ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 121 เห็นภายนอกมองอดีต-2
บทที่ 121 เห็นภายนอกมองอดีต-2
การปรากฏตัวของหลิวจิ่งเฮ่าฉิงจงอ๋องยิ่งทำให้เขาไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่
และหลิวจิ่งเฮ่ายังเรียกตนว่า ‘เจ้าหนุ่ม’
หลิวรุ่ยอิ่งเป็นนายกองกรมสอบสวน ถือเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาโดยสมบูรณ์
แม้เป็นนายกอง แต่ก็เป็นข้าราชการต่ำต้อย
จะถึงคราวหลิวจิ่งเฮ่าเผยตัวช่วยชีวิตตนโดยไม่นึกเสียดายได้อย่างไร
เขาไม่มีภาพจำใดในการต่อสู้ของหลิวจิ่งเฮ่ากับตู้เยี่ยน แต่ก็สัมผัสได้ถึงความดุเดือดในนั้น
เขาไม่รู้ว่าบทสรุปสุดท้ายเป็นอย่างไร แต่เขามั่นใจว่าหลิวจิ่งเฮ่าฉิงจงอ๋องต้องชนะแน่
แม้ตู้เยี่ยนชายชุดขาวแข็งแกร่ง แต่ฉิงจงอ๋องมีแค่คนเดียว
ทำไมคนที่ได้นั่งตำแหน่งนี้ไม่ใช่เขาแต่เป็นหลิวจิ่งเฮ่า ทุกสิ่งล้วนมีเหตุและผล
แต่เรื่องถึงตอนนี้ หลิวรุ่ยอิ่งยังคงคิดไม่ตกว่าตนมีอะไรพิเศษกันแน่
แต่ได้เห็นท่าทางที่หลิวจิ่งเฮ่าฉิงจงอ๋องปฏิบัติกับตน การเลื่อนยศสามขั้นติดรวมถึงรางวัลกระบี่เจ็ดถ้อยสันดาปก่อนหน้านี้ก็สมเหตุสมผลขึ้นมาแล้ว
คิดไปคิดมา หลิวรุ่ยอิ่งเพียงโยงความเกี่ยวข้องเข้าหาพ่อแม่ที่ตายไปของตน
ในเมื่อเขาสองคนเป็นวีรบุรุษของกรมสอบสวน คิดว่าต้องมีอดีตกับหลิวจิ่งเฮ่าฉิงจงอ๋อง
ดูแลบุตรของสหายเก่าเล็กน้อยก็เป็นเรื่องปกติของคน
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ความสัมพันธ์ข้างในและไม่มีใครให้ถาม แต่นี่เป็นคำอธิบายที่ลงตัวที่สุดในตอนนี้
ยามนี้ หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าการที่ตนออกมาเดินเล่นช่างเป็นการตัดสินใจที่หลักแหลมจริงๆ!
หากเขาไล่จิ่วซานปั้นกับโอวเสี่ยวเอ๋อกลับไปด้วยคำพูดไม่กี่คำและนอนคิดหนักอยู่บนเตียงต่อไป เกรงว่ากี่วันกี่คืนก็ยากมีผลสรุป
แต่ตอนนี้เปลี่ยนสภาพแวดล้อม ดวงตาเห็นสิ่งสดใหม่มากมายแล้วทำให้เขาเข้าใจได้ทันที
ไม่ว่าความจริงเป็นอย่างไร แต่หลิวรุ่ยอิ่งหาคำตอบที่ทำให้ตนเชื่อถือได้แล้ว
หลายๆ เรื่องล้วนเป็นเช่นนี้ ผู้คนมักอยากแสวงหาความสมบูรณ์แบบ แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าตอนดอกไม้ยังบานไม่เต็มที่ ดวงจันทร์ยังไม่กลมกลึงเป็นช่วงเวลาที่สูงและงดงามที่สุด
การร้องหาความสมบูรณ์แบบได้แต่ทำให้ตนใช้ชีวิตอยู่ในความเจ็บปวดและสับสน
หากถอยและขอรองลงมา ได้พบคำตอบที่เหมาะสมทำให้ตนสบายใจและปลอบใจตนได้ย่อมผ่อนคลายมีความสุขขึ้นเยอะ
………………………
