ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 101 ความว่างเปล่า-3
บทที่ 101 ความว่างเปล่า-3
บัณฑิตจางควบม้าไปก่อนและระยะทางอีกไม่กี่ก้าวก็ถึงบ่อน้ำใจกลางเมืองจิ่งผิง
เดิมเขาอยากหันกลับไปเร่งเร้าทังจงซงและจิ่วซานปั้น แต่ร่างสี่คนที่ปรากฏเบื้องหน้าทำให้เขายืดคอไว้
“ทำไมไม่ไปเล่า”
ทังจงซงที่ไล่ตามมาถามขึ้น
บัณฑิตจางไม่กล่าวคำใด เพียงมองข้างหน้าเงียบๆ
“คนรู้จักหรือ”
ทังจงซงถาม
บัณฑิตจางส่ายศีรษะ
“ศัตรูคู่แค้นหรือ”
ทังจงซงถามอีก
บัณฑิตจางก็ยังคงส่ายศีรษะเบาๆ
“เบญจลักขี!”
ยามนี้เองจิ่วซานปั้นกระโดดลงจากหลังม้าข้างหลังทังจงซงแล้วกล่าว
“พวกเจ้ามาได้อย่างไร มาหาข้าหรือ ทำไมขาดไปคนหนึ่งเล่า ทำไมเหลี่ยงเฟินไม่มาด้วย”
จิ่วซานปั้นยิงคำถามสี่ข้อติดต่อกัน
วันซาน ฟางซื่อ เตาอู่ ฮวาลิ่วเบญจลักขีที่เหลือพลันเปลี่ยนสีหน้าเป็นมืดครึ้มขึ้นเรื่อยๆ ตามคำถามสี่ข้อนี้ ราวกับว่าหมึกสีดำสามารถหยดลงมาจากคางได้อย่างไรอย่างนั้น
ฮวาลิ่วถลึงตาจ้องจิ่วซานปั้นเขม็ง ครั้นกำลังจะเคลื่อนไหวกลับถูกวันซานขวางไว้ก่อน
เหลี่ยงเฟินตาย ตอนนี้เขาเป็นพี่ใหญ่
วันซานชี้ทังจงซงและบัณฑิตจางด้านหลังจิ่วซานปั้นพลางถาม “นั่นใครกัน”
ต้องกล่าวว่านิสัยใจคอวันซานไม่ธรรมดา
พี่น้องร่วมสหายทั้งสี่ต่างระบุว่าจิ่วซานปั้นเป็นศัตรูตัวฉกาจ แต่เมื่อวันซานเห็นด้านหลังจิ่วซานปั้นยังมีอีกสองคนอยู่ด้วยจึงไม่หน้ามืดจนไร้สติ
“สหายของหลิวรุ่ยอิ่ง”
จิ่วซานปั้นกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งรู้จักทังจงซงและบัณฑิตจางเป็นอย่างดี แต่จะนับเป็นสหายกันหรือไม่นั่นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่ในสายตาของจิ่วซานปั้น เพียงรู้จักก็นับว่าเป็นสหาย
“นี่ต้องเป็นมือสังหารร่วมของเขา! พวกเขาทั้งสามร่วมมือกันฆ่าพี่รองตายเป็นแน่! ไม่เช่นนั้นด้วยขั้นฝึกตนของพี่รอง จะสิ้นชีวิตง่ายๆ ได้อย่างไร”
ฮวาลิ่วกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ
ก่อนหน้านี้ทั้งสี่คนถูกตี๋เหว่ยไท่บังคับขับไล่อออกจากสถานที่ แต่พวกเขาไม่ได้กลับไปพักผ่อนแต่อย่างใด ทว่าค้นหาทั่วทุกที่ในหอทรงปัญญาที่เป็นไปได้ด้วยตนเอง
หลังจากไม่พบเบาะแส ฮวาลิ่วจึงแนะนำให้มาดูที่เมืองจิ่งผิ่ง
เขารู้สึกว่าต่อให้จิ่วซานปั้นจะสามารถฆ่าเหลี่ยงเฟินได้ ย่อมเสียพลังไปมากโข กระทั่งบาดเจ็บสาหัส แม้จะจากไปย่อมหนีไปได้ไม่ไกลแน่นอน
อย่างไรเสียการต่อสู้ในคืนนั้นช่างรุนแรงโหดร้ายยิ่งนัก ไม่เช่นนั้นกระบี่ของตนจะแหลกละเอียดได้อย่างไร
“เจ้าว่าอะไรนะ”
จิ่วซานปั้นได้ยินคำพูดของฮวาลิ่ว ไม่ได้สติไปครู่หนึ่ง
“ฮวาลิ่วเป็นน้องห้า พี่รองของเขาก็คือเหลี่ยงเฟิ่นไม่ใช่รึ พี่รองตายแล้วก็เท่ากับว่าเหลี่ยงเฟินตายแล้ว เหลี่ยงเฟินตายแล้วรึ?!”
