ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 54 ชุดขาว กระบี่ฟ้า เต่าทองคำ เหล้าขาว-1
บทที่ 54 ชุดขาว กระบี่ฟ้า เต่าทองคำ เหล้าขาว-1
ในอาคารกรมสอบสวนหัวเมืองรัฐติง
หัวหน้าอาคารฉินเห็นหลิวรุ่ยอิ่งสีหน้าแปลกไป ไม่รู้เป็นเพราะเรื่องใดอีก
หลิวรุ่ยอิ่งถาม “ในหัวเมืองรัฐติงมีบัณฑิตที่ได้รับการแต่งตั้งอยู่เท่าไร”
“นี่ต้องค้นระเบียนมาอ่าน ไม่ทราบว่านายกองหลิว…”
หัวหน้าอาคารฉินถามหยั่งเชิง
“รบกวนหัวหน้าอาคารฉินส่งสำเนารายชื่อบัณฑิตที่ได้รับการแต่งตั้งทั้งหมดในหัวเมืองรัฐติงให้ข้าฉบับหนึ่ง”
หลิวรุ่ยอิ่งไม่อธิบายว่าการกระทำนี้มีจุดประสงค์อะไร เขาไม่รู้ว่าตอนนี้อาคารกรมสอบสวนของหัวเมืองรัฐติงแห่งนี้มีหนอนบ่อนไส้หรือไม่ แต่ในเมื่อเจอเบาะแสเล็กน้อยบนรถเข็นแล้ว เช่นนั้นสืบต่อไปก็พอ
ไม่นานนักก็มีผู้สั่งการกองคนหนึ่งส่งสำเนารายชื่อมาให้ มีแค่ไม่กี่หน้าบางๆ
รัฐติงตั้งอยู่ชายแดน ชาวบ้านแข็งแกร่ง ฝึกยุทธ์เป็นหลัก บัณฑิตเรียกได้ว่าน้อยมาก ทั้งหมดไม่เกินสองร้อยกว่าคน ส่วนใหญ่ในนั้นล้วนเป็นหญ้ากำมะหยี่ขาวขั้นหนึ่ง และคนที่ได้บรรพตตาดเขียวขั้นสี่มีแค่สี่คนเท่านั้น สามคนในนั้นเป็นขุนนางบุ๋นในจวนผู้ควบคุมรัฐติงทั้งหมด ทั้งยังสูงวัยทุกคน ส่วนอีกคนก็คือคนที่ทะเลาะกับหลิวรุ่ยอิ่งในโถงรื่นรมย์วันนี้จนถูกทำให้ขายหน้า ชื่อลั่วซิวหราน
“ไม่เป็นคู่กรรมไม่พบพาน…”
หลิวรุ่ยอิ่งเคาะหน้าประตูเบาๆ ด้วยข้อต่อนิ้วชี้มือขวา ยิ้มเล็กน้อย
“พวกเจ้าเป็นใคร!”
“กรมสอบสวนดำเนินงาน ผู้ใดขัดขวางต้องถูกสังหาร!”
