้องเดินไปกลับราว ๆ สี่ถึงห้ารอบ ถึงจะเคลื่อนย้ายซากทั้งหมดกลับมาได้อย่างสมบูรณ์
“กระดองเต่าสามารถใช้บดเป็นยาเสริมกล้ามเนื้อและกระดูก เกล็ดของงูสามารถใช้เป็นเกราะ และเขี้ยวทั้งสองข้างของมันสามารถใช้ทำอาวุธได้ … ”
ลั่วอู๋บอกกับชาวแซคถึงประโยชน์ในแต่ล่ะส่วนของซากเต่าสังหารจักรพรรดิ
ในเวลานี้ชาวแซคต่างกรูเข้ามากันเต็มไปหมด ทุกคนนั้นเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น พวกเขาไม่จำเป็นต้องออกไปล่าสัตว์สักพักใหญ่ ๆ ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงมาจัดการกับ “อาหาร” แทน
เผ่าแซคนั้นน่าจะได้รับประโยชน์มากมายจากซากเต่าวิญญาณตัวใหญ่ตัวนี้ ลั่วอู๋เชื่อว่าในอนาคตอันใกล้ ความแข็งแกร่งของชาวแซคจะดีขึ้นมากแน่
นี่คือรางวัลของลั่วอู๋สำหรับชาวแซค
พวกเขาช่วยชีวิตลั่วอู๋ไว้ เขาจึงตอบแทนด้วยการช่วยให้เผ่าของชาวแซคแข็งแกร่งขึ้น
นอกจาก กูระ แล้ว นักรบทั้ง 17คน เองก็ได้เข้ามาขอบคุณ ลั่วอู๋ พวกเขานั้นได้กินเนื้อของเต่าสังหารจักรพรรดิเป็นกลุ่มแรก ตอนนี้ร่างกายของพวกเขาจึงฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้ง
พวกเขาไม่ได้เพียงแค่ฟื้นฟูกลับมาดังเดิมเท่านั้น เนื้อเต่าได้ทำให้ความแข็งแกร่งทางร่างกายของพวกเขาดีขึ้นจากเดิมอีกด้วย ราวกับเป็นพรที่พวกเขาได้ช่วยเหลือลั่วอู๋ไว้
ลั่วอู๋นั่งอยู่ในบ้านหินเงียบ ๆ มองดาบเทพพิทักษ์ในมือของเขา
อาวุธมนตราที่แข็งแกร่งจะมีสภาพในการปกปิดตนเอง
ไม่มีปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติใด ๆ รอบ ๆ ดาบเทพพิทักษ์ในเวลาปกติ
แต่ถ้าเข้าสู่สภาพการณ์ต่อสู้จริง ดาบวิญญาณเล่มนี้ก็จะเบ่งบานแสงอันเจิดจรัสที่สุดออกมา
มันเป็นวัตถุวิญญาณชั้นยอด
ระดับพลังวิญญาณของมันเพิ่มขึ้น ราว ๆ สองมิติวิญญาณ ซึ่งเป็นสิ่งที่ลั่วอู๋ไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น
อาจจะเป็นเพราะเลือดในร่างของเต่าสังหารจักรพรรดิมีเลือดของเต่าทักษิณ หรือไม่ก็เป็นเพราะความมุ่งมั่นที่จะปกป้องลั่วอู๋ของตัวดาบ ลั่วอู๋ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ แต่มันก็เป็นสิ่งที่ดี
พลังป้องกันของดาบเล่มนี้ ทำให้ความแข็งแกร่งของลั่วอู๋เพิ่มสูงขึ้นมาก แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ในช่วงวิกฤตก็ตาม
“นายท่าน ดูเหมือนว่าท่านจะมีอะไรบางอย่างสงสัยในใจ” เสียงของจื่อซวนดังขึ้นในหัวของเขา มันเป็นเสียงที่เบาเรียบสง่างามน่าฟังมาก
ลั่วอู๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าห้ามแสดงตัวให้ฉูจงฉวนเห็นโดยเด็ดขาดเลยนะ ไม่งั้นข้าเกรงว่าข้าอาจจะต้องเสียดาบของข้าไป”
“หืม?”