จิ่วซานปั้นคำนวณในใจหลายตลบก่อนจะอุทานออกมาทันที
“เหอะๆ…คนที่ฆ่าก็คือเจ้าไม่ใช่หรือ”
ครั้นพบเจอจิ่วซานปั้น ฮวาลิ่วก็สงบลงอย่างรวดเร็ว แค่นหัวเราะพลางกล่าว
“ข้าไม่ได้ฆ่าคน”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“เหลี่ยงเฟินตายแล้วหรือ”
ขณะเดียวกันเขาก็ถามอีกครั้ง
จิ่วซานปั้นประทับใจเหลี่ยงเฟินที่กล้าได้กล้าเสียและมีจิตวิญญาณอิสระอย่างยิ่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาไม่เคยคิดเลยว่าการปะทะครั้งแรกระหว่างทั้งสองจะกลายเป็นครั้งสุดท้าย
ช่วงเวลานั้นกลับกลายเป็นชั่วนิรันดร์ แต่มันทำให้เขามีความรู้สึกอธิบายยากและไม่อาจอธิบายให้เข้าใจได้
เข้าใจกล่าวกับกล่าวให้เข้าใจ แม้ว่าลำดับของทั้งสองคำจะแค่สลับกัน แต่ความหมายกลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง
กล่าวให้เข้าใจ หมายถึง กล่าวออกมาให้เข้าใจชัดเจน
เข้าใจคำกล่าว หมายถึง เข้าใจคำอธิบายที่ชัดเจน
แต่ขณะนั้นความรู้สึกในใจของจิ่วซานปั้นไม่อาจกล่าวออกมาให้เข้าใจชัดเจนและไม่มีภาษาใดสามารถอธิบายได้ชัดเจน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องเผชิญกับความตาย อย่างไรเสียเขาก็เคยฆ่าคนมาก่อน
แต่ว่าคนผู้นั้นไม่เกี่ยวข้องกับเขา ในสายตาเขาก็เป็นเหมือนวัว แกะ ไก่ หรือสุนัข
จิ่วซานปั้นรู้สึกว่าถั่งเช่า ก้อนหิน นางเงือก และสัตว์ต่างๆ ล้วนเหมือนกัน
ไม่ว่าจะพูดเป็นหรือไม่ ทานอาหารได้หรือไม่ เดินได้หรือไม่ ล้วนเหมือนกัน
ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือ ในสิ่งที่เหมือนกันทั้งหมดนั้นมีบางคนหรือบางสิ่งเกิดข้อผูกมัดที่อธิบายไม่ได้ขึ้นกับเขา
ข้อผูกมัดประเภทนี้ทำให้เขาเลือกบุคคลและสิ่งเหล่านี้อย่างอิสระโดยไม่ได้ตั้งใจ
เขาเป็นคนโดดเดี่ยวมากคนหนึ่ง
แต่เขากลับไม่รู้ว่าตัวเองโดดเดี่ยว
ตรงกันข้าม ในแต่ละวันของเขาล้วนเป็นไปอย่างน่าสนใจยิ่ง
นี่ไม่ใช่สภาวะสูงสุดของความโดดเดี่ยวหรอกหรือ
เมื่อดอกไม้บานเขาจะไปนับกลีบดอก
เมื่อดอกไม้ร่วงเขาจะไปนับกลีบดอกเช่นกัน
บางครั้งหากเหลือกลีบดอกเพียงกลีบเดียวที่ยังไม่ร่วงเขาจะร้อนใจยิ่งนัก เพราะหากกลีบดอกร่วงหล่นในขณะที่เขาหลับอยู่แต่เขาไม่ทันได้นับมัน นั่นจะเป็นเคราะห์ร้ายใกล้มาเยือนของเขา
นี่ไม่ใช่ความงมงาย ไม่ใช่ประเพณีของหมู่บ้านเขาและยิ่งไม่ใช่คำกล่าวที่ย่าเขาบอกเช่นกัน
เป็นสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมาเอง
เขาบอกตัวเองว่าหากนับกลีบดอกที่ร่วงหล่นไม่หมด นั่นไม่ใช่สัญญาณที่ดี
หากกล่าวถึง ไม่ใช่ไม่มีผู้ใดในหมู่บ้านไม่อยากเล่นกับเขา ตรงกันข้ามหมู่บ้านยอดนักดื่มเป็นหมู่บ้านที่มีความสามัคคีและเป็นมิตรอย่างยิ่ง
แต่ก็ไม่ใช่เพราะจิ่วซานปั้นมีนิสัยเก็บตัวและเงียบงัน
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขาถึงเป็นคนโดดเดี่ยวและเดียวดายเพียงนี้
แม้กระทั่งย่าของเขายังพูดคุยกับเขาเพียงไม่กี่ประโยคเป็นครั้งคราวเท่านั้น
ในมุมมองของเขานั่นเป็นเพียงการสั่งสอน หาได้เป็นการกล่าวพูดไม่
ทว่าในตอนนั้นเขาล้วนจำมันได้แม่นยิ่งนัก เพียงแต่หลังออกจากหมู่บ้านในทุกย่างก้าวพลันลืมมันไปทีละนิด
จนถึงตอนนี้ใกล้จะลืมไปจนหมดสิ้นแล้ว
จิ่วซานปั้นไม่ได้รู้สึกเสียใจกับสิ่งนี้ ในทางกลับกันเขารู้สึกดียิ่งนักที่เวลาล้วนเป็นของตนเอง
บางคนเปิดเผยภายนอก แต่เขาเก็บซ่อนไว้ลึก
เขากระทั่งตั้งชื่อสิ่งของทุกชิ้นรอบตัว แยกแยะดีชั่ว แต่งนิทานขึ้นมา
อันที่จริงกระบี่ของเขาก็มีชื่อเช่นกัน
ในส่วนนี้ เขาไม่ได้กล่าวความจริงกับบัณฑิตจางและทังจงซง
กระบี่ของเขาก็เหมือนกับเขา ชื่อว่าจิ่วซานปั้น
เขาก็เหมือนกับกระบี่ของเขาเช่นกัน แม้จะต้องเดินทางถึงสุดยอดแดนสวรรค์ก็ยังต้องการหาที่ตั้งตาน้ำสุรานั่นให้เจอ
………………………..
นับตั้งแต่เขาได้รับมอบหมายงานเลี้ยงวัวเลี้ยงแกะ เขาพลันรู้สึกว่าตนเองคล้ายกับ ‘แม่ทัพใหญ่’ บังคับบัญชากองทหารหลายพันนาย ‘ออกรบ’ ทุกวันก่อนเที่ยง ‘ส่งสัญญาณถอยทัพ’ ก่อนพลบค่ำ
‘เดินขบวนทัพ’ ในระหว่างทางล้วนเดินผ่านหินผาใหญ่ยักษ์ทุกวัน
มุมหนึ่งที่ยื่นออกมาของหินผาขยายไปถึงบนถนน ยึดครองพื้นที่มากกว่าครึ่ง
หินผาก้อนนี้ถูกลมพายุฝนซัดกระหน่ำผสมทั้งน้ำและโคลนจากบนเขาพัดตกลงมา
เดิมก็เป็นสิ่งที่น่าสงสารย้ายรังและออกจากบ้าน
ในช่วงแรก จิ่วซานปั้นโมโหหินก้อนนี้ยิ่งนัก
หินผาก้อนใหญ่ที่ขวางถนน ย่อมเป็น ‘ศัตรู’ แรกของเขาโดยธรรมชาติ
วันเวลาเช่นนี้กินเวลาต่อเนื่องถึงหนึ่งปีเต็ม
ในช่วงต้นเหมันต์ฤดูปีถัดมา พายุฝนตกหนักเช่นเดียวกับปีที่แล้วทุกประการ
พายุฝนปีที่แล้วซัดหินก้อนใหญ่ก้อนนี้ลงมา
พายุฝนปีนี้ซัดเอาหินก้อนนี้ออกไป แต่ไม่ได้ซัดหินก้อนใหม่มาแต่อย่างใด
ครั้นฝนหยุดตก จิ่วซานปั้นนำฝูงทหารวัวและทหารแกะของเขา ‘เดินขบวนทัพ’ อีกครั้ง
เมื่อเดินผ่านตำแหน่งที่หินก้อนนั้นเคยกีดขวางถนน ทั้งยังจงใจกระทืบเท้าอย่างลำพอง แสดงความน่าเกรงขาม!