ตรงหน้าประตูบ้านตระกูลลั่ว หลิวรุ่ยอิ่งพาผู้รับใช้กองยี่สิบคนในอาคารมาด้วย พวกเขามุ่งตรงบุกเข้าไปโดยไม่สนใจการขัดขวางของคนเฝ้าประตู
ยี่สิบคนนี้หลิวรุ่ยอิ่งดูในระเบียนแล้วเลือกเองทีละคน ล้วนเป็นคนที่เพิ่งเข้าอาคารได้ไม่นานและภูมิหลังไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
“ขอถามท่านขุนนางมาจากหน่วยงานใด มาถึงบ้านตระกูลลั่วข้าด้วยเรื่องอันใด”
ชายชราคนหนึ่งถือไม้เท้า เดินงกๆ เงิ่นๆ มาเอ่ยถาม โดยมีสาวใช้สองคนช่วยประคองออกจากในบ้าน
ผู้รับใช้กองยี่สิบคนยืนเรียงแถวแบ่งสองฝั่ง หลิวรุ่ยอิ่งถือกระบี่สาวเท้าเดินมาจากด้านหลัง
“ข้าคือนายกองกรมสอบสวนกลาง ผู้แทนการตรวจสอบพิเศษภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ตอนนี้ลูกชายท่านอยู่ไหน”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยพลางแสดงหนังสือรับรองราชการ
ชายชราคนนี้ก็คือ ‘บิดาผู้โง่เง่า’ ที่ลั่วซิวหรานบรรพตตาดเขียวขั้นสี่นั่นพูดถึง
“เจ้าลูกหมาออกไปข้างนอกยังไม่กลับมา นายกองหลิวเชิญนั่งในบ้านก่อน เดี๋ยวข้าผู้เฒ่าส่งคนไปเรียกเขากลับมา เพียงแต่ไม่ทราบว่าเจ้าลูกหมาข้าทำความผิดอะไรหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งหัวเราะเยาะในใจ คิดว่าพ่อลูกคู่นี้ต่างคร่ำครึเหมือนกัน
ลูกชายเรียกบิดาว่าบิดาโง่เง่าทุกคำ
บิดาเรียกลูกชายว่าเจ้าลูกหมาทุกช่วง
คนไม่รู้จะนึกว่าบ้านนี้มีแค่ตาเฒ่าสติไม่ดีคนหนึ่งเลี้ยงลูกหมาหนึ่งตัว…
“ไม่เป็นไร”
หลิวรุ่ยอิ่งไม่มีแก่ใจอธิบายกับเขาโดยสิ้นเชิง ตอนนี้แค่ยืนรออยู่ในลานบ้าน
“ฮ่าๆๆ ใช่ๆ วันนี้ยังไม่สะใจจริงๆ…รอพรุ่งนี้ก่อน พรุ่งนี้พวกเราลุยต่อ!”
นอกประตูมีเสียงหัวเราะเฮฮาทอดมาครู่หนึ่ง ลั่วซิวหรานกลับมาแล้ว
“ท่านพ่อ เรียกข้ากลับบ้านเร็วขนาดนี้มีเรื่องอะไรหรือ”
ลั่วซิวหรานยังไม่เข้าบ้านเสียงก็ดังทะลุประตูมาแล้ว
“ไอ้ลูกชั่ว! ยังมีหน้าถามข้า? เจ้าก่อเรื่องงามหน้าอะไรไว้ข้างนอกจนทำให้ท่านขุนนางมาจับเจ้าถึงบ้าน…เจ้าทำบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นขายหน้าหมดสิ้นแล้ว!”
ลั่วซิวหรานถูกบิดาว่าจนตะลึงงัน คิดว่าวันนี้ตนเสียหน้าในโถงรื่นรมย์แล้วไม่สบอารมณ์เลยเอ็ดตะโรไปดื่มเหล้าเคล้านารีมายกหนึ่ง ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นสักหน่อย
แต่เมื่อเขาเห็นหลิวรุ่ยอิ่งก็เข้าใจสาเหตุทันที
“เฮอะๆ ข้านึกว่าใคร! เจ้าถึงขั้นกล้ามาหาเรื่องถึงบ้านข้า กล้าหาญเสียจริง! ท่านพ่อไม่ต้องกลัว เจ้านี่เป็นแค่ชาวยุทธ์คนหนึ่ง…ไม่ใช่ขุนนางอะไรแต่แรก ใครจะรู้ว่าเขารวบรวมคนพวกนี้มาจากไหน คิดจริงหรือว่าลอกคราบสุนัขแล้วจะออกมาขู่ขวัญคนได้”
ลั่วซิวหรานพูดจาใหญ่โตหน้าไม่อาย
ชายชราเห็นลูกชายตนเหิมเกริมไม่เกรงกลัวเช่นนี้ พลันเริ่มสงสัยฐานะของหลิวรุ่ยอิ่งกับคนอื่นๆ อยู่บ้างเช่นกัน
“บังอาจ! นายกองหลิวเป็นผู้แทนการตรวจสอบพิเศษภาคตะวันตกเฉียงเหนือของกรมสอบสวนกลาง ได้รับคำสั่งพิเศษจากกรมสอบสวนให้สังหารก่อนค่อยรายงานเพื่อสะดวกต่อการทำงาน แล้วเจ้านับเป็นสิ่งใดกัน!”