จื่อซวน สับสน
นางเพิ่งเกิดมาได้ไม่นาน เรื่องราวทุกอย่างในอดีตจึงยังเป็นเหมือนแค่ความฝัน และรายละเอียดที่ไม่ได้สำคัญในความฝัน ก็ย่อมถูกละทิ้งไปโดยธรรมชาติ เมื่อจิตวิญญาณของนางกลั่นตัวขึ้นมา
แม้ว่าฉูจงฉวนจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของลั่วอู๋ แต่เขาก็ยังคงเป็นเพียง “รายละเอียดที่ไม่สำคัญ”
“ไม่มีอะไร ๆ ข้าแค่บ่นนิดหน่อยน่ะ” ลั่วอู๋กล่าวช้าๆ
หมู่บ้านของชาวแซคนั้นมีชีวิตชีวาขึ้นมาก
ทุกคนต่างทำงานหนักและหัวเราะ
แต่ลั่วอู๋นั้นไม่ใช่ชาวแซค
เขาเก็บตัวอยู่คนเดียวในบ้านหินหลังเล็ก แม้ว่าจะมี จื่อซวนอยู่ด้วย แต่มันก็ยังไม่เพียงพอ ลั่วอู๋ยังคงรู้สึกเหงาเล็กน้อย
จื่อซวนกล่าวขึ้นว่า “แล้วพวกเราจะหาทางกลับไปยังไงดี นายท่าน”
“มันไม่ง่ายเลย ข้าไม่สามารถเปิดประตูห้วงมิติด้วยตัวเองได้ และถึงแม้ว่าข้าจะทำแบบนั้นได้ แต่ข้าก็ไม่มีพิกัดของห้วงมิติหลัก” ลั่วอู๋ถอนหายใจ
เขาย้อนกลับมิติหลักไม่ได้ ประตูห้วงมิติของสำนักเฉียนหลงเองก็ยังไม่เปิด
ลั่วอู๋ไม่มีทางที่จะกลับไปยังมิติหลักได้เลย
เขาไม่รู้ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับหลี่หยินและฉูจงฉวน หลี่ซวนซงได้ทำอะไรให้พวกเขาต้องลำบากใจไหม
จื่อซวนเงียบไปครู่หนึ่ง “แม้ว่าข้าจะจำหลายสิ่งในอดีตไม่ได้ แต่ก็จำสิ่งหนึ่งที่สำคัญเกี่ยวกับนรกมนตราได้ชัดเจน นายท่านดูเหมือนจะเคยได้พบกับสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังจนไม่มีใครเทียบได้ในนรก มันยังคงสดใหม่ในความทรงจำของข้า”
“อืม ใช่” ลั่วอู๋มีข้อสงสัยบางอย่าง
ถ้าเขาต้องเจออะไรแบบนั้นในตอนนี้ เขาจะรอดออกมาเหมือนคราวก่อนได้ไหม
ทันใดนั้นลั่วอู๋ดูเหมือนจะนึกถึงอะไรบางอย่างได้และรู้สึกตื่นเต้น
ใช่
ข้าลืมไปได้ยังไงกัน
คราวก่อนเขาเข้ามาที่นรกมนตราเพื่ออะไร?
เขามาที่นี่เพื่อถามท่านเจ้าสำนักเกี่ยวกับภูตไห
ท่านเจ้าสำนักได้ใช้ร่างแยกของตนเองจุติกลายเป็นเสาผนึกมนตรา ซึ่งอยู่ในนรกมนตรา
“ถ้าเป็นเจ้าสำนักละก็ เขาต้องมีหนทางช่วยข้าแน่” ลั่วอู๋อารมณ์ดีขึ้นมาทันที “ขอบคุณที่เตือนข้าเรื่องนี้ ข้ารักเจ้า”
จื่อซวนยิ้มออกมาอย่างเขินอาย “ข้าดีใจที่ได้เป็นประโยชน์ต่อนายท่าน”
ลั่วอู๋อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่า ดาบเทพพิทักษ์นั้นช่างวิเศษ จริง ๆ
จากนั้นลั่วอู๋ก็เดินออกจากบ้านหินไป
“ท่านผู้มีพระคุณ ท่านจะออกไปที่ไหนกัน?” กูระถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
“หาทางกลับบ้าน” ลั่วอู๋พูดด้วยรอยยิ้ม
