魔法少女タイラントシルフ สนวม.ซิลฟ์ - ตอนที่ 26 สาวน้อยเวทมนตร์ถูกสารภาพรัก
ตอนที่ 1-7 เพื่อน ④
“คุณเอเลเฟ่น กำลังเข้าใจผิดอยู่ค่ะ”
หลังจากได้ฟังคำพูดทั้งหมด ซิลฟ์ก็พูดขึ้น
“ฉันไม่ได้ใจดีค่ะ เป็นคนประเภทที่ทั้งเห็นแก่ตัวและหยิ่งยโสเลยค่ะ ไม่มีความคิดสูงส่งอย่างการพยายามต่อสู้เพื่อคนอื่นหรอกค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมถึง..?”
“คุณเอเลเฟ่น แต่ถ้าเพื่อคุณแล้วฉันจะต่อสู้ค่ะ”
“……เอ๊ะ?”
เป็นเวลาครู่หนึ่ง ที่เอเลเฟ่นไม่เข้าใจสิ่งที่ซิลฟ์พูด
“จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังคงคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไปไม่ได้ที่จะต่อสู้เพื่อคนอื่นอยู่ดีค่ะ แต่คุณเอเลเฟ่นนั้นแตกต่างออกไป ถ้าเป็นการต่อสู้เพื่อคุณแล้ว ฉันก็สามารถเอาชนะความกลัวของฉันได้ค่ะ “ไม่อยากให้คุณตาย” “อยากให้คุณมีชีวิตอยู่” ฉันคิดอย่างนั้นจากก้นบึ้งของหัวใจเลยค่ะ
“ทำไม…?”
“เพราะคุณเป็นคนที่ใจดีและน่าไว้วางใจมากที่สุดที่ฉันเคยรู้จักค่ะ”
“อืม ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเธอจะมาเป็นเพื่อนกับฉันสินะ ซิลฟ์จัง?”
“ไม่ ฉันทำอย่างนั้นไม่ได้ค่ะ”
“…? ขอโทษนะ แต่ฉันไม่เข้าใจจริงๆ…?”
เอเลเฟ่นเองก็มาเป็นสาวน้อยเวทมนตร์เพราะเธอต้องการปกป้องครอบครัวและเพื่อนของเธอ นั่นคือสาเหตุที่เธอเข้าใจได้ถ้าซิลฟ์คิดกับเธอเหมือนเป็นเพื่อน และบอกว่าต้องการต่อสู้เพื่อปกป้องเธอ
แต่พอถามว่าเราเป็นเพื่อนกันได้ไหม คำตอบของเธอคือ “ไม่”
(อย่าบอกนะว่า..ซิลฟ์จังต้องการปกป้องฉันเพราะเธอเปิดใจรับฉันแล้วและอยากเป็นเพื่อนกับฉันน่ะ…?)
“ฉันไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นเพื่อนกับสาวน้อยเวทมนตร์ได้ค่ะ และนั่นเป็นเหตุผลที่ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ค่ะ ฉันทั้งเคารพและเชื่อใจคุณเอเลเฟ่นดังนั้นถ้าคุณเดือดร้อนฉันจะรีบไปช่วยคุณอย่างแน่นอนดังนั้นไม่ต้องกังวลไปค่ะ”
“ไม่จำเป็นต้องมีคุณสมบัติอะไรในการเป็นเพื่อนหรอกนะ ฉันเองก็อยากเป็นเพื่อนกับซิลฟ์จัง และถ้าซิลฟ์จังชอบฉัน ในตอนนี้พวกเราก็ควรจะเป็นเพื่อนกันแล้วไม่ใช่เหรอ?”