“เมื่อวานข้ากับโอวเสี่ยวเอ๋อร์ดื่มที่นี่สองสามจอก”
จิ่วซานปั้นกล่าวพลางชี้โรงน้ำชาแห่งหนึ่ง
“เจ้าคิดว่าที่นี่ดีมาก?”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
เขาเห็นโรงน้ำชาแห่งนี้มีทั้งหมดห้าชั้น สูงกว่าร้านใกล้เคียงไม่น้อย
สูงก็ดูยิ่งใหญ่
หากคนตัวสูงก็จะดูแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
หน้าประตูโรงน้ำชายังมีสะพานขนาดย่อมแห่งหนึ่ง
ใต้สะพานนั้นมีแม่น้ำสายเล็ก
ไม่ใช่แค่ดึงน้ำมาจากไหน แม่น้ำเล็กสายนี้ไหลออกมาจากด้านหลังของโรงน้ำชา วนใต้สะพานเล็กหน้าประตูรอบหน้า แล้วไหลจากอีกฝั่งไปด้านหลัง
มีน้ำย่อมมีสง่าราศี
อาศัยแม่น้ำเล็กสายนี้อย่างเดียวก็ทำให้โรงน้ำชามีเอกลักษณ์กว่าที่อื่นเยอะแล้ว
โดยเฉพาะกลางแม่น้ำเล็กยังมีปลาแหวกว่ายอยู่ไม่น้อยด้วย
ตอนผู้คนเดินถึงบนสะพาน ปลาในแม่น้ำก็พากันรวมตัวที่สองฝั่งของสะพาน โผล่ปากอ้าหุบเหนือผิวน้ำ รอผู้คนโยนอาหารให้อย่างมีความหวัง
แต่หลิวรุ่ยอิ่งเห็นป้ายไม้ที่เขียนว่า ‘งดให้อาหารปลา’ แผ่นหนึ่งบนหัวสะพาน คิดดูปลาเหล่านี้คงต้องผิดหวังแล้ว
“เฮ้อ! เจ้าคนนี้นี่ยังไง! ป้ายใหญ่ขนาดนั้นมองไม่เห็นรึ?!”
ทันใดนั้น เสี่ยวเอ้อร์ที่เข้ากะหน้าประตูร้านร้องตะโกนเสียงเฉียบขาด
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นทิศทางที่มือเขาชี้เป็นตำแหน่งของตนพลันหันซ้ายแลขวาอยู่พักหนึ่ง ในใจสงสัยว่าตนทำอะไรผิดไป
คนในหอทรงปัญญานี้ ไม่ว่าใครก็ติดนิสัยบัณฑิตกันหมดแล้ว
บัณฑิตให้ความสำคัญเรื่องหน้าตาและความสง่างามเป็นที่สุด
แม้กฎระเบียบในกรมสอบสวนกลางเข้มงวดอย่างยิ่ง แต่ถ้าไม่แตะถึงรากฐาน ไม่กระทบต่อผลลัพธ์ ส่วนใหญ่ก็ลืมตาข้างหนึ่ง หลับตาข้างหนึ่งให้มันผ่านไป
หอทรงปัญญากลับแตกต่างโดยสิ้นเชิง
แม้แต่เสียงวางถ้วยชาลงโต๊ะตอนดื่มชาดังเกินไปก็ดึงดูดสายตาแปลกๆ จากคนอื่น
ในที่สุดหลิวรุ่ยอิ่งก็เจอต้นเรื่องที่ทำให้เสี่ยวเอ้อร์โมโหแล้ว
เขาเห็นจิ่วซานปั้นโยนเกาลัดคั่วน้ำตาลถุงนั้นลงกลางแม่น้ำหมดในต๋อมเดียว
ฝูงปลาแย่งอาหารทันที พลิกตัวจนน้ำกระเซ็นเป็นผืน คึกคักอย่างยิ่ง!
จิ่วซานปั้นมองไปหัวเราะไป จมจ่อมอยู่ในโลกของตัวเองโดยสมบูรณ์ ไม่ได้ยินเสียงตำหนิของเสี่ยวเอ้อร์แม้แต่น้อย
หลิวรุ่ยอิ่งกำลังจะขอโทษ โอวเสี่ยวเอ๋อที่ด้านข้างกลับเดินตรงดิ่งเข้าโรงน้ำชาโดยไม่แม้แต่หันกลับมา เหมือนไม่รู้จักจิ่วซานปั้นตั้งแต่แรก
ดูท่าเมื่อวานคงเกิดเหตุการณ์เดียวกันครั้งหนึ่งแล้ว
แต่ไม่รู้เมื่อวานจิ่วซานปั้นให้อาหารอะไร
“ที่นี่ห้ามให้อาหารปลา!”