ผู้รับใช้กองคนหนึ่งชักกระบี่เอ่ยเสียงเฉียบขาด แต่ก็มีเจตนาแสดงฝีมือต่อหน้าหลิวรุ่ยอิ่ง
มีอีกคนหนึ่งแสดงฐานะของอาคารกรมสอบสวนหัวเมืองรัฐติงให้ชายชราดู
หนังสือรับรองราชการของพวกเขาต่างกับหลิวรุ่ยอิ่ง ด้านบนยังประทับตราราชการของทังหมิงผู้ควบคุมรัฐติงเพิ่ม จึงยิ่งโน้มน้าวได้มากกว่าเดิม
ชายชราคนนี้เป็นเจ้าบ้านที่ความรู้กว้างขวาง รู้จักปรับตัวตามสถานการณ์คนหนึ่ง เห็นตราประทับบนหนังสือรับรองราชการนั่นเป็นของจริงทั้งหมด เขาจึงยกไม้เท้าฟาดหน้าและหัวของลั่วซิวหรานเต็มแรง ฟาดจนลั่วซิวหรานร้องโวยวายเสียงดังลั่น
“ไอ้ลูกชั่ว! เจ้าละอายชุดขุนนางบุ๋นบรรพตตาดเขียวขั้นสี่บนกายเจ้าบ้างหรือไม่ ตำราปราชญ์ที่เจ้าอ่านถูกหมากินไปหมดแล้วรึ!?”
ชายชราไล่ฟาดสองสามก้าวก็หมดแรง ยันไม้เท้าด่าเย้ยหยัน
“หมากินไปแล้วจริงๆ นี่…ไม่งั้นจะเป็นลูกหมาได้อย่างไร เจ้าว่าถูกหรือไม่ ลั่วซิวหราน”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยพลางมองลั่วซิวหราน
นัยน์ตาลั่วซิวหรานฉายแววเหี้ยมเกรียม กล่าวถ้อยคำรุนแรง
“บ้านข้ารู้จักกับผู้ควบคุมรัฐทังแห่งรัฐติงเป็นอย่างดี เจ้าอย่าเอางานมาแก้แค้นเรื่องส่วนตัว!”
“เช่นนั้นเจ้าไปเรียกเขามาสิ ข้าจะรออยู่ที่นี่ หรือให้ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าก็ได้”
หลิวรุ่ยอิ่งถือกระบี่กอดอกพลางกล่าว
“ท่านพ่อช่วยข้าด้วย!”
ลั่วซิวหรานรู้สึกท่าไม่ดี พลันตะโกนขอความช่วยเหลือ
“ปิดปากแล้วลากไป!”
หลิวรุ่ยอิ่งคร้านจะฟังเขาโวยวายอีก
“ลูกชายท่านเกี่ยวข้องกับคดีใหญ่ หากตรวจสอบแล้วเป็นผู้บริสุทธิ์ย่อมปล่อยกลับมาแน่นอน”
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นชายชราผู้นี้เป็นบัณฑิตรู้หนังสือแต่ไม่รู้ความในท้องที่คนหนึ่ง จึงบอกเขาเพิ่มอีกประโยค
………………………….
