ไหปีศาจ - บทที่ 743 การซุ่มโจมตี
บทที่ 743 การซุ่มโจมตี
บทที่ 743
การซุ่มโจมตี
พวกเขาไม่ควรหยุดข้า
เหตุผลแค่นี้งั้นเหรอ ?
หากความเป็นมนุษย์อยู่ละก็ไม่ว่าใครเห็นฉากนี้ก็ต้องโกรธ
ทหารและพลเรือนผู้ภักดีจำนวนมากถูกสังหาร ซากศพของพวกเขาถูกกองรวมกันเป็นภูเขา แน่นอนว่ารวมถึงผู้ใช้พลังวิญญาณผู้ทรงพลังเองก็ด้วย ผู้ใช้พลังวิญญาณเหล่านั้นล้วนเป็นสมบัติของกองทัพ
ขณะนี้ได้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากอย่างน่าสลด
ก่อนหน้านี้ราชินีแห่งฝันร้ายจะลอบสังหารแต่ศัตรูที่ทรงพลังเท่านั้น ไม่ก็เพื่อการแก้แค้น นอกจากความโกรธแล้วเซียวอวี้ จึงยังสงสารและเห็นใจนางด้วยที่นางนั้นมีความสามารถอันยอดเยี่ยม
แต่ไม่มีอีกแล้ว
เพราะตอนนี้ราชินีแห่งฝันร้ายได้กลายเป็นเพียงแค่ฆาตกรเลือดเย็น
ตั้งแต่ที่เขารู้สึกได้ถึงลมปราณของราชินีแห่งฝันร้ายเขาก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะมาให้ทัน แต่มันก็ยังช้าเกินไป การสังหารนั้นเพิ่งจบลงไปไม่นาน
ความเสียหายนั้นมีมากเกินไป
ผู้คนทั้งหมดในพื้นที่นี้ได้ถูกกวาดล้างไปจนเกือบหมด
ราชินีแห่งฝันร้ายดูเหมือนจะได้รับการพักผ่อนจนเพียงพอแล้ว นางจึงลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ กระโปรงสีดำลึกของนางเบ่งบานด้วยดอกไม้สีเลือดอย่างมีเสน่ห์
นางกำลังเตรียมตัวที่จะไป
“หยุดเดี๋ยวนี้” เซียวอวี้ส่งเสียงคำรามต่ำ
แต่ราชินีแห่งฝันร้ายก็กลายร่างเป็นเงาหายไปอย่างรวดเร็ว
นางรู้ว่านางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเซียวอวี้ แม้ว่าฝันร้ายจะอยู่ในขั้นของ “มหาฝันร้าย” ที่แข็งแกร่งที่สุดก็ตามที แต่นางก็ยังเทียบเขาไม่ได้
นางจึงเลือกที่จะหนี
เซียวอวี้กลายเป็นแสงสีดำและลมปราณอันน่ากลัวของเขาทำให้พื้นที่แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
อย่างไรก็ตามด้วยเขาก็ต้องประหลาดใจ
ราชินีแห่งฝันร้ายนั้นดูเหมือนจะพัฒนาเข้าสู่มิติวิญญาณระดับที่สูงขึ้นกว่าเดิมไปแล้ว ความเร็วของนางเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก อีกทั้งนางนั้นยังได้รวมตัวเองเข้ากับเงามืดโดยสมบูรณ์แล้วด้วย
แม้เขาจะสามารถเข้าใกล้นางได้ แต่เขาก็ไม่สามารถจับนางได้เลย
เงาของราชินีแห่งฝันร้ายแล่นเข้าใกล้พื้นที่ใจกลางเมืองหลวงของจักรวรรดิ โดยมีเซียวอวี้ตามไปติด ๆ เขาได้ปล่อยลมปราณขนาดใหญ่ของราชาผีดิบฮานออกมาหวังที่จะขังตัวของอีกฝ่ายไว้
จังหวะนี้เองในที่สุดผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชร อีกทั้งสามคนจากพระราชวังก็มาถึง
พวกเขาที่ได้เห็นฉากตรงหน้า นั้นได้แต่ตกใจจนพูดไม่ออก
ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรทั้งสามนั้นต่างก็ทำงานให้ทางราชสำนักมาเป็นเวลานานอย่างลับ ๆ พวกเขาล้วนเป็นผู้มีอำนาจในแผ่นดินใหญ่ ถึงกระนั้นพวกเขาทั้งก็ไม่เคยเห็นการสังหารหมู่อันน่าสยดสยองเช่นนี้มาก่อนเลย