หลิวรุ่ยอิ่งลดเสียงต่ำพูดกับจิ่วซานปั้น
“เจ้าบอกว่าเกาลัดคั่วน้ำตาลมีพิษไม่ใช่หรือ”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“เจ้าใช้ปลาทดสอบพิษ?”
หลิวรุ่ยอิ่งยกเสียงสูงขึ้นหลายส่วนฉับพลัน
“ก็ใช่สิ?”
จิ่วซานปั้นกลับรู้สึกหลิวรุ่ยอิ่งถามได้ไร้สาระมาก
“ข้ากินก่อนตั้งหลายอันแล้วไม่ใช่หรือ จะมีพิษได้อย่างไร”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถามกลับ
“เจ้ากินคือเจ้ากิน เจ้ากินแล้วไม่เป็นไรไม่ได้แปลว่าเกาลัดคั่วน้ำตาลนี้ไม่มีพิษจริง”
จิ่วซานปั้นกล่าว
เขาพับถุงกระดาษเกาลัดคั่วน้ำตาลเรียบร้อยแล้วคืนให้หลิวรุ่ยอิ่งอีกครั้ง
หลิวรุ่ยอิ่งทำหน้าไม่ถูก
จิ่วซานปั้นเป็นปลางั้นหรือ
คนกินแล้วไม่เป็นไรปลาอาจจะกินแล้วตายทันที เลยต้องใช้ปลามาทดสอบ
หลิวรุ่ยอิ่งคิดถึงตรงนี้ก็ส่ายหน้า
ใจคิดว่าเขาเกือบถูกจิ่วซานปั้นพาลงคลองมืดเสียแล้ว
ต่อให้เขาเป็นปลาหรืออสูรปลาแปลงกายก็ทำเรื่องอย่างเทเกาลัดคั่วน้ำตาลลงกลางแม่น้ำทั้งถุงไม่ได้
ความจริง เขาก็แค่อยากให้อาหารปลาเท่านั้น
ก่อนหน้านี้หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าจิ่วซานปั้นต่างจากคนทั่วไป ประหลาดใจใคร่รู้ไปหมดทุกเรื่อง
ตอนนี้เขาแน่ใจแล้ว จิ่วซานปั้นเข้าใจแต่แสร้งทำตัวเลอะเทอะตั้งแต่แรก
คนอื่นขวางสิ่งที่เขาอยากทำไม่ได้โดยสิ้นเชิง ในใจเขามีบรรทัดฐานอย่างหนึ่ง ตราบใดที่ไม่ฝ่าฝืนบรรทัดฐานเหล่านี้ย่อมไม่เกี่ยวข้องกับประเพณีนิยมในโลก
………………………..
พริบตาเดียว จิ่วซานปั้นก็เข้าโรงน้ำชาแล้วเหมือนกัน
ตอนนี้หลิวรุ่ยอิ่งถือถุงกระดาษเกาลัดคั่วน้ำตาลอยู่ในมือ
เรื่องขอโทษขอโพยนี้ย่อมตกมาที่เขา
โชคดีหลิวรุ่ยอิ่งให้เสี่ยวเอ้อร์จัดที่นั่งดีที่สุดไว้ให้เขาชุดหนึ่ง แพงกว่าแท่นลอยกลางโถงใหญ่ยามปกติไม่น้อย
เสี่ยวเอ้อร์รู้ว่าเจ้าพ่อทองคำมา เขาจึงวางแขนที่กอดอกและลดรูจมูกเชิดขึ้นฟ้าลงพลางยิ้มหน้าบานเป็นกระด้ง จากนั้นนำหลิวรุ่ยอิ่งเข้าประตู
เดิมพอเข้าประตูก็ไม่ควรเป็นขอบเขตการดูแลของเขาแล้ว
แต่ใครจะปล่อยเงินไปล่ะ
ต่อให้เพื่อนร่วมงานในร้านถลึงตามองเขา เสี่ยวเอ้อร์ผู้นี้ก็จะแสร้งเป็นไม่เกี่ยวกับตน
เขายังอยากขอเงินรางวัลจากหลิวรุ่ยอิ่งสักหน่อย
หลิวรุ่ยอิ่งก็เป็นคนใจกว้างยิ่งนัก เสี่ยวเอ้อร์รับเงินรางวัลแล้วขอบคุณไม่หยุด จากนั้นวิ่งแน่บออกประตูกลับไปยืนตรงหัวสะพานอีกครั้ง