[TL : ตรรกะสนวม. สุดๆ ฟิลนางเอกกำลังจีบกับสนวม.อีกคนที่ตอนแรกเป็นคู่แข่งเลย ฮ่าๆ]
ขณะที่พูดออกมาเอเลเฟ่นก็หน้าเริ่มแดงขึ้นเล็กน้อย เธอพูดออกไปตรงๆ เพื่อไม่ให้พลาด แต่เธอก็อายเหมือนกันที่จะต้องบอกว่าซิลฟ์จังชอบตัวเธอ
“อันที่จริง ฉันไม่ควรเคารพหรือชื่นชอบคุณเอเลเฟนต์ด้วยซ้ำค่ะ ยิ่งฉันยุ่งเกี่ยวกับสาวน้อยเวทมนตร์มากขึ้นเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งอภัยให้ตัวเองไม่ได้มากขึ้นเท่านั้นค่ะ ดังนั้นถ้าเห็นแก่ฉันก็ได้โปรดอย่าเข้ามายุ่งกับฉันอีกเลยค่ะ”
“บะแบบนั้นมันแปลกเกินไปแล้วนะ! ซิลฟ์จังต้องใจดีกับตัวเองมากกว่านี้นะ!”
“ฉันใจดีกับตัวเองมากเกินพอแล้วค่ะ แต่ฉันคิดว่ามันไม่สามารถสื่อออกมาทางคำพูดเพียงอย่างเดียวให้เข้าใจได้ค่ะ…ตัดสินใจได้แล้วค่ะ ฉันจะไม่ปิดบังอะไรอีกต่อไปแล้วและถ้านั้นทำให้คุณเกลียดฉัน ฉันก็จะยอมรับมันแต่โดยดีค่ะ”
ซิลฟ์ถอนหายใจเล็กน้อยราวกับว่าเธอยอมแพ้แล้ว
“ฉันจะไม่มีวันเกลียดซิลฟ์จังหรอก”
“อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ค่ะ”
เอเลเฟ่นคิดว่า ซิลฟ์ ถูกรังแก
อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอได้ยินเรื่องราวในวันนี้แล้ว เธอก็เริ่มสงสัยว่าที่คิดอยู่มันจริงหรือเปล่า
ท่าทีของซิลฟ์นั้นดื้อดึง เอเลเฟ่นไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงพยายามรักษาระยะห่างจากสาวน้อยเวทมนตร์มากขนาดนี้
แม้ว่าเธอจะถูกรังแกที่โรงเรียนและคิดว่าตัวเองต้องถูกลงโทษ แต่ก็ไม่ควรมาถึงจุดที่เธอไม่สามารถให้อภัยตัวเองที่เป็นเพื่อนกับสาวน้อยเวทมนตร์ได้
เธอไม่มีเจตนาที่จะละลาบละล้วงความลับของซิลฟ์
แต่อย่างไรก็ตาม เธอคิดว่ามันก็คงจะดีถ้าเธอค่อยๆ ปรับตัวและรักษาบาดแผลของซิลฟ์ได้
ไม่ว่าเธอจะเริ่มได้รับความไว้วางใจมากแค่ไหน แต่มันก็ต้องใช้ความกล้าอย่างมากมายมหาศาลในการบอกความลับที่พยายามปกปิดไว้อย่างแน่นอน เธอไม่สามารถจินตนาการถึงความกดดันได้เลยเพราะมันอยู่ในจุดที่ถึงขนาดที่ว่าต่อให้จะถูกเกลียดก็จะยอมรับมันเอาไว้
เอเลเฟ่นจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า ไม่ว่าซิลฟ์จะมีปัญหาอะไร เธอจะยอมรับมันอย่างแน่นอน
“มันค่อนข้างต้องสังเกตนิดหน่อยค่ะ แต่คุณคิดว่าห้องนี้คืออะไรเหรอคะ”
“เอ๋? ก็ห้องของซิลฟ์จังใช่มั้ยล่ะ?”
“ถูกอย่างที่คุณว่ามาแต่ยังเรียกผิดอยู่นิดหน่อยถ้าจะให้ถูกต้องเลยคงต้องบอกว่าที่นี่คือบ้านของฉันค่ะ”
“คะ?”