วันที่สาม จิ่วซานปั้นกลับรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย
วันที่สี่ เขาเริ่มรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
วันที่ห้า เขานอนหมอบลงตำแหน่งที่หินเคยกีดขวางและร้องไห้เสียงดังลั่น
จากนั้นหันไปโค้งคำนับสามครั้งต่อเชิงเขาที่หินขวางทางกลิ้งลงมา ประหนึ่งแสดงความเคารพต่อญาติมิตรผู้ล่วงลับ
วันนั้น ‘แม่ทัพใหญ่’ ท่านนี้ ‘ถอนกำลังทัพ’ ก่อนเวลาและกลับเข้าหมู่บ้าน
เขากล่าวอะไรบางอย่างกับย่า
“ข้าจะไปแล้ว ”
“ไปที่ใด”
ย่าของเขากล่าวถาม
“ไปตามหาตาน้ำสุรา”
จิ่วซานปั้นกล่าว
ย่าของเขาไม่กล่าวอะไรอีกและออกจากบ้านไปเงียบๆ
ครั้นกลับมาอีกครั้งก็นำเสื้อคลุมขนสัตว์คุณภาพดีมาให้จิ่วซานปั้น
ขนนั้นหนาแน่นจนถึงขั้นที่ว่าพยายามเป่าคอเสื้อจนสุดแรงก็ยังมองไม่เห็นตอของมัน
ยังมีม้าดีอีกหนึ่งตัว รูปร่างแข็งแรง ร่างท้วมกำยำ แผงคอมันเงา
จิ่วซานปั้นรู้ดีว่าเมื่อรุ่งสาง ผู้คนในหมู่บ้านจะต้องรีบพากันไปที่ทางแยกเพื่อส่งเขา ฉะนั้นเขายิ่งต้องออกเดินทางในช่วงกลางคืน
ไม่ใช่จงใจหลบเลี่ยงทุกคน เพียงแต่ต้องการไปเอากระบี่ยาวของตนที่ทุ่งเลี้ยงสัตว์กลับมา
บิดาและมารดาของจิ่วซานปั้นไปที่ตาน้ำสุราตั้งแต่เมื่อเขายังเล็กจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา
แต่นี่ไม่ใช่สาเหตุที่เขาอยากไปตามหาตาน้ำสุรา
เขาเพียงใช้สิ่งนี้เป็นข้ออ้างออกจากหมู่บ้านไปข้างนอก
ส่วนจะไปข้างนอกทิศทางใดนั้น ไปที่ใดก็ย่อมได้ทั้งสิ้น
อย่างไรเสียสำหรับเขาแล้วโลกทั้งใบแบ่งออกเป็นหมู่บ้านและภายนอกหมู่บ้านเท่านั้น
ทว่าบางครั้งโชคชะตาก็เป็นเช่นนี้ มาอย่างรุนแรงและฉับพลัน
แม้ว่าจิ่วซานปั้นจะไม่ได้มองหาตาน้ำสุรา แต่ถึงอย่างไรก็ใช้ข้ออ้างนี้เพื่อออกจากหมู่บ้าน
ถ้าบิดามารดาของเขาก็เป็นเช่นนี้ละก็ เช่นนั้นผู้ใดเป็นคนแรกที่ต้องการตามหาตาน้ำสุราเล่า
จิ่วซานปั้นไม่เคยคิดถึงปัญหานี้เลย
เขารู้เพียงสตรีในหมู่บ้านมีมาก บุรุษนั้นมีน้อย
หญิงสาวมีมาก ชายหนุ่มมีน้อย
หญิงชรามีมาก ชายชรามีน้อย
ครั้นเที่ยงวันมาถึงก็ถึงที่ทานอาหารพอดี
บ้านเรือนริมถนนทุกหลังต่างส่งกลิ่นหอมฉุยเล็ดลอดจากบานหน้าต่างที่ปิดไม่แน่นนัก
ในส่วนนี้เหมือนกับหมู่บ้านยอดนักดื่ม ทำให้จิ่วซานปั้นรู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก
แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือ ในหมู่บ้านยอดนักดื่มไม่มีสี่คนที่มีเจตนาชั่วร้ายชัดเจนมาขวางเส้นทางเช่นนี้ และยิ่งไม่มีผู้ใดกล่าวว่าเขาฆ่าคน
………………………..