เขารู้ว่ายิ่งตนหายไปเร็วเท่าไร เสี่ยวเอ้อร์ที่เหลือก็จะอิจฉาเขาน้อยลงเท่านั้น
ไม่เห็นคือไม่เห็น แต่ขอเพียงได้เห็นผู้คนก็จะเปรียบเทียบ
สำหรับคนที่ใช้ชีวิตอยู่เบื้องล่างอย่างพวกเขา หนึ่งเฟินหนึ่งหลีก็ต้องคิดเยอะหน่อย
ไม่ใช่พวกเขาว่างจนเบื่อ แต่เพราะความกดดันในชีวิตทำให้พวกเขาหยัดหลังไม่ขึ้น ยืดอกไม่ได้อย่างแท้จริง
เจ้าอาจบอกว่าเขาประจบคนมีเงิน แต่พวกเขาล้วนประคองชีวิตไว้ด้วยการละทิ้งศักดิ์ศรี
คนที่ไม่เคยสัมผัสไม่มีสิทธิ์ไปวิจารณ์
คนที่มีชีวิตสูงส่งก็ไม่มีสิทธิ์ไปดูถูก
วิถีทางโลกหมุนเวียนเช่นนี้
บางคนอยู่บน ย่อมมีคนอยู่ล่าง
ไม่มีรากฐานชั้นล่าง ข้างบนก็เป็นแค่ศาลาบนหอคอย ช้าเร็วต้องพังทลาย
จิ่วซานปั้นนั่งลงก็สั่งเหล้าและกับแกล้มอย่างชำนาญ
แต่เสี่ยวเอ้อร์ที่รับผิดชอบสั่งอาหารกลับทำสีหน้าไม่ดีใส่เขา
ไม่ใช่เพราะเมื่อครู่เขาให้อาหารปลาหน้าประตูด้วยเกาลัดคั่วน้ำตาล แต่เป็นเพราะในกระเป๋าเขาไม่มีเศษเสี้ยวเงินตำลึงแม้แต่น้อย
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าเมื่อวานโอวเสี่ยวเอ๋อร์ต้องเป็นคนจ่ายเงินแน่
แม้นางเป็นสตรี แต่ด้วยฐานะ ‘แก่นกระบี่’ ตระกูลโอว นางย่อมไม่ใส่ใจค่าเหล้ามื้อเดียว
แต่ถ้าบุรุษคนหนึ่งให้สตรีจ่ายแทนตนทุกอย่างย่อมเสียหน้า และยากพ้นถูกเสี่ยวเอ้อร์ดูแคลน
ทว่าจิ่วซานปั้นไม่ใช่บุรุษทั่วไป
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความหมายของหน้าตานี้อยู่ตรงไหน
ตรงกันข้าม เขาคิดว่าคนที่ทำทุกวิถีทางเพื่อหยอกเย้าให้สตรีขบขันหรือถลุงเงินเล่นเพียงเพื่อชนะใจหญิงงามบนโต๊ะที่เหลือในโถงเหล่านั้นช่างโง่เขลา
แต่เขาลืมไปว่าทุกคนล้วนมีความพอใจของตัวเอง
และความพอใจของเขาก็ประหลาดอย่างยิ่งโดยแท้จริง
ดีที่โอวเสี่ยวเอ๋อเป็นคนคล้ายกัน
นางเองก็ดูแคลนพฤติกรรมเสเพลของบุรุษเจ้าชู้ประตูดินกะล่อนปลิ้นปล้อนเหล่านั้นมากเหมือนกัน
นางกลับรู้สึกว่าคนไม่มีเงินก็คือไม่มีเงิน ทำในสิ่งที่ตัวเองคิดอย่างจิ่วซานปั้นทำให้สบายใจกว่าเยอะ
คบหากับคน ล้ำค่าที่ความจริงใจ
จิ่วซานปั้นเป็นคนจริงใจที่สุดคนหนึ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งติดเหตุผลเรื่องฐานะ หลายๆ เรื่องเขาพูดไม่ได้ และไม่มีหนทางให้พูด
แต่อย่างน้อยเขาก็พยายามจริงใจกับโอวเสี่ยวเอ๋อและจิ่วซานปั้นในขอบเขตที่เขาทำได้
………………………..