ห้องสอบสวนในอาคารกรมสอบสวนรัฐติง
“ยังจำได้หรือไม่ว่านี่คืออะไร”
หลิวรุ่ยอิ่งหยิบถุงแป้งเปียกที่ซื้อในโถงรื่นรมย์ก่อนหน้านี้ออกมาพลางเอ่ยถาม
ลั่วซิวหรานถูกมัดไว้บนเก้าอี้เหล็กตัวหนึ่ง สั่นเทาไปทั้งตัว ไม่กล้าเงยหน้า สายตาเหลือบมองเล็กน้อย พอเห็นของนั่นชัดแล้วก็ตกใจจนริมฝีปากสั่นเครือ
“ต้องขอบคุณเจ้าด้วยเหมือนกัน หากไม่ได้บัณฑิตขั้นสี่อย่างเจ้า…คนต่ำต้อยไม่เอาถ่านในยุทธภพอย่างข้ายังไม่รู้เลยจริงๆ ว่าแป้งเปียกนี่แก้หิวได้ เจ้าผู้มาเยือนเป็นแขก ข้าชงแป้งเปียกนี่ให้เจ้าดื่มไปก่อนเพื่อเป็นการต้อนรับก็แล้วกัน อย่างไรเสียที่นี่ก็ไม่มีอาหารเย็นเลี้ยงเจ้า และยิ่งไม่มีนางโลมดื่มสุราเป็นเพื่อนเจ้า”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดพลางชงแป้งเปียกใช้ติดหนังสือเสร็จถ้วยหนึ่ง บีบปากลั่วซิวหรานแล้วกรอกเข้าไปอย่างรุนแรง
“อ่อก…”
แป้งเปียกคาวเค็มทั้งยังมีกลิ่นแปลกๆ เดิมใช้ป้องกันแมลง ตอนนี้กลับทำเอาลั่วซิวหรานคลื่นไส้ไม่หยุด
“นาย…นายกองหลิว ผู้น้อยผิดไปแล้ว…ผู้น้อยไม่ควร ไม่ควรแย่งความสนใจท่าน ไม่ควรแต่งกลอนคู่ล้อเลียนท่าน ยิ่งไม่ควร…ใช้แท่นฝนหมึกทุบท่าน”
ลั่วซิวหรานกล่าวอย่างหมดแรง
ผู้รับใช้กองที่อยู่ด้วยได้ยินว่าคนผู้นี้ใช้แท่นฝนหมึกทุบหลิวรุ่ยอิ่งก็โกรธจนไม่อาจระงับอารมณ์ หยิบคราดใบมีดเหล็กอันหนึ่งขึ้นมาเตรียมจะลงมือ แต่กลับถูกสายตาหลิวรุ่ยอิ่งห้ามไว้
“เจ้าคิดว่าข้าจับกุมเจ้ามาถึงที่นี่เพราะเรื่องในโถงรื่นรมย์วันนี้จริงหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ไม่ๆๆ ท่านจิตใจกว้างขวาง คงไม่มาสอบสวนผู้น้อยเพราะเรื่องเล็กพรรค์นี้แน่นอน ต้อง…ต้องมี…มี”
“มีอะไร! ติดอ่างแล้ว? ลิ้นพันกันแล้ว? มาๆๆ แต่งกลอนคู่สักบทก็ได้ จะให้ข้าขึ้นท่อนแรกให้เจ้าหรือไม่”
คำพูดของหลิวรุ่ยอิ่งทำเอากลุ่มกรมสอบสวนที่อยู่รอบๆ รู้สึกขบขัน
“นายท่านนายกองหลิว…ข้าผิดไปแล้ว ท่านมีหนึ่งข้าก็ว่าหนึ่ง มีสองข้าก็ว่าสอง! ขอแค่ผู้น้อยทำได้ก็จะขึ้นภูเขาดาบลงทะเลเพลิง ให้ตัดขาคู่นี้ก็ต้องทำเพื่อท่านแน่นอน”
สมแล้วที่ลั่วซิวหรานได้เป็นผู้สวมชุดบรรพตตาดเขียวขั้นสี่ พูดสองสามคำก็เดาออกว่าหลิวรุ่ยอิ่งต้องมีเรื่องให้ตนทำแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้ชีวิตตนก็ไม่มีอะไรน่าห่วง ขอแค่วางท่าทีสงบเสงี่ยม แสร้งยอมตนคล้อยตามแล้วออกไปจากที่นี่ก่อนถึงจะเป็นแผนยอดเยี่ยม
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าทำให้สยบยอมได้ประมาณหนึ่งแล้ว
ลั่วซิวหรานไม่ได้ฝึกตน หากใช้คราดใบมีดเหล็กนั่นดีไม่ดีสองสามครั้งก็ตายแล้ว…
“ดี เช่นนั้นข้าถามเจ้า ในหัวเมืองรัฐติงนี้นอกจากเจ้ายังมีบรรพตตาดเขียวขั้นสี่อีกกี่คน”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“บรรพตตาดเขียวขั้นสี่? ในหัวเมืองรัฐติง นอกจากผู้น้อยแล้วมีแค่สามคน ล้วนเป็นขุนนางในจวนผู้ควบคุมรัฐ แม้ระดับขั้นเหมือนผู้น้อย แต่ความอาวุโสกลับสูงกว่ามาก”
พูดถึงเรื่องนี้ ลั่วซิวหรานมีความทะนงในถ้อยคำ
แต่เขาสอบถึงขั้นนี้ได้ด้วยอายุเท่านี้ ทั้งยังอยู่ในพื้นที่ห่างไกลของรัฐติง ก็มากพอให้อวดตนได้จริงๆ เพียงแต่เจ้าหนุ่มนี่นิสัยแย่เกินไป ภายหน้ายากจะเป็นผู้มีความสามารถ
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
เขารู้ว่าพวกบัณฑิตชอบเข้าสังคมและให้ความสำคัญกับการรวมกลุ่มอภิปรายเป็นที่สุด
‘ผู้มาพูดคุยเฮฮาล้วนเป็นอุษาม่วง สหายคบค้าหามีผู้เบาปัญญาไม่’
อุษาต่วนม่วงคือขั้นห้า และผู้เบาปัญญายังเทียบหญ้ากำมะหยี่ขาวขั้นหนึ่งไม่ได้ เป็นพวกถงเซิง[1]ที่ไม่มีระดับขั้น จากตรงนี้จะเห็นได้ว่าการอคติแบ่งฝักแบ่งฝ่ายของบัณฑิตกลุ่มนี้รุนแรงเพียงใด ดังนั้นอย่ามองว่าลั่วซิวหรานเป็นแค่คนในหัวเมืองรัฐติง สถานการณ์ภาพรวมของรัฐติงเขาต้องรู้ชัดเจนทั้งหมดแน่นอน
“ไม่มีแล้ว…มีแค่สี่คนที่อยู่ในหัวเมืองรัฐติง นายท่านนายกองหลิว รัฐติงนี้ห่างไกลความเจริญนัก จะมีบัณฑิตระดับสูงมากมายเพียงนั้นได้อย่างไร…หนึ่งไม่มีทุนทรัพย์ ครอบครัวสนับสนุนไม่ไหว สองไม่มีอาจารย์ ต่อให้มีความสามารถแค่ไหนก็ต้องมีคนชี้แนะกระมัง”
คำพูดนี้ถูกต้องทีเดียว
แต่ลางสังหรณ์ของหลิวรุ่ยอิ่งบอกเขาว่าต้องมีอีกคนหนึ่ง!