วันซาน ฟางซื่อ เตาอู่ ฮวาลิ่ว
ทั้งสี่คนขวางปิดกึ่งกลางถนนที่เดิมทีก็ไม่ได้กว้าง
แน่วแน่มั่นคงยิ่งกว่าต้นไม้โบราณข้างบ่อน้ำเสียอีก
พวกเขาทั้งสี่คนไม่ได้ขี่ม้า แต่งกายเช่นเดียวกับครั้งแรกที่พบกัน เพียงแต่แบกกระดานหมากรุกขาวดำสองสีไว้บนหลังเท่านั้น
ทังจงซงอยากลงม้าแต่กลับถูกบัณฑิตจางห้ามไว้
แม้ว่าจะไม่ได้เห็นทั้งสี่คนอยู่ในสายตาก็ตาม แต่เขาก็ไม่เคยคิดอยากสร้างปัญหาใดๆ เพิ่มเด็ดขาด
ยิ่งปัญหาน้อยลงเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น ตราบใดที่เขาเร่งส่งทังจงซงเข้าหอทรงปัญญา ตนก็จะได้กลับไปเมืองติ้งซีอ๋องอาศัยพลังของฮั่ววั่งติ้งซีอ๋องตามหาลูกศิษย์ที่น่าสังเวชของตนต่อไป
เบญจลักขีเป็นผู้คุ้มกันประจำกายตี๋เหว่ยไท่ประมุขหอทรงปัญญา
บัณฑิตจางใช้พลังธาตุบีบเสียงเป็นเส้นบางๆ เปล่งเข้าหูทังซงจงเบาๆ
เดิมทีเขาคิดว่าคำเตือนเช่นนี้ ทังจงซงจะไม่แสดงอาการหุนหันพลันแล่นเป็นแน่
แต่เขาผิดถนัด
จนแล้วจนรอดต้องโทษเขาที่ไม่เข้าใจทังจงซงดี หรือจะกล่าวว่าเขาไม่เคยคิดจะเข้าใจเสียมากกว่า
ตกลงร่วมกัน ต่างได้รับในสิ่งที่ต้องการ ก็เพียงเท่านั้น
เขาเข้าใจพฤติกรรมในอดีตของทังจงซงจากเบาะแสร่องรอยจากมุมโน้นมุมนั้นมาบ้าง และคิดว่าเขาเป็นคนระมัดระวังรอบครอบ คำนึงรอบด้านเมื่อประสบกับปัญหา
อิงตามหลักการก็เป็นเช่นนี้จริงๆ นี่เป็นวิธีจัดการปัญหาและหลักการของทังจงซงอย่างแท้จริง
เพียงแต่ว่านั่นมันเก่าแล้ว
คนสมัยก่อนใช้เพียงสีเก่าแก่
หากเป็นแต่ก่อน เขาจะต้องมีความคิดแบบเดียวกับบัณฑิตจางเป็นแน่
เมื่อประสบปัญหาดังกล่าว ไม่คุกเข่าแสร้งขี้ขลาดหวาดกลัวก็เดินอ้อมเลี่ยงไปเงียบๆ
แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบเดิมแล้ว
ทังจงซงก็ไม่เหมือนแต่ก่อน
อย่างน้อยก็ในขณะนี้ เขารู้สึกว่ายิ่งมากเรื่องเท่าไรก็ยิ่งดี
“ผู้สมรู้ร่วมคิดอะไรกัน พวกเจ้าขวางทางยังมีเหตุผลอีกหรือ”
ทังจงซงกระตุกมุมปากใส่บัณฑิตจาง ทันใดนั้นกระโดดลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็วพลางกล่าว
“ชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร”
วันซานกล่าว
เขาจะไม่บุ่มบ่ามลงมือก่อนรู้รายละเอียดของอีกฝ่าย และจะไม่ใจร้อนเหมือนฮวาลิ่วเด็ดขาด
สิ่งที่ทำให้เขากังวลยิ่งกว่าคือ ไม่อาจสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายบนกายของพวกเขา จิ่วซานปั้น ทังจงซงและบัณฑิตจางทั้งสามคน
…………………………………………………………..