หลิวรุ่ยอิ่งยื่นมือลูบโต๊ะตัวนี้
เป็นวัสดุไม้ดียิ่ง
ด้านบนทาน้ำมันชักเงาแค่ชั้นเดียว
หน้าโต๊ะกับฐานรองไม่ได้ตอกเข้าด้วยกันจนแนบสนิท แต่วางราบลงไปอย่างนั้นเลย
นี่กลับเป็นเรื่องดี
หากเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น หลิวรุ่ยอิ่งแค่พลิกโต๊ะก็ใช้เป็นที่กำบังได้
แม้ที่นี่ผู้คนเดินขวักไขว่ คึกคักกว่าปกติ
แต่เจอศึกเสี่ยงตายมาเยอะขนาดนี้ หลิวรุ่ยอิ่งเลยฝึกนิสัยสังเกตการณ์ก่อนแล้ววางแผนล่วงหน้าไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ตาม
ที่นั่งชุดนี้ตั้งอยู่มุมตะวันออกเฉียงเหนือของโถงใหญ่
ด้านบนเป็นแผ่นกระดาน
แผ่นกระดานแข็งแรงยิ่ง
เพราะเสียงฝีเท้าตอนคนเดินไปเดินมาอยู่ข้างบนนั้นเบามาก
แผ่นกระดานแข็งแรง หมายความว่าอย่างน้อยก็ยากมีคนโผล่มาจู่โจมจากบนหัวกะทันหัน ตัดเรื่องในใจไปได้หนึ่งอย่าง
มุมตะวันออกเฉียงเหนือเห็นลักษณะในโถงใหญ่ได้ชัดทั้งหมด
ทุกคนขึ้นยืนหรือนั่งลงล้วนอยู่ในการควบคุม
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นมีบัณฑิตมังกรทอฟ้าขั้นสามสองคน แม้กำลังดื่มชา แต่มือนั้นเลื่อนไหลอยู่บนแขนและหัวไหล่ของสตรีด้านข้างอย่างไร้มารยาท ดวงตาก็ยิ้มลามก ไม่รู้คิดแผนชั่วอะไรอยู่
ยังมีพ่อค้าเร่หอบตะกร้าขายของสองสามคน
ในตะกร้าใส่ผลไม้แห้งรวมทั้งของน่ารักที่ทำอย่างประณีตไว้จำนวนหนึ่ง
เห็นโต๊ะที่มีสตรีก็เดินเข้าไปพูดเยินยอหนหนึ่ง ยังยื่นของน่ารักนั้นถึงมือนางด้วย
แม่นางปิดหน้าหัวเราะเสียงเบา รับของชิ้นนี้มาด้วยความเกรงใจยิ่ง พ่อค้าเร่เหลือบตากวาดมองบัณฑิตชายที่นั่งอยู่โต๊ะนั้น
ในเมื่อแม่นางรับของแล้ว คิดว่าคงไม่มีใครไม่ควักเงินแล้วปล่อยโอกาสเอาใจหญิงทิ้งไป
ทุกคนจึงพากันล้วงกระเป๋าเงินออกมา
แย่งกันยื่นเงินให้บนมือพ่อค้าเร่นั้นด้วยกลัวไม่ทันผู้อื่น
พ่อค้าเร่รับไม่ได้ก็ยัดใส่ในตะกร้าของเขากันหมด
ของชิ้นเดียว กลับหาเงินได้หลายส่วน!
แค่โต๊ะนี้โต๊ะเดียวก็ทำให้เขาร่ำรวย
พ่อค้าเร่ที่เหลือเห็นเพื่อนร่วมอาชีพราบรื่นเช่นนี้ แต่ละคนอิจฉาตาร้อนจนเส้นเลือดดำบนคอปูดอย่างอดไม่ได้ พวกเขาใช้ถ้อยคำดีวลียอดเยี่ยมที่นึกได้ทั้งหมดในชีวิต ไม่ว่าเขาเข้าใจหรือไม่ ขอแค่มงคลทุกประโยคชื่นชมทุกคำก็พอ
จิ่วซานปั้นส่งเหล้ามาจอกหนึ่ง หลิวรุ่ยอิ่งมองน้ำสุราโปร่งใสแล้วดื่มรวดเดียวหมด
“อย่าลืมข้าสิ!”
โอวเสี่ยวเอ๋อไม่พอใจมากที่หลิวรุ่ยอิ่งเอาแต่ดื่มคนเดียวและไม่ชนแก้วกับนาง เหมือนตนถูกเมิน
หลิวรุ่ยอิ่งหันหน้าไปยิ้มด้วยรู้สึกผิดเล็กน้อย หางตากลับเห็นคนคนหนึ่งกำลังเดินมาตรงนี้อย่างเชื่องช้า