魔法少女タイラントシルフ สนวม.ซิลฟ์ - ตอนที่ 16 สาวน้อยเวทมนตร์นอนยาวๆ
ตอนที่ 1-5 จุดอ่อน 2 ☆
มันทันเวลาพอดี
ความรู้สึกแรกที่ผุดขึ้นมาในใจของแจ็คหลังจากที่ได้เห็นภาพตรงหน้านี้คือความโล่งใจอย่างมาก
ในตอนที่ตระหนักได้ว่าการที่ไทแรนด์ ซิลฟ์ต้องเผชิญหน้ากับเวทมนตร์สะกดจิตเป็นอะไรที่เลวที่สุด แจ็คได้ตัดสินใจติดต่อเรียกสาวน้อยเวทมนตร์คนอื่นในทันที แต่มันก็แตกต่างจากการแจ้งเตือนของการปรากฏตัวของดิสแบบปกติทั่วไปมันเป็นการติดต่อเฉพาะบุคคล ดังนั้นมันจึงเป็นเหมือนเป็นการวัดดวงว่าพวกเธอจะสังเกตเห็นการติดต่อขอความช่วยเหลือหรือเปล่า
จริงอยู่ที่สาวน้อยเวทมนตร์คนอื่นๆ ในพื้นที่รอบๆ จะได้รับสัญญาขอความช่วยเหลือที่ถูกส่งไป แต่ยิ่งระยะทางมากเท่าไหร่การเทเลพอร์ตก็ยิ่งใช้เวลานานขึ้นเท่านั้น
และยิ่งไปกว่านั้น ร่องรอยการบิดเบือนของดิสระดับสูงยังมีความรุนแรงมากพอที่จะบิดเบือนสิ่งต่างๆได้ หากยกตัวอย่างสิ่งที่สำคัญในสถานการณ์นี้ก็คือเวลา เมื่อเป็นดิสระดับมาควิสขึ้นไปกระแสเวลาที่ไหลผ่านระหว่างโลกปลอมและโลกจริงจะต่างกัน ซึ่งในกรณีนี้เป็นคลาสบารอนดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลมากแต่จะประมาทไม่ได้เพราะมีโอกาสที่มันจะเป็นดิสสายพันธุ์ใหม่ด้วยเหมือนกัน
โอกาสที่จะมีคนมาช่วยไทแรนด์ ซิลฟ์ก่อนที่เธอจะถูกฆ่านั้นมีไม่มากนัก แต่ยังไงซะการเสี่ยงดวงเป็นการเสี่ยงดวงอยู่ดีแม้ว่าจะมีโอกาสที่จะออกมาแย่หรือจบลงแบบไม่ดีบ้างก็ตามแต่ในครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นแจ็คชนะที่การเดิมพันที่เขาได้วางเอาไว้
“ที่ทำให้ซิลฟ์จังยับเยินขนาดนี้ ฉันไม่มีวันให้อภัยอย่างเด็ดขาด…”
[TL:บทพูดสาวน้อยเวทมนตร์แท้ ยกโทษให้ไม่ได้แล้ว!]
เด็กสาวอุ้มร่างของเธอไว้ได้ทันก่อนที่เวทมนตร์ของไทแรนด์ ซิลฟ์จะสลายหายไปเพราะเธอไม่สามารถคงสภาพมันเอาไว้ได้
ไทแรนด์ ซิลฟ์ที่หมดสติและสูญสิ้นเรี่ยวแรงนั้นดูเหมือนจะเป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาทั่วไปคนหนึ่งที่ร่างกายของเต็มไปด้วยบาดแผล
เด็กสาวกัดริมฝีปากด้วยความเจ็บปวดใบหน้าของเธอบิดเบี้ยวเมื่อได้เห็นร่างที่น่าสลดใจของซิลฟ์ เธอทั้งรู้สึกผิด และละอายใจที่ต้องให้เด็กตัวเล็ก ๆ แบบนี้ต้องมาแบกทุกอย่างไว้บนบ่าของเธอ
เด็กสาวค่อยๆ วางไทแรนด์ ซิลฟ์ ลงกับพื้นและหันไปเผชิญหน้ากับดิสรูปร่างแกะสีดำที่กำลังร้องเพลงอยู่
“ไม่มีวันยกโทษให้อย่างเด็ดขาด!!”