เอเลเฟ่นไม่รู้ความแตกต่างระหว่างคำนัก เธอสงสัยว่ามันเป็นการเล่นคำหรือเปล่า แต่เธอไม่สามารถหาคำตอบได้ เพราะเป็นเรื่องปกติที่จะมีห้องของตัวเองในบ้านของเธอเอง
“ออกไปดูนอกห้องกันค่ะ”
เอเลเฟ่นที่ถูกซิลฟ์พาออกจากห้อง มองไปที่ห้องครัว ห้องอาบน้ำ และห้องสุขาที่ปลายสุดของทางเดิน และคิดว่าไม่มีอะไรแปลกเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่จากนั้นไม่นานเธอก็สังเกตเห็น
“มีห้องเดียวเหรอ?”
“ใช่ค่ะ ถ้าไม่นับห้องอาบน้ำและห้องสุขา ที่นี่มีห้องเพียงห้องเดียวค่ะ”
ซิลฟ์ที่กลับมาที่ห้อง ตบมืออย่างสุภาพและบอกว่าคำตอบที่เธอพูดออกมานั้นถูกต้อง
“ไม่มีคุณพ่อกับคุณแม่เหรอ?”
“ฉันอยู่คนเดียวค่ะ แล้วก็ไม่ได้เจอหน้าพ่อแม่มาพักนึงแล้วค่ะ”
“อะไรกัน…!”
รอบกายเอเลเฟ่นซึ่งกำลังเรียนอยู่ชั้น ม.ต้นปีที่ 2 นั้นไม่มีใครอยู่คนเดียวห่างจากพ่อแม่ของพวกเขาเลย และเธอรู้จากข้อมูลที่เคยได้ยินมาว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้บ้างก็ต่อเมื่อได้เป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมปลายหรือนักศึกษามหาวิทยาลัยแล้ว แต่เอเลเฟ่นไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีใครปล่อยให้เด็กนักเรียนชั้นประถมอยู่อาศัยด้วยตัวคนเดียว
ถ้าพ่อแม่ของเธอยุ่งมากจึงต้องอยู่คนเดียวที่บ้านเธอก็พอเข้าใจได้ แต่นี่เช่าห้องสำหรับอยู่คนเดียวและให้ลูกของพวกเขาอาศัยอยู่ที่นั่น ยิ่งไปกว่านั้น ซิลฟ์ บอกว่าเธอไม่ได้เจอพวกเขามาพักหนึ่งแล้ว ไม่น่าแปลกใจเลยที่ความเป็นไปได้ของอะไรต่อมิอะไรที่เลยเถิดจะเกิดขึ้นในใจของเอเลเฟ่น
“อย่าเข้าใจฉันผิดไปค่ะ มันไม่สำคัญขนาดนั้นนี่เป็นเพียงแค่ปัจจัยหนึ่งเท่านั้นค่ะ”
“นี่ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง เป็นไปได้ยังไง…!”
“ฟังฉันให้จบก่อนแล้วค่อยตัดสินใจค่ะ”
หลังจากตำหนิเอเลเฟ่นที่แสดงความโกรธออกมาเพราะเรื่องนี้แล้ว ซิลฟ์ก็เริ่มพูดต่อ
“ฉันอยู่คนเดียวที่นี่ค่ะ แต่ไม่คิดบ้างเหรอคะว่าห้องนี้ค่อนข้างจืดชืดไปหน่อย มันดูไม่เหมือนห้องของเด็กผู้หญิงอายุเท่าฉันเลยใช่ไหมล่ะคะ?”
“เอ๊ะ ไม่นะ เออคือ ม๊า ก็นะ…”
น่าแปลกที่ ซิลฟ์ พูดด้วยความประทับใจแบบเดียวกับที่เธอมีให้ห้องนี้ดังนั้น เอเลเฟ่น จึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยแต่ก็ตอบตกลงไป และสงสัยว่าเธออาจจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้วรึเปล่า
“นั้นแหละค่ะ นอกจากนี้..”
โดยใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้แตะที่คาง ซิลฟ์เอียงศีรษะและเริ่มเดินไปรอบๆ
ทันใดนั้นราวกับว่านึกอะไรบางอย่างออก เธอหยุดอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบเสื้อผ้าออกมาจากข้างในนั้น
“ที่นี่มีเสื้อผ้าเด็กผู้หญิงน้อยมากหรือถ้าพูดให้เจาะจงก็คือมีแค่เสื้อผ้าที่คุณเอเลเฟ่นซื้อให้เมื่อวันก่อนนอกนั้นเป็นเสื้อผ้าผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่ค่ะ”
“เอ๊ะ!?”
เมื่อมองไปที่เสื้อผ้าที่ซิลฟ์หยิบขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าเป็นเสื้อผ้าผู้ชายที่ใหญ่เกินกว่าที่เด็กผู้หญิงจะใส่ได้
“จะรังเกียจไหมถ้าฉันจะขอเข้าไปดูข้างในสักหน่อยน่ะ”
“ได้ค่ะ ดูได้จนกว่าคุณจะสบายใจเลย”
เมื่อได้รับอนุญาตจากซิลฟ์ เอเลเฟ่นก็เริ่มตรวจสอบของในตู้เสื้อผ้า
เสื้อผ้าฤดูร้อนและฤดูหนาว เช่น เสื้อยืด เสื้อโปโล เสื้อโค้ท พาร์กา และสเวตเตอร์จะถูกจัดเก็บแยกกัน เธอยังพบกางเกงชิโน กางเกงจี และแม้แต่กางเกงในผู้ชาย และอย่างที่ ซิลฟ์ กล่าวมา มันแทบจะไม่มีเสื้อผ้าสำหรับเด็กผู้หญิงอยู่เลย
“นี่มันอะไรกัน?”
“คนที่อาศัยอยู่ที่นี่แต่เดิมคือ มิซึคามิ เรียวอิจิ เป็นชายอายุสามสิบปีค่ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น เอเลเฟ่นก็นึกถึงความเป็นไปได้สามข้อในทันที
อย่างแรกเป็นไปได้ว่าที่นี่เป็นบ้านของญาติ จะเป็นพี่หรือเป็นลุงก็ตามแต่เท่ากับว่าตอนนี้เธอได้รับอนุญาตให้อยู่ในบ้านของผู้ชายคนนั้น
แต่มีเสื้อผ้าน้อยเกินไปสำหรับข้อนั้น แต่เธอไม่รู้ว่าทำไม
สอง เธอน่าจะถูกลักพาตัวมา แต่ถ้าเป็นกรณีนั้น เธอควรจะสามารถหลบหนีได้ทันทีด้วยพลังของสาวน้อยเวทมนตร์ เธอไม่อยากจะคิดเลย แต่บางทีซิลฟ์อาจถูกข่มขู่ด้วยบางสิ่งบางอย่างที่เธอไม่สามารถพูดออกมาได้ง่ายๆ
มีความเป็นไปได้ และมันทำให้ลำไส้ภายในท้องของเอเลเฟ่นเริ่มปั่นป่วน
ข้อที่สามคือความเป็นไปได้ที่เธอบุกเข้ามาอาศัยในบ้านของคนรัก นี่เป็นอาชญากรรม แต่เธอสงสัยว่าจะไม่มีปัญหารึเปล่าถ้าคนสองคนรักกันจริงๆ แล้วถ้าบุกเข้ามาอาศัยล่ะก็เธอจะไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องรีบจนมีเสื้อผ้าน้อยขนาดนี้
แต่ไม่มีความเป็นไปได้ใดที่เหมาะกับข้อเท็กจริงที่ว่าไทแรนด์ ซิลฟ์ อาศัยอยู่ตัวคนเดียวเลย