……
……
อีกด้านหนึ่งใกล้ ๆ กับมณฑลเชิงหยวน ทางตอนใต้ของอาณาจักรราชวงศ์มังกรเร้นกาย
กองทหารอันดับหนึ่งของจักรวรรดิ กองทัพหมาป่าได้ประจำการอยู่ที่นี่
ในขณะนี้บรรยากาศในค่ายดูมืดมน ซึ่งกลิ่นของยาและเลือดอันรุนแรงก็ได้เพิ่มความรู้สึกอันโศกเศร้าขึ้นไปอีก
ในค่ายมีนายพลของหน่วยต่าง ๆ นั่งอยู่ทั้งสองข้าง ขณะที่เจียหมิงหยูในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุดนั่งอยู่บนบัลลังก์ด้วยท่าทางอันสงบและสีหน้าเฉยเมย
เขาเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพหมาป่า
อีกทั้งยังเป็นขุนนางคนสำคัญที่เรียกว่า “ขุนนางชุดแดง” ของราชสำนักในปัจจุบัน
หากเขาไม่ได้ส่งจดหมายลับเพื่อเรียกให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าจากกองทัพหมาป่า ในกองทหารสำคัญต่าง ๆ ทำการกบฏ เกรงว่าหลี่ซวนซงคงจะไม่สามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้อย่างง่ายดายเช่นทุกวันนี้
ในเวลานั้นจักรพรรดิองค์เก่ายังคงมีอำนาจอยู่ การก่อกบฏจึงไม่ต่างอะไรไปจากการแสวงหาความตาย
อย่างไรก็ตามเจียหมิงหยูนั้นได้เลือกที่จะเชื่อในตัวของ หลี่ซวนซงอย่างแน่วแน่ และทำการเดิมพันครั้งใหญ่อีกครั้ง ด้วยอนาคตและชีวิตของเขา
โชคดีที่เขาชนะการเดิมพันครั้งนั้น
จักรพรรดิองค์เก่าหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย และ หลี่ซวนซงก็ได้ขึ้นครองบัลลังก์
นี่ทำให้หลี่ซวนซงไว้วางใจในตัวเขา เขาไม่เพียงแต่จัดระเบียบให้กองทัพหมาป่ากลับมาอีกครั้ง แต่ยังช่วยแต่งตั้งให้ เจียหมิงหยูได้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด อีกทั้งยังจัดเตรียมยุทโธปกรณ์ชั้นเยี่ยมจำนวนมากให้กับกองทัพหมาป่า รวมถึงลดทอนอำนาจของ หน่วยรบค่ายกลสังหารและหน่วยสยบมังกรให้อ่อนแอลงอย่างลับ ๆ และย้ายเหล่าทหารชั้นยอดไปยังกองทัพหมาป่าอย่างเงียบ ๆ
ตอนนี้กองทัพหมาป่าจึงมีความแข็งแกร่งโดยรวมแซงหน้าหน่วยรบค่ายกลสังหารไปแล้ว
หากไม่นับรวมหน่วยสยบมังกรแล้ว กองทัพหมาป่านั้นถือได้ว่าเป็นกองทัพอันดับหนึ่งของจักรวรรดิ
อย่างไรก็ตามกองทัพอันทรงพลังนี้ ในปัจจุบันกลับมีบรรยากาศในค่ายทหารที่แข็งกระด้าง พร้อมกับรอยยิ้มอันเบี้ยวบนใบหน้าของทหารแต่ละคน
เจียหมิงหยู จ้องมองไปยังจดหมายลับที่ถูกส่งมาหาเขา แล้วตบลงบนโต๊ะด้วยความโกรธ เขาทุบโต๊ะทั้งโต๊ะจนแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“เพียงแค่ 27 วัน ก็มียอดผู้เสียชีวิตมากกว่า 18,000 คนแล้วงั้นเหรอ!”