ผมสีฟ้าสดใสและชุดสีฟ้าที่พริ้วไหว สวมรองเท้าบู๊ตโลหะหนาที่แข็งแรงทนทาน เธอเป็นสาวน้อยเวทมนตร์จริงแท้แน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย
สาวน้อยเวทมนตร์ เอเลเฟ่น
เอเลเฟ่นผู้อ่อนโยนลั่นวาจาด้วยเปลวเพลิงแห่งความโกรธแค้นที่ปรากฏในดวงตาของเธอ
・
“ฮ่าาาาาา!”
เอเลเฟ่นยกขาขึ้นเตะพร้อมกับส่งเสียงคำรามที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ เธอเตะเข้าที่ส่วนหน้าของแกะสองหัวซึ่งยังคงร้องเพลงอยู่ หัวข้างหนึ่งที่ถูกเตะถูกผลักไปชนกับหัวอีกข้างหนึ่งด้วยแรงกระแทก
เอเลเฟ่นยังคงระวังตัวอยู่ เธอเองก็ไม่รู้ว่ามันแข็งแกร่งมากแค่ไหน เพราะมันสามารถมอบความพ่ายแพ้ให้กับซิลฟ์ได้จึงทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ
เธอได้ยินมาจากแจ็คว่าดิสเป็นคลาสบารอน แต่ไม่มีทางเลยที่ ไทแรนด์ ซิลฟ์ จะแพ้ให้กับคลาสบารอนได้ เอเลเฟ่นจึงคาดเดาว่ามันต้องมีการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวซ่อนอยู่อีก และรีบเตะผลักมันออกไปก่อนที่มันจะถูกนำมาใช้
“ดิส นั่นใช้เวทมนตร์สะกดจิต รัน! มันเป็นอะไรที่เข้ากันไม่ได้กับไทแรนด์ ซิลฟ์ รัน! แต่มันไม่ได้ผลกับเธอดังนี้มันก็ไม่น่าจะแตกต่างจากคลาส บารอน ทั่วไป รัน!”
แจ็คซึ่งเฝ้าดูการต่อสู้ของเอเลเฟ่นอยู่ก็ส่งเสียงตะโกนบอก
ดิสนั้นเรียนรู้ได้แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าทั้งหมดที่มันเรียนรู้มาจะถูกต้องไปซะทั้งหมด ดิสแกะสองหัวได้เรียนรู้ว่ามันสามารถสะกดจิต ไทแรนด์ ซิลฟ์ และพบว่ามันเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมาก
มันไม่ก็ผิดแต่นั่นเป็นเพียงกรณีที่คู่ต่อสู้ของมันเป็น ไทแรนด์ ซิลฟ์เท่านั้น
สาวน้อยเวทมนตร์นั้นมีความต้านทานที่สูงต่อการโจมตีต่อจิตใจโดยตรง ตราบใดที่ความเข้ากันได้ไม่เลวร้ายนัก ก็เกือบจะไร้ผลได้ด้วยค่าความต้านทานที่มากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ไทแรนด์ ซิลฟ์นั้นมีความต้องการที่จะนอนหลับอย่างมากจึงถูกเล่นงานเข้า แต่กลับเอเลเฟ่นที่นอนหลับอย่างสบายทุกวันมันจึงใช้ไม่ได้ผล
ดังนั้นสำหรับเอเลเฟ่นแล้ว แกะสองหัวก็เหมือนกับการจัดการกับคลาสบารอนทั่วไป
แต่ทว่าต่อให้เป็นคลาสบารอนก็ยังมีปัญหาอีกเรื่องหนึ่ง
(ทำไมถึงพูดเหมือนกับว่าง่ายๆล่ะ ฉันไม่เคยจัดการคลาสบารอนด้วยตัวคนเดียวมาก่อนสักหน่อย)
ตอนนี้เอเลเฟ่นได้โจมตีฝ่ายเดียวเพราะแกะสองหัวนั้นคิดว่าการสะกดจิตนั้นได้ใช้ผลแต่ถ้ามันได้รับรู้แล้วว่าการสะกดจิตไม่ได้ผล ฝ่ายที่ตกที่นั่งลำบากก็จะเปลี่ยนเป็นเอเลเฟ่นแทน
เดิมที ความสามารถในการต่อสู้ของเอเลเฟ่นอยู่ในระดับที่เธอสามารถเอาชนะคลาสอัศวินได้โดยลำพังอย่างไม่มีปัญหาอะไร แต่เธอไม่เคยต่อสู้กับคลาสบารอนเพียงคนเดียวมาก่อนเลย
“ฮะ!”
ความเสียหายจากการโจมตีเข้าที่หัวของดิสคลาสบารอนนั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้มันสลายหายไปได้ และหัวที่ถูกโจมตีจนหายไปนั้นค่อยๆงอกกลับขึ้นมาใหม่ แต่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะยืนรอให้มันหายดีเอเลเฟ่นจึงถีบพื้นย่นระยะเข้าไปโจมตีซ้ำ
“ห๊ะ!?”
อย่างไรก็ตาม คอที่กำลังงอกใหม่อยู่นั้นเหวี่ยงตัวของมันเองเหมือนแส้และฟาดไปที่เอเลเฟ่นก่อนที่เธอจะได้เตะเข้าที่หัวอีกข้างของมัน เอเลเฟ่นซึ่งเริ่มระวังตัวน้อยลงในสถานการณ์ที่เธอสามารถโจมตีอยู่ฝ่ายเดียวได้จึงโดนการโจมตีของมันเข้าไปเต็มๆและปลิวกระเด็นออกมา
“หมดเวลาโบนัสแล้วเหรอ?”
เอเลเฟ่นพูดอย่างติดตลกเมื่อเธอทรงตัวลงยังมาพื้นดินพร้อมกับเสียงเสียดสีรองเท้าเหล็กที่กระทบเข้ากับพื้น แม้ว่าเธอจะทำท่าทางราวกับว่าเธอนั้นสามารถรับมือกับมันได้ แต่ภายในใจของเธอนั้นกำลังคิดอย่างหนักว่าจะทำยังไงต่อจากนี้ดี
เธอไม่สามารถหนีไปได้ เนื่องจากไม่รู้ว่าสาวน้อยเวทมนตร์คนอื่นๆจะตามมาสมทบเมื่อไหร่ เอเลเฟ่นจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต่อสู้หยุดดิสเอาไว้ไม่ให้มันไปสู่โลกแห่งความเป็นจริง แต่อย่างไรก็ตาม หากต่อสู้ไปเรื่อยๆและพยายามยืดเยื้อมากเกินไป บางที ไทแรนด์ ซิลฟ์อาจจะตกเป็นเป้าหมายของมันอีกครั้งได้ แน่นอนที่เธอจะปกป้องซิลฟ์ แต่ก็ต้องเผื่อไว้ก่อนว่าอาจมีกรณีที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
เพื่อปกป้อง ไทแรนด์ ซิลฟ์ เธอจะต้องโจมตีดิสให้หนักหน่วงเข้าไว้เพื่อที่ดึงความสนใจทั้งหมดของมันมาที่เธอและถ้าจะให้ดีจะต้องจัดการเรื่องทั้งหมดนี้ให้ได้อย่างรวดเร็ว
(สุดท้ายแล้วฉันก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำมันให้ได้!!)
เดิมทีเอเลเฟ่นนั้นมาเป็นสาวน้อยเวทมนตร์เพื่อปกป้องคนที่เธอรัก และการที่จะต้องการใช้ทุกอย่างของเธอเพื่อปกป้องเด็กสาวที่ชื่อ ไทแรนด์ ซิลฟ์ ทำให้จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเอเลเฟ่น ลุกโชนขึ้นยิ่งกว่าเก่า
(นอกจากนี้……)
เมื่อเอเลเฟ่นต่อสู้เพียงคนเดียว ระดับของคู่ต่อสู้ที่เรียกได้ว่าสมน้ำสมเนื้อกับเธอคือคลาสอัศวิน
แต่นั่นเป็นเพียงเรื่องในอดีตเท่านั้น เอเลเฟ่นไม่มีโอกาสได้ต่อสู้กับดิสที่แข็งแกร่งกว่าระดับอัศวินนับตั้งแต่มีดิสสายพันธุ์ใหม่ปรากฏตัวออกมาแต่ในขณะเดียวกันเธอเองก็ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ เธอที่พยายามไล่ตาม ไทแรนด์ ซิลฟ์ ให้ได้มากที่สุด ใช้เวลาว่างระหว่างการใช้ชีวิตประจำวันที่ผ่านมาเพื่อเอาชนะดิสมาแล้วมากมาย
เมื่อก่อนเอเลเฟ่นจะสามารถทำอะไรได้มากกว่าการถ่วงเวลาคลาสบารอนนิดหน่อย
แต่ถ้าเป็นเอเลเฟ่นที่มาอยู่ที่นี่ในตอนนี้ถึงแม้จะไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าสามารถเอาชนะมันได้แล้วจริงๆ และยังเป็นความจริงอีกด้วยที่ว่าคลาสบารอนนั้นจะยังคงแข็งแกร่งกว่าเธออยู่ แต่ถึงกระนั้นเธอก็แน่ใจว่ามันไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เธอไม่มีวันเอาชนะได้อีกต่อไปแล้ว
“ฟุฟุฟุ”
เมื่อนึกถึงสิ่งที่สึรุงิเคยบอกกับเธอ บนใบหน้าก็พลันปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
(“ถ้าเอาชีวิตของตัวเองเป็นเดิมพันไม่ได้ ก็เลิกเป็นสาวน้อยเวทมนตร์ไปเถอะ” นั่นสินะ ฉันเองก็มั่นใจว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ว่านะสึรุจังไม่ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งฉันก็จะตอบเธอด้วยคำตอบที่เหมือนเดิมทุกครั้ง)
ฉันจะเสี่ยงชีวิตและใช้มันเป็นเดิมพันแต่นั่นไม่ใช่การเตรียมใจที่จะตาย แต่เราจะเสี่ยงชีวิตก็ต่อเมื่อต้องการที่จะทำให้มั่นใจได้ว่าทุกคนจะได้มีชีวิตรอดกลับไปด้วยกัน
และนั่นแหละคือสิ่งที่ฉันได้สาบานกับตัวเองไว้
มันคือคำปฏิญาณของเอเลเฟ่น
เป็นดั่งถ้อยคำอธิษฐานที่สลักอยู่ในใจของฉันนับตั้งแต่ได้พบกับเบลด
“ฉันจะปกป้องเธอเองค่ะ!”
เอเลเฟ่นและดิสรูปร่างแกะของหัววิ่งเข้าปะทะกัน
“เพื่อนๆของฉันแล้วก็ครอบครัวของฉันก็ด้วย!”
ร่างกายของดิสซึ่งก่อตัวขึ้นจากหมอกสีดำเริ่มปริแตก และเลือดก็ไหลออกมาจากผิวหนังของเอเลเฟ่นซึ่งถูกกรีดจากส่วนที่เป็นมุมแหลม
“โลกใบนี้เองก็เช่นกัน!”
ตรงกันข้ามกับดิสที่ไร้อารมณ์ความรู้สึก เอเลเฟ่นคำรามลั่นด้วยอารมณ์และความรู้สึกที่พุ่งพล่าน
“และแม้กระทั่งตัวของฉันเองก็ด้วย!!”
ใช้เวลาไม่นานนักการต่อสู้ในครั้งนี้ก็ได้รับบทสรุป
・
นี่คือความฝัน
ฉันรับรู้ว่ามันเป็นอย่างนั้นในทันที
ฉันไม่รู้รายละเอียดมากนักว่าทำไมฉันถึงได้ฝันแบบนี้ หรือแม้แต่สิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่จนถึงในตอนนี้ แต่ฉันรู้ได้ทันทีว่ามันเป็นความฝัน
เด็กหนุ่มเป่าเทียนบนเค้กก้อนโต
เมื่อไฟดับลง ฉันได้ยินเสียงเบาๆ อันอ่อนโยนกล่าวแสดงความยินดีพร้อมกับเสียงปรบมือ
มีเสียงชายหญิง ไฟในห้องที่ปิดอยู่ถูกเปิดขึ้น และทั้งสามคนก็ยิ้มอย่างมีความสุข
นั่นคือพ่อและแม่ของฉัน พ่อและแม่ของฉันสมัยเมื่อฉันยังเป็นเด็กที่อยู่ในความทรงจำของฉัน และเด็กคนนั้นคงต้องเป็นฉันแน่ๆ
แต่ตอนนี้ฉันกำลังเฝ้าดูเหตุการณ์นั้นอยู่ห่างๆ
ฉากเปลี่ยนไปอีกครั้ง คราวนี้เป็นสวนสนุก
พ่อของฉันมีฉันอยู่บนบ่า และแม่ของฉันเข็นรถเข็นเด็กโดยมีน้องสาวคนเล็กของฉันอยู่ในนั้น
พวกเขาพูดคุยกันอย่างมีความสุขว่าจะไปที่ไหนต่อไปหรือกินอะไรในมื้อต่อไปดี
ถัดมาคือโรงเรียนประถม
ฉันสนุกกับการพูดคุยกับเพื่อนๆ ในช่วงพักระหว่างคาบเรียน และฉันก็เล่นดอดจ์บอลในช่วงพักกลางวัน
หลังเลิกเรียน พวกเราก็รวมตัวกันที่บ้านเพื่อนและเล่นวิดีโอเกมด้วยกัน
ในช่วงวันหยุดฤดูร้อน ได้ใช้เวลากับเพื่อน ๆ ไปสระว่ายน้ำด้วยกัน ไปเที่ยวกับครอบครัว และดูเหมือนว่ามันจะเป็นช่วงเวลาที่ดี
ในโรงเรียนสมัยมัธยมต้น ฉันเสียเหงื่อกับเพื่อนในการทำกิจกรรมชมรมด้วยกัน และร้องไห้ด้วยความผิดหวังไปด้วยกันเมื่อแพ้ในการแข่งขัน
ก่อนการสอบ เรามักจะมารวมตัวกันที่ร้านอาหารครอบครัวเพื่อทบทวนบทเรียนด้วยกัน
เราคุยกันว่าใครคบกับใคร และใครชอบใคร.