“เจ้าเป็นคนของหอทรงปัญญา?”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“เอ่อ…ผู้น้อยเป็นคนของหอในหัวเมืองรัฐติงที่อยู่ในสังกัดหอทรงปัญญา แต่ความสามารถไม่มากพอ…เข้าอาคารหลักของหอทรงปัญญาไม่ได้ขอรับ”
นัยน์ตาลั่วซิวหรานฉายแววซึมเซา แต่แวบเดียวก็ถูกแทนที่ด้วยความตื่นเต้น
ภาพนี้เกิดขึ้นตรงหน้าหลิวรุ่ยอิ่ง ดูแล้วไม่เข้ากับหลักทั่วไปอย่างยิ่ง ทำให้เขามั่นใจกว่าเดิมว่าต้องมีลับลมคมใน
“หอทรงปัญญายิ่งใหญ่หรือไม่”
“แน่นอนอยู่แล้ว! รูปแบบของหอทรงปัญญาเปรียบดั่งเทพมังกรทะยานเมฆ สง่างามศักดิ์สิทธิ์ ได้แต่มองจากที่ไกลไม่อาจเข้าไปเล่นลบหลู่ สูงตระหง่านไม่อาจเอื้อม…แค่มองหนเดียวก็ทำให้คนรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่เสียใจแล้ว”
ลั่วซิวหรานเผยความรู้สึกเลื่อมใสเฝ้าปรารถนา
ฟังถึงตรงนี้ หลิวรุ่ยอิ่งกลับมีความนับถือลั่วซิวหรานอยู่หลายส่วน
แม้เจ้าหนุ่มนี่ไม่ได้เรื่องได้ราว แต่ยังคงศรัทธาในเส้นทางแห่งบัณฑิตไม่น้อย
“ช่วงนี้สหายเจ้าในอาคารหลักหอทรงปัญญาสบายดีหรือ”
“สบายดีแน่ะ หลายวันก่อนเพิ่งเจอ…”
ลั่วซิวหรานตระหนักได้ว่าตนหลุดปาก รีบปิดปากทันใด
“เป็นใคร ขั้นอะไร”
หลิวรุ่ยอิ่งหรี่ตาเอ่ยถาม
ก่อนหน้านี้เขาเห็นนัยน์ตาลั่วซิวหรานฉายแววตื่นเต้นตอนพูดถึงอาคารหลักหอทรงปัญญา จึงรู้ว่าเขายังดูมีความคาดหวังต่ออาคารหลักอยู่รางๆ แต่อาศัยระดับของตัวเขาเองไม่มีทางเข้าไปได้ เลยคิดว่าต้องรู้จักคนในนั้นเพราะอยากยืมสะพานข้ามแม่น้ำ ดังนั้นหลิวรุ่ยอิ่งจึงพูดล่อหลอกไปประโยคหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะหลอกสำเร็จ!
“นี่…”
ลั่วซิวหรานสีหน้าย่ำแย่ ไม่พูดเปิดเผยตรงไปตรงมาเหมือนก่อนหน้านี้อีก
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นเป็นเช่นนี้ก็ไม่พูดอะไร เพียงสั่งคนหยิบถังเหล็กใบหนึ่งมา ในนั้นใส่หนูไว้สองตัว
“พวกเจ้าทำอะไร!”
ผู้รับใช้กองสองคนนำลั่วซิวหรานออกจากบนเก้าอี้เหล็ก กดเขาไว้บนโต๊ะไม้ใหญ่กว้างตัวหนึ่ง จากนั้นเลิกเสื้อขึ้นเผยให้เห็นหนังหน้าท้อง
บนโต๊ะไม้มีรอยกระบี่รอยดาบ คราบเลือดไฟเผามากมายนับไม่ถ้วน คนทั่วไปแค่มองแวบเดียวก็รู้สึกเวียนหัวตาลาย
หลิวรุ่ยอิ่งพลิกคว่ำถังเหล็กบนหนังหน้าท้องของเขา หนูถูกขังไว้ในนั้น ส่งเสียงจี๊ดๆ
“ข้างในคืออะไร ตัวอะไรไต่ไปไต่มาอยู่บนหนังหน้าท้องข้า”
ลั่วซิวหรานร้องตกใจด้วยความหวาดกลัว
“เป็นหนู หนูยักษ์! บัณฑิตอย่างพวกเจ้าเรียกมันว่าหนูตัวใหญ่[2]ไม่ใช่หรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดพลางคีบกระถางไฟอันหนึ่งด้วยคีมคีบถ่านวางไว้ตรงก้นถังเหล็ก
“หนูตัวใหญ่ละโมบโลภมาก ทั้งรักตัวกลัวตาย ข้าจำได้ว่ายังมีกลอนยาวบทหนึ่งเอาไว้ด่าพวกมันโดยเฉพาะ วันนี้พวกเราก็มาดูกันว่าบัณฑิตอย่างพวกเจ้าพูดถูกหรือไม่ ทุกอย่างต้องให้ความสำคัญเรื่องหลักการกับความเป็นจริงใช่หรือไม่ ดีแต่พูดอย่างเดียวมันคือการเสแสร้ง”
ถังเหล็กถูกกระถางไฟเผาไหม้จนร้อนขึ้นทุกที หนูข้างในทนความร้อนเช่นนี้ไม่ไหวจึงได้แต่เดินวนบนหนังหน้าท้องของลั่วซิวหรานสุดชีวิต คิดจะขุดรูมุดเข้าไปซ่อนตัว
“อ๊าก…อ๊าก! โอ๊ย…”
ทั้งห้องสะท้อนเสียงร้องโหยหวนอันอ่อนเปลี้ยเพลียแรงของลั่วซิวหราน
“ยอมพูดหรือยัง”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ยอมแล้วๆ…ข้ายอม ข้าพูดทุกอย่างเลย…”
ลั่วซิวหรานรีบกล่าวรับปาก
หลิวรุ่ยอิ่งให้คนด้านข้างเอากระถางไฟกับถังเหล็กออกไป สิ่งที่เห็นคือท้องของเขาเต็มไปด้วยคราบเลือดและรอยฟัน
“เขาเป็นบรรพตตาดเขียวขั้นสี่เหมือนกัน…เพียงแต่เขาศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่อาคารหลักของหอทรงปัญญา ข้าก็รู้จักกับเขาที่นั่น เขาแก่กว่าข้าสองปี ให้ข้าเรียกเขาว่าพี่หงเท่านั้น ไม่รู้ชื่อจริง แม้เป็นบรรพตตาดเขียวขั้นสี่เหมือนกัน แต่ดูเหมือนเขามีเส้นสายกว้างขวางมาก มีวิธีทำให้ข้าเข้าไปในอาคารนี้ได้ตอนคัดเลือกครั้งหน้า ข้าเลยเคารพเขากว่าเดิม
ถึงข้าจะกลับมาหัวเมืองรัฐติงแล้วก็ยังเขียนจดหมายติดต่อกับเขาไม่ขาด กระทั่งในคืนสามวันก่อน เขาพาสหายคนหนึ่งมาเยี่ยมถึงบ้านกะทันหัน บอกว่าจะพักอยู่สักสองสามวัน ข้าดีใจอย่างยิ่ง คิดว่านี่เป็นโอกาสอันดีที่จะสร้างมิตรภาพกับเขาให้มากขึ้น คิดไม่ถึงเขากลับงานยุ่งทุกวัน ทุกครั้งที่ข้าพูดว่าจะพาเขาเที่ยวเล่นต้อนรับสักรอบ เขากลับบ่ายเบี่ยงด้วยเรื่องงานราชการที่อาคารหลักมอบหมายอยู่กับตัว ข้าก็เลยไม่สะดวกจะพูดอะไร กระทั่งเช้านี้ข้าถึงได้เห็นว่าห้องข้างที่เขาพักอยู่ไม่มีคนแล้ว เหลือเพียงจดหมายฉบับหนึ่ง”
……………………………………………
[1] ถงเซิง การสอบข้าราชการระดับต่ำสุด
[2] หนูตัวใหญ่ หมายถึง ผู้ปกครองที่รีดไถเอาเปรียบประชาชน