“บางทีมันอาจจะไม่ใช่อย่างที่คุณเอเลเฟ่นคิดก็ได้ค่ะ”
เมื่อเห็นเอเลเฟ่นที่เริ่มกังวลด้วยใบหน้าลำบากใจ ซิลฟ์ก็ยิ้มเล็กน้อย
“เรามาเฉลยคำตอบกันดีกว่าค่ะ”
น้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย
มันยากที่จะพูด เพราะมันเป็นสิ่งที่เธอไม่อยากพูด
“มันเป็นเรื่องง่ายๆ คำตอบง่ายๆ ที่เบสิกที่สุดค่ะ”
ไทแรนด์ ซิลฟ์ ค่อยๆ เลือกใช้คำซ้ำๆ เพื่อยืดเวลาการมาของเวลานั้นให้ได้มากที่สุด
แต่ว่าหากปิดเรื่องนี้ไว้แล้วเปิดเผยเรื่องนี้ในภายหลังก็จะยิ่งเกลียดตัวเองมากขึ้นไปอีกเท่านั้น
ซิลฟ์ก็รู้สึกว่าจะต้องเป็นแบบนั้นแน่นอน และราวกับว่าเธอยอมแพ้แล้ว เธอพูดด้วยรอยยิ้มที่ราวกับจะด้อยค่าตัวของเธอเองว่า
“กล่าวอีกนัยหนึ่ง มิซึคามิ เรียวอิจิ คือฉันเองค่ะ”
・
“กล่าวอีกนัยหนึ่ง มิซึคามิ เรียวอิจิ คือฉันเองค่ะ”
อา..ฉันพูด ฉันพูดออกไปแล้ว
ความลับที่ฉันไม่เคยคิดจะบอกใคร
จนถึงตอนนี้และต่อจากนี้ แม้ว่าฉันจะเลิกเป็นสาวน้อยเวทมนตร์และไม่สามารถกลับคืนสู่ร่างเดิมได้ มันเป็นความลับที่ฉันไม่เคยคิดจะบอกใครเลยไปตลอดชีวิต
ฉันพูดออกไปแล้ว
“…เอ๊ะ?”
โดยไม่รู้ตัว ฉันกำมือแน่นและก้มหน้าลง
ตอนนี้เธอจะเป็นยังไง..รู้สึกยังไงนะ?
ฉันไม่อยากจะรับรู้ ฉันไม่อยากจะเห็นใบหน้านั้นของเธอ
แต่ฉันก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกไป
เธอเป็นคนที่มีคุณธรรม จิตใจดี และยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบมาในชีวิต
ฉันเคยคิดว่าทุกคนคิดแต่เรื่องของตัวเอง ฉันคิดว่าไม่มีใครบนโลกใบนี้ที่คิดแบบเธอคนนั้นจากก้นบึ้งของหัวใจ
ฉันรู้ว่าวิสัยทัศน์ของฉันช่างคับแคบ เมื่อลองมองย้อนกลับไปในชีวิตของฉัน ฉันเป็นคนธรรมดาที่ไร้ค่า ดังนั้นฉันจึงหลงคิดว่ารอบตัวฉันมีแต่คนที่เหมือนกับฉัน
นั่นเป็นเหตุผลที่เมื่อฉันได้พบเธอและเรียนรู้เกี่ยวกับความใจดีของเธอและความเชื่อมั่นของเธอ ฉันจึงคิดว่าเธอเป็นคนสำคัญและมีค่าที่สุดในโลก
ฉันคิดว่าฉันอยากจะเสี่ยงชีวิตต่อสู้เพื่อสาวน้อยคนนี้
นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันไม่อยากทรยศเธอ
และมันคงเป็นการทรยศเธอหากคิดที่จะเก็บความลับนี้ไว้และคบกับเธอต่อไป
มันช่างเป็นเรื่องน่าขยะแขยง ผู้ชายแก่ๆในวัยเลขสาม พยายามที่จะแสร้งทำเป็นเด็กสาวไร้เดียงสาและพยายามแสร้งเป็นเพื่อนกับเธอ