หลังจากเข้าโรงเรียนมัธยมปลาย ฉันเริ่มทำงานพาร์ทไทม์ เก็บเงินซื้อสมาร์ทโฟนที่ฉันอยากได้ และพยักหน้าด้วยความพึงพอใจกับมัน
ฉันเริ่มมีความรู้สึกดีๆมากขึ้นทีนิดกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ฉันได้พบในตอนที่ทำงานพาร์ทไทม์ แล้วฉันก็สารภาพรักกับเธอ ได้เป็นแฟนกัน และไปเดทตามที่ต่างๆ
โรงภาพยนตร์ ช้อปปิ้ง อควาเรียม งานเทศกาล สวนสนุก เกมอาร์เคด ชายหาด ไปที่ไหนก็สนุกและเราก็เขินอายที่จะพูดว่าเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป…
หลังจากนั้นฉันก็เข้ามหาวิทยาลัยและหมกมุ่นอยู่กับงานอดิเรก เป็นสมาชิกของสังคม ได้รับการดูแลจากรุ่นพี่และเจ้านายของฉัน และรักรุ่นน้อง ซึ่งทั้งหมดนี้ดูน่าสนุกจริงๆ…
แต่ท้ายที่สุดนี่คือความฝัน
เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีอยู่ในชีวิตของฉัน แต่ฉันต้องการมัน
เป็นสิ่งที่ฉันใฝ่ฝัน
นี่จึงเป็นเพียงความฝัน
แล้วถ้าพยายามไขว่คว้ามันก็จะหายไป
มันควรจะเป็นความฝันที่มีความสุข แต่ฉันเศร้าเพราะฉันรู้ว่ามันเป็นความฝัน และฉันรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ฉันจะไม่มีวันได้มันมา
จากนั้นความฝันที่มีความสุขค่อย ๆ จางหายไปทีละเล็กทีละน้อย
ขุ่นมัวเหมือนฟองสบู่ ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย…อะไรก็ได้ ฉันอยากได้โดยที่ไม่สนว่ามันคืออะไร อะไรก็ตามที่หลงเหลืออยู่ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม อะไรสักอย่างนึง แค่อย่างเดียวก็ได้ ทั้งที่รู้ว่าไร้ประโยชน์ ก็ยื่นมือออกไปอีกครั้ง…
มีคนคว้ามือของเขา
ราวกับถูกนำทางในจิตใจที่แสนมืดมนของฉัน ฉันพยายามยกเปลือกตาขึ้น
“ตื่นแล้วเหรอ ซิลฟ์จัง รู้สึกเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
“ใช่……”
สาวสวยที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดพูดกับฉันด้วยความอ่อนโยน
เมื่อเห็นรูปลักษณ์หน้าตาอันแปลกประหลาดในแวบแรกน่าแปลกที่ฉันรู้สึกปลอดภัยอย่างประหลาด
ฉันแน่ใจว่าฉันยังคงฝันอยู่
เพราะร่างนั้นเริ่มพร่ามัวจนฉันมองแทบไม่เห็น และเหนือสิ่งอื่นใด มันเป็นความรู้สึกฉันไม่เคยได้สัมผัสเลยแม้แต่ครั้งเดียวในชีวิต…