“นี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร” ชายผมสีเทาตกใจ
ถึงพวกเขาจะได้รับรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้วจากหน่วยข่าวกรองของราชสักนัก แต่พวกเขาก็ไม่คาดคิดว่ามันจะร้ายแรงถึงขนาดนี้
ฉากน่าสยดสยองราวกับนรกบนดิน
ชายผมสีเทานั้นมีนามว่า จงลี่ เขาเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณที่แข็งแกร่งมากในจักรวรรดิ เขาเคยเป็นคนดี แต่ก็ได้พ่ายแพ้ให้กับความชั่วร้าย จนกลายเป็นคนที่ทำทุกอย่างตามความพอใจของตัวเองและก่อความชั่วไว้มากมาย ในที่สุดเขาก็ได้พ่ายแพ้ต่อผู้ใช้พลังวิญญาณของราชสำนัก ซึ่งตามข้อตกลงในฐานะผู้แพ้ เขาจะต้องกลายมาเป็นผู้พิทักษ์ของวังหลวง เป็นเวลา100 ปี
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยทำอะไรแบบนี้
แม้จงลี่จะทรงพลังมีอำนาจจนทำอะไรชั่วร้ายได้ตามใจ จนถึงขนาดที่ไม่มีใครกล้ามายั่วยุ แต่ถ้าเขาทำแบบนี้ละก็ เขาคงจะต้องเป็นศัตรูกับคนทั้งทวีปแน่
นอกจากนี้ถ้าเขาก่อเรื่องระดับเดียวกับที่ราชินีแห่งฝันร้ายทำในวันนี้ละก็ เขาคงจะไม่มีโอกาสได้รับข้อเสนอให้เป็นผู้พิทักษ์ของราชวงศ์แน่ เพราะคงจะถูกสังหารในทันทีที่มีโอกาส
“ราชินีแห่งฝันร้าย เจ้าต้องการเป็นศัตรูกับทั้งจักรวรรดิจริง ๆ สินะ เจ้าคิดว่าสำนักเฉียนหลงยังจะสามารถปกป้องเจ้าได้ ทั้ง ๆ ที่ก่อเรื่องระดับนี้ลงไปอย่างงั้นเหรอ?” จงลี่โกรธมาก
ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรผู้ทรงพลังหลายคน ต่างก็เมินต่อการกระทำของราชินีแห่งฝันร้าย ซึ่งตรงจุดนี้พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่ได้ถูกประณามหรือโกรธเคืองอะไร
นั่นก็เพราะผู้คนต่างคิดว่าพวกเขากลัวที่จะต้องมีปัญหากับสำนักเฉียนหลง อย่างไรก็ตามมีเพียงไม่กี่เท่านั้นคนที่รู้ว่า เฉินซังเทียนมีบทบาทอยู่เบื้องหลังพวกเขา
แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ราชินีแห่งฝันร้ายได้ไปจนถึงสุดขอบของนางแล้ว
ใครจะกล้าเข้ามาช่วยฆาตกรเยี่ยงนางกัน?
“ ทำอะไรอยู่ หยุดนางสิ” เซียวอวี้ ระเบิดคำพูดออกมา
เขาใช้พลังวิญญาณของตนเองเข้าไปปั่นป่วนเงาของราชินีแห่งฝันร้ายหวังที่จะบังคับให้นางออกมาจากเงามืด แต่ความเร็วของเขานั้นยังช้าเกินไป เขาจึงต้องการความช่วยเหลือ
การที่ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรทั้งสามที่มาจากพระราชวัง มัวแต่ตกตะลึงอย่างโง่เขลาเลยทำให้เซียวอวี้โกรธมาก
จงลี่และพรรคพวกได้สติขึ้นมา ราวกับตื่นขึ้นมาจากความฝัน
พวกเขาตกตะลึงในการฆาตกรรมสังหารหมู่อันนองเลือดนี้ พวกเขาไม่ได้กลัว หรือโง่เกินที่จะขยับ การที่พวกเขาถูก เซียวอวี้ดุ พวกเขาจึงโกรธเป็นธรรมดา
ในใจของทั้งสามต่างคิดเป็นเสียงเดียวกันว่า ความแข็งแกร่งและสถานะของเซียวอวี้นั้นก็พอ ๆ กับพวกเขา แต่แล้วทำไมเซียวอวี้ถึงกล้าสบประมาทพวกเขาแบบนั้นกัน?
อย่างไรก็ตามพวกเขารู้ดีว่า นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาสนใจเรื่องนี้ พวกเขาจะต้องจับกุมตัวราชินีผู้ชั่วร้ายให้ได้เสียก่อน
ผู้ใช้พลังวิญญาณทั้งสามคนโจมตีออกไปในเวลาเดียวกัน
พวกเขาปล่อยพลังวิญญาณอันแข็งแกร่งรวมพลังกันออกไปในสามพื้นที่ ซึ่งในเวลาเดียวกันพื้นที่ตรงนั้นกำลังถูกปกคลุมไปด้วยอาณาเขตวิญญาณแห่งเงามืด
สำหรับการต่อสู้ของผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรนั้น ตัวผู้ใช้พลังวิญญาณและสัตว์วิญญาณแทบจะไม่จำเป็นต้องผสานพลังกัน พวกเขาแค่ปล่อยคลื่นพลังออกไปสร้างอาณาเขตวิญญาณของตนเอง เพื่อรับรู้ถึงวิธีการและความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย หากฝ่ายตรงข้ามอ่อนแอ อาณาเขตวิญญาณของอีกฝ่ายก็จะพังทลายลงในทันที แต่ถ้าหากคู่ต่อสู้แข็งแกร่งขึ้นมา พวกเขาก็จะปรับอาณาเขตวิญญาณของตัวเองให้เหมาะกับการต่อสู้ในสถานการณ์นั้น ๆ
พื้นที่อาณาเขตวิญญาณที่แตกต่างกันสามแห่งถูกห่อหุ้มด้วยเงา ที่เคลื่อนไหวช้าลงและเริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง
พลังของผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชร ไม่ใช่อะไรที่จะมองข้ามกันได้ง่าย ๆ
เซียวอวี้ถอนหายใจในใจ ตั้งแต่เขากลับมาจากความตายและกลายเป็นซอมบี้ เขาไม่เพียงสูญเสียสัตว์วิญญาณทั้งหมด แต่ยังสูญเสียการใช้พลังในแก่นวิญญาณของเขาไปด้วย
แม้ว่าเขาจะมีพลังมากกว่าเดิมหลายเท่า แต่เขาก็ยังมีความรู้สึกไม่พอใจกับเรื่องนี้ พลังที่ได้รับมันไม่ใช่พลังของตัวเขาเอง
เงานั้นสั่นไหวหลายครั้ง จนสุดท้ายก็สลายไป ราชินีแห่งฝันร้ายล้มลงอย่างไร้เรี่ยวแรง กระแทกลงกับพื้นดังโครม
สีหน้าของนางดูซีดลง เห็นได้ชัดว่านางพยายามต่อต้านพลังวิญญาณของผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชร ทั้งสี่คน อย่างสุดความสามารถก่อนจะหลุดออกมาจากเงาในที่สุด
“ดี อย่ายอมให้นางหนีไปได้” เซียวอวี้ ตะคอกอย่างเย็นชา
เมื่อเห็นสถานการณ์ในตอนนี้ได้สงบลงมาบ้างแล้ว เซียวอวี้ก็โล่งใจ
เรื่องแบบนี้ควรจะจบลงได้แล้ว
ราคาที่พวกเขาต้องจ่ายในการจับนางนั้นสูงเกินไป
เดิมทีมันก็ใกล้ถึงวาระขององค์จักรพรรดิองค์ก่อนอยู่แล้วที่จะต้องออกจากบัลลังก์ไป และองค์จักรพรรดิองค์ใหม่ก็ไม่เพียงแต่เป็นผู้มีอำนาจอันยอดเยี่ยม แต่เขายังเป็นถึงผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรที่ครอบครองพลังของมังกรอีกด้วย เขาไม่มีปัญหาในเรื่องของสายเลือดและชื่อเสียงเรียงนาม อีกทั้งยังมีพรสวรรค์อันยอดเยี่ยม และเป็นผู้สืบทอดที่ดีในการปกครองจักรวรรดิ จึงไม่มีใครขัดข้อง แต่อย่างใด
แม้ว่าเขาจะมีส่วนร่วมเกี่ยวกับการหายตัวไปขององค์จักรพรรดิองค์เก่า แต่มันก็เกิดเรื่องเช่นนี้มาตั้งแต่ในสมัยโบราณไม่ใช่เหรอ ?
ผู้มีอำนาจต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่ได้สนใจว่าใครจะขึ้นมาเป็นจักรพรรดิ พวกเขาสนใจแต่เรื่องของความมั่นคงและผลประโยชน์
ราชินีแห่งฝันร้ายถูกปราบลงในทันที
พลังของผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรทั้งสี่คนได้เข้ามาระงับตัวนางเอาไว้ ทำให้นางไม่สามารถขยับไปไหนได้เลย
หลังจากนั้นเหล่าทหารที่ไม่กล้าเข้าใกล้บริเวณนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็เดินเข้ามา
“ ท่านเซียวอวี้ ดูเหมือนท่านจะได้พบกับผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรทั้งสามคนของราชสำนักแล้วสินะขอรับ” บางคนในกองทัพเข้าใจสถานการณ์นี้ และผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรทั้งสามคนของราชสำนักได้
เซียวอวี้ พยักหน้า “พวกเจ้าจงทำความสะอาดสถานที่นี้ซะ”
“ขอรับ”
เหล่าทหารที่ต้องทนกับความเศร้าโศกและกลิ่นเหม็นเริ่มจัดการกับภูเขาซากศพ พลางมองไปที่ราชินีฝันร้ายด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและความโกรธ
“ข้าควรจะนำตัวนางไปแสดงต่อหน้าองค์จักรพรรดิไหม?” จงลี่ สอบถาม
เซียวอวี้อยากจะผงกศีรษะ แต่เขาคิดว่าการจับกุมในทุก ๆ ครั้ง มักจะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น เขาจึงส่ายหัวในทันที “ฆ่านางที่นี่เสียดีกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคต”
จงลี่ และพรรคพวกรู้สึกได้ถึงจิตสังหารของเซียวอวี้ ซึ่งพวกเขาก็ไม่มีใครคัดค้าน
ยังไงซะราชินีแห่งฝันร้ายก็คงต้องโดนโทษประหารอยู่ดี
พวกเขามองไปที่ราชินีแห่งฝันร้าย แต่ก็พบว่าดวงตาของนางนั้นว่างเปล่าเหมือนนางได้ตายไปแล้วใบหน้าของนางไม่แยแสและหัวใจของนางก็ดูหนาแน่น นางนั้นดูจะไม่ได้สนใจชีวิตของคนอื่นเลย บางทีนางอาจจะไม่สนใจชีวิตของตัวเองด้วยซ้ำ ไม่สิตอนนี้นางมีจิตใจของมนุษย์อยู่จริง ๆ หรือเปล่า?
เซียวอวี้ยื่นกรงเล็บอันน่ากลัวของเขาออกมา ราวกับหนามอันแหลมคม แทงลงไปที่ศีรษะของราชินีแห่งฝันร้าย หากนางถูกการโจมตีนี้นางจะต้องตายอย่างแน่นอน ไม่มีทางที่นางจะรอดไปได้แน่
ทว่าทันใดนั้นเอง
ร่างของชายชราก็ได้มาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรทั้งสี่
ไม่มีใครรู้ตัวว่าเขามาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร
ตาของชายชราคนนี้ดูเลื่อนลอย ขาของเขาไม่ดีเท่าไหร่นัก ใบหน้าของเขาเหี่ยวย่น ดูเหมือนคนแก่ธรรมดา
ทว่าชายชราที่ดูอ่อนแอเช่นนี้ กลับยื่นมืออันเหี่ยวเฉาของเขาออกมาจับข้อมือของเซียวอวี้ หยุดเขาลงไม่ให้แทงลงไปถึงตัวของราชินีแห่งฝันร้ายได้เสียอย่างนั้น
“อย่าโกรธ ข้าเลยนะพ่อหนุ่ม”
ชายชรากล่าวขึ้นมาด้วยเสียงอันเรียบเฉย สบาย ๆ