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ดีกว่าหากสามารถขจัดอันตรายต่างๆ ให้กับเธอได้
แต่ไม่ใช่แค่กับเธอคนเดียว
สาวน้อยเวทมนตร์คนไหนเองก็เหมือนกัน
สิ่งนี้ไม่สามารถยอมรับได้
ตราบใดที่ฉันมีความลับนี้ ฉันจะทรยศพวกเธอเสมอ มันเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่ต้นที่จะเป็นเพื่อนกับสาวน้อยเวทมนตร์ในความหมายที่แท้จริงของคำคำนี้
……นอกจากนี้ ฉันไม่อยากเกลียดตัวเองอีกต่อไปแล้ว
ไม่ว่าจะคิดดูอีกกี่ที เมื่อชายวัยกลางคนโทรมๆ ในวัยสามสิบอยู่ปะปนกับสาวสวยที่เปล่งประกายเหล่านั้นก็เป็นอะไรที่ผิดปกติ ใช่ผิดปกติ
ทั้งที่รู้ แต่ก็ยังอยากยื่นมือออกไป ฉันเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนั้น ให้อภัยตัวเองไม่ได้ เพราะแบบนั้นจึงอยากเป็นคนปกติธรรมดา…
นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันไม่สามารถเป็นเพื่อนกับสาวน้อยเวทมนตร์ได้
ฉันเป็นอะไรที่เข้ากันกับสาวน้อยเวทมนตร์ไม่ได้
ต้องอยู่คนเดียวก็ไม่เป็นไร
ต่อให้ไม่มีใครชอบ เกลียด หรือสนใจ ก็ไม่เป็นไร
ท้องฟ้าที่อ้างว้างและไร้ลม อาจน่าเบื่อ แต่ก็สงบสุข
ฉันอยู่ที่นั่นคนเดียวและเงียบๆ
นั่นคือความตั้งใจของฉัน
ฉันพยายามทำอย่างนั้นและทำอย่างนั้น
แต่เธอก็ยืนหยัดหลังชนฝา
ท้องฟ้าที่ควรจะสงบกลับถูกพายุของเธอพัดถาโถมเข้าใส่
เธอบอกกับฉันว่าเธอต้องการเป็นเพื่อนกับฉัน
แม้จะเพียงวันเดียวแต่เธอก็กลายเป็นเพื่อนคนแรกในชีวิตของฉัน
ฉันอยากเป็นเพื่อนกับเธอ
ฉันไม่ได้ตั้งใจจะบอกใคร
ฉันควรจะรู้ว่าไม่มีใครยอมรับคนอย่างฉัน
ถึงกระนั้นฉันก็อยากจะยอมรับมัน ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจทำอย่างนั้น
ฉันจึงบอกความลับนี้ที่ไม่ได้อยากบอกออกไป
เป็นความคิดที่ช่างหยิ่งผยองและโง่เขลา
แต่บางทีมันอาจจะดีก็ได้
ถ้าปล่อยให้ความหวังเอาไว้ มันจะยิ่งทำให้ต้องทนทุกข์ต่อไปในอนาคต
ในกรณีนี้ มันคงจะดีกว่าที่จะจบมันไว้ที่นี่
ฉันยอมได้ถ้าเธอจะด่าท่อว่าฉันเป็นพวกลวงโลกและตัดขาดความสัมพันธ์ลงแค่นี้
“อาเร๊ะ? เอ๊ะ? อา..? อืม..? เอโตะ..คือจะบอกว่า ซิลฟ์จัง คือ คุณมิซึคามิ เรียวอิจิ และบอกว่า คุณมิซึคามิ เรียวอิจิ คือ ซิลฟ์จัง ใช่ไหมนะ?”
“……ค่ะ”
“แต่ว่าซิลฟ์จัง ตอนนี้่ได้ยกเลิกการแปลงร่างแล้วใช่ไหม?”
“แจ็คใช้ยาแปลกๆ ตอนที่ฉันหลับค่ะ ดูเหมือนว่าจะเป็นยาเปลี่ยนเพศและยาชะลอวัยค่ะ ส่วนเรื่องวิธีพูดนี่ก็ถูกปรับเปลี่ยนด้วยทริคบางอย่างด้วยค่ะ”
ฉันข่มอารมณ์ตัวเองและตอบคำถามอย่างเฉยเมย
ฉันคงรู้สึกอยากจะร้องไห้ถ้าฉันคิดมากเกินไปอีก
“ยะ..อย่างงี้นี่เอง ตอนนี้ที่แจ็คพูดหมายถึงเรื่องนี้สินะ…”
เธอมีบางอย่างอยู่ในใจรึเปล่า?
มันเป็นคำพูดที่ทำให้รู้สึกว่าเธอเริ่มมั่นใจในบางอย่าง
“อูวว! น่าสับสนจริงๆ! ในหัวเหมือนจะเข้าใจแล้วแท้ๆแต่กลับมี ซิลฟ์จัง ที่แสนน่ารักอยู่ตรงหน้าฉันแบบนี้! ไม่อยากยอมรับเลยน้า”
ฉันรู้สึกแสบไปทั่วร่างกาย
“อาเร๊ะ เพราะเธอแก่กว่าฉันนี่นาจะดีกว่าไหมนะถ้าจะเปลี่ยนไปใช้คำสุภาพน่ะ?”
“จะยังไงฉันก็ไม่สนหรอกค่ะ”
“งั้นเอาเหมือนเดิมแล้วกันนะ! ฉันรู้ความลับของซิลฟ์จังแล้ว แต่ทำไมเราถึงเป็นเพื่อนกันไม่ได้ล่ะ?”
“…………หว่า?”
ฉันอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองเมื่อได้ยินคำพูดที่ฉันไม่ได้คาดคิดมาก่อน
คุณเอเลเฟ่นนั้นพูดออกมาด้วยความสงสัยอย่างแท้จริงจากก้นบึ้งของหัวใจและพยายามจ้องหน้าฉันจากระยะใกล้มาก
“กะ ก็มันน่าขยะแขยงไม่ใช่เหรอคะ ฉันน่ะเป็นผู้ชายจริงๆ เลยนะคะ อายุตั้ง 30 เลยนะคะ ฉันแก่กว่าคุณเอเลเฟ่นและเพื่อนๆของคุณมากกว่าหนึ่งทศวรรษอีกนะ ฉันจะเป็นเพื่อนกับคุณได้ยังไงกันคะ?”
“อา ที่บอกว่าเข้ากันไม่ได้ถ้าอายุต่างกันเนี่ย? หมายถึงช่องว่างระหว่างวัยรึเปล่านะ? แน่นอน มันอาจจะยุ่งยากสักหน่อยนะ แต่ที่บอกว่า “น่าขยะแขยง” เนี่ยไม่ค่อยเข้าใจเลยน้าก็ซิลฟ์จังน่ะน่ารักตั้งขนาดนี้แน่ะ”
“ถึงอย่างนั้นแต่นี่ก็ไม่ใช่ร่างจริงของฉันค่ะ…! ใช่แล้ว ฉันมีรูปของร่างเดิมของฉันอยู่ค่ะ! คุณน่าจะสามารถเข้าใจได้โดยการดูสิ่งนี้ค่ะ”
ฉันไม่รู้ว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่ เพราะฉันสับสนมาก แต่ที่ฉันทำก็แค่ควักใบขับขี่ออกมาโชว์
“เห นี่คือซิลฟ์จังคนเดิมเหรอจ้ะ ดูใจดีจังเลยนะ มีดวงตาดูเป็นเอกลักษณ์มากเลย”
“ยะ-ยังเรียกฉันว่าน่ารักได้อยู่อีกเหรอคะ! นี่ไงคะ! ผู้ชายคนนี้คือฉันเองเลยนะคะ!”
“เพราะคนตรงหน้ายังไงก็คือซิลฟ์จังอยู่ดีนี่ และของน่ารักๆ ยังไงก็น่ารัก นอกจากนี้มันอาจจะน่ารักเกินไปหน่อยด้วยซ้ำนะสำหรับผู้ใหญ่ที่มากลายเป็นคนที่น่ารักน่ะ”
“อาา!?”
นี่คืออะไร?
มันหมายความว่ายังไง?
ไม่รู้ ฉันไม่เข้าใจมันมากเกินไป
บางทีนี่อาจเป็นช่องว่างระหว่างวัย?
ช่องว่างทางความคิดของฉันกับวัยรุ่นห่างกันมากขนาดนี้เลยเหรอ?
หรือเธอกำลังโกหกเพื่อฉัน?
“ซิลฟ์จัง ความรู้สึกของฉันน่ะจะไม่เปลี่ยนแปลง แล้วถ้าซิลฟ์จังรู้สึกผิดที่เป็นผู้ชาย ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นไปหรอกนะ”
ดวงตาของเธอนั้นยืนยันอย่างหนักแน่นนั้นและตรงไปตรงมา
“เป็นความจริงที่ตอนแรกความน่ารักของซิลฟ์จังดึงดูดความสนใจของฉัน แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แค่นั้นแล้วล่ะ ฉันรู้ส่าซิลฟ์จังน่ะเป็นคนที่ทั้งเปราะบางและอ่อนโยนแถมยังพยายามอย่างหนักจนถึงจุดตัวเองจะต้องเจ็บปวด”
เธอบริสุทธิ์มากพอที่จะทำให้ฉันรู้สึกอายที่คิดสงสัยแม้จะเพียงครู่เดียวก็ตาม
“ฉันชอบ ซิลฟ์จัง และความรู้สึกนี้ก็ไม่เกี่ยวกับอายุหรือเพศดังนั้นฉันจะถามเธออีกครั้ง มาเป็นเพื่อนกับฉันได้ไหมจ้ะ ซิลฟ์จัง”
เธอเข้าใกล้มากขึ้นและจับมือของฉันไว้ มันรู้สึกร้อนวูบวาบจนรู้ว่าตอนนี้ใบหน้าของฉันจะต้องแดงมากแน่ๆ
ยิ่งระยะห่างระหว่างเราใกล้กันมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งคิดอะไรได้น้อยลงเท่านั้น
“อะ อะ อะ อะ ดะได้โปรดกลับบ้านไปก่อนค่ะ! วันนี้ได้โปรดกลับบ้านไปก่อนเถอะค่ะ!!”
“อะฮ่าฮ่า วันนี้เป็นวันที่ค่อนข้างวุ่นวายเลยนะ เอาเป็นว่าฉันยอมกลับบ้านก่อนแล้วกันนะ เฉพาะวันนี้นะ วัน・・・・นี้♪
คุณเอเลเฟ่นยิ้มอย่างมีความสุขในขณะที่เธอเน้นย้ำคำว่าวันนี้อย่างมีความหมาย
น่าอายเกินไป เพราะเหมือนเธอมองเห็นจิตใจของฉันได้อย่างทะลุปรุโปร่งไปหมดเลย
ร่างกายของคุณเอเลเฟ่นที่เรียกใช้เวทมนตร์เคลื่อนย้ายเริ่มถูกห่อหุ้มด้วยแสงสว่าง
“ไว้มาเล่นกันอีกน้า ซิลฟ์จัง”
“……ฉันจะลองคิดดูค่ะ”
ฉันมีความสุขกับคำพูดเหล่านั้นที่ถูกส่งมาที่ฉัน พวกมันมีพลังที่จะขจัดความกังวลใจทั้งหมดของฉันได้อย่างง่ายดาย แต่ฉันก็ยังรู้สึกเขินอายกับมันอยู่นิดหน่อย ดังนั้นสิ่งที่ฉันพอทำได้ในตอนนี้คือการเบือนหน้าหนีและตอบกลับไปอย่างไม่เป็นมิตรเท่าไหร่