“ใครก็ได้อธิบายให้ข้าฟังหน่อย ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“พวกเจ้าทุกคนมันน่าสังเวช”
“แม้แต่ในตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับกองทหารช้างเผือกและกองทัพมังกรดำ กองทัพหมาป่าของเราก็ไม่เคยได้รับความเสียหายมากขนาดนี้มาก่อนแท้ ๆ”
เจียหมิงหยู คำราม
ลมปราณของผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรเบ่งบานออกมาอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งทำให้ผู้คนในนั้นแทบจะต้องหยุดหายใจ
ก่อนหน้านี้เขาเป็นเพียงผู้ใช้พลังวิญญาณที่อยู่ในระดับจุดสูงสุดของมิติวิญญาณทองขั้นสูง แต่ด้วยความช่วยเหลือจากองค์จักรพรรดิ เขาจึงโชคดีพอที่จะก้าวข้ามผ่านระดับนั้น ขึ้นเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรได้สำเร็จ
แม้ว่าจะเขาจะยังเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรมิติ 1 แต่ก็ยังเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรอยู่ดี
นายพลหลายสิบคนด้านล่างได้แต่มองหน้ากัน โดยที่ไม่มีใครกล้าที่จะพูดอะไร
มีเพียงนายพลที่มีหนวดเคราคนเดียวเท่านั้นที่กล้ายืนขึ้นมาพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ท่านผู้บัญชาการ มันไม่มีทางเลยที่พวกเราจะชนะพวกมัน กองทัพผีของนายพลผีนั้นแข็งแกร่งเกินไป ทันทีที่เหล่าวิญญาณผีพุ่งเข้ามา ทหารของเราก็สูญเสียแรงใจและอ่อนแอลง พวกเขาถูกแยกออกเป็นสามกลุ่ม จากนั้นก็ค่อย ๆ ถูกจัดการไปที่ล่ะกองทัพ ยิ่งไปกว่านั้นพลังของแม่ทัพผีไป่ฉียังเองก็ยังแข็งแกร่งมาก ไม่มีใครในตอนนั้นต่อต้านเขาได้เลย”
“ใช่แล้ว นอกจากนี้ยังมีกลุ่มนกวิญญาณปริศนาพวกนั้นอีก พวกมันถูกนำโดยนกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สีขาว ฝูงนกเหล่านั้นได้บุกเข้ามาก่อกวนทั้งเวลากลางวันและกลางคืน ทำให้ทหารของพวกเรามีเวลาพักผ่อนไม่เพียงพอ” นายพลอีกคนกล่าวขึ้นอย่างกล้าหาญ
“ไหนจะยังมีน้ำท่วมในทะเลสาบที่อธิบายไม่ได้ กับภูเขาไฟระเบิดและแผ่นดินไหวฉับพลันอีก”
“แล้วก็ยังมีกลุ่มมือสังหารที่มาและจากไปอย่างไร้ร่องรอยด้วย … ”
เหล่านายพลต่างพูดออกมาด้วยความขมขื่น
กองทหารที่พวกเขานำไปทั้งหมดได้รับผลกระทบอย่างหนัก
“มีแต่ข้อแก้ตัวกันทั้งนั้น!” เจียหมิงหยู กล่าวด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา“ กองทัพหมาป่าของพวกเราอยู่รอดในแผ่นดินใหญ่มานานหลายพันปีแล้ว แต่พวกเรายังคงกลัวปัญหาเล็ก ๆ เหล่านี้กันอยู่อีกงั้นเหรอ ? พวกเรามีวิธีมากมายที่จะจัดการกับสถานการณ์เหล่านี้ ถ้าพวกที่ลอบโจมตีพวกเรามันเหนือกว่าพวกเราจริง ๆ แล้วทำไมพวกมันจะต้องลอบโจมตีด้วยล่ะ?”
ใบหน้าของเหล่านายพลเปลี่ยนไปอย่างน่าเกลียด
ใช่แล้ว
คำพูดเหล่านี้ของพวกเขาล้วนเป็นข้อแก้ตัว
จริง ๆ แล้ว ที่พวกเขากลัวนั้นมีแค่คนคนเดียวเท่านั้น
เมื่อผู้หญิงคนนั้นอยู่ในสนามรบ ชีวิตของนายพลเช่นพวกเขาก็จะตกอยู่ในอันตราย และเมื่อนายพลเสียชีวิตลง ทหารที่อยู่ด้านล่างก็จะสูญเสียแรงใจในการต่อสู้จากนั้นพวกเขาก็จะพ่ายแพ้
“ ใช่ ปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือราชินีฝันร้าย พวกเราแก้ไขเรื่องนี้ไม่ได้” นายพลคนหนึ่งกล่าวออกมาอย่างไม่เต็มใจ
ทันทีที่เขาได้ยินคำว่าราชินีแห่งฝันร้าย
เจียหมิงหยู ก็ตกอยู่ในความเงียบราวกับว่ามีทะเลเลือดมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา