ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 117 ไม่ทำลายไม่อาจสร้าง-4
บทที่ 117 ไม่ทำลายไม่อาจสร้าง-4
หัตถ์ราชันธรณีรวมศูนย์
ใจกลางเชื่อมถึงกันภายนอกเหยียดตรง ดาราบถธรณีฟ้าดิน
มีพลังป่าเถื่อนและอ่อนโยนไหลทั่วทิศดุจสายน้ำ
หากเป็นคนไม่รู้สถานการณ์แล้วป้องกันหัตถ์ราชันธรณีรวมศูนย์ด้วยเห็นเป็นวิชากำลังภายนอกง่ายๆ หยาบๆ เขาอาจตายอย่างไม่น่าชมนัก
แม้ทุกครั้งที่หลิวจิ่งเฮ่าออกมือล้วนเป็นพลังฟ้าถล่มดินทลาย แต่ยังมีพลังปราณไร้รูปแผ่ขยาย ถักทอเป็นเสื้อยาวฝีเย็บละเอียดแผ่คลุมอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว
ผู้คนรู้เพียงกระบวนท่าของหลิวจิ่งเฮ่าเรียกว่าหัตถ์ราชันธรณีรวมศูนย์
ที่จริงวิทยายุทธ์มือซ้ายของเขาคือหัตถ์ราชันธรณีรวมศูนย์ แต่มือขวาเรียกว่าหัตถ์ราชันดาราบถรวมศูนย์
ความยอดเยี่ยมทั้งหมดล้วนอยู่ที่สองคำ ‘ดาราบถ’ กับ ‘ธรณี’
เหตุใดจึงเป็นดาราบถธรณี
ดาราบถ วิถีฟ้า
ธรณี วิถีดิน
ดาราบถธรณีก็คือสัจธรรมแห่งฟ้าดิน
แหงนมองปรากฏการณ์บนฟ้า ก้มหน้าสำรวจผืนแผ่นดิน ทุกสรรพสิ่งล้วนถูกเขากุมไว้ในมือคู่นี้แล้ว
ชายชุดขาวเห็นปลายดาบของตัวเองถูกดีดออกก็ไม่ได้แปลกใจ
ส่วนหลิวจิ่งเฮ่าออกปากพูดว่าดาบคู่ตาข่ายเมฆาของเขาเกือบดีแล้ว เขาก็ไม่คิดโต้แย้ง
สองกระบวนท่าเมื่อครู่ดูเหมือนสูสีกับอีกฝ่าย ความจริงคือเขาตกเป็นรอง
สองกระบวนท่าฟันแทงของชายชุดขาวล้วนถูกหลิวจิ่งเฮ่าป้องกันไว้
เขาชิงโจมตีก่อน กลับไม่ได้อะไรเลย
ถูกหลิวจิ่งเฮ่าเย้ยหยันเช่นนี้ก็ช่วยไม่ได้
แต่สุดท้ายจะดีหรือไม่ ใช่วัดกันที่ปาก
ชายชุดขาวอาศัยตอนดาบกระบี่ถูกดีดแล้วเปลี่ยนทิศทางฉับพลัน แทงไปยังมืออีกข้างหนึ่งของหลิวจิ่งเฮ่า
มือขวาของหลิวจิ่งเฮ่ายังกำคมดาบอีกเล่มหนึ่งของเขาอยู่
ปลายดาบชายชุดขาวพุ่งแทงข้อมือขวาของหลิวจิ่งเฮ่า
ปราณม่วงกลุ่มหนึ่งพลันลอยขึ้นจากมือขวาของเขา หลิวรุ่ยอิ่งมองแวบเดียวก็รู้สึกรอบกายหนาวเยือก เหมือนอยู่ลึกลงไปในความโกลาหลอันมืดมิด
มีเพียงความอ้างว้างไม่รู้จบ…
ในความว่างเปล่าไร้สิ้นสุดมีเพียงเขาที่สามารถใคร่ครวญ พูดจา วิ่งได้กระโดดได้ และถูกเรียกเป็นสิ่งมีชีวิต
ใต้เท้าไม่มีสิ่งใด กลับแข็งดุจหินก้อนใหญ่ ทำให้ร่างเขาไม่หล่นลง
เหนือหัวไม่มีสิ่งใด กลับเบาดุจผ้าไหม ล่องลอยปกคลุมอยู่บนศีรษะของเขา
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าทำไมเขามองปราณม่วงนั้นแค่แวบเดียวก็ถูกดึงจิตเข้ามาในโลกประหลาดใบนี้
เขาดิ้นรนวิ่งไปสุดเขตแดนที่ไม่มีอยู่จริง
หลิวรุ่ยอิ่งวิ่งเร็วมาก แต่ไม่รู้สึกเหนื่อยเลย
เขาตบหน้าตัวเองอย่างแรงทีหนึ่ง ไม่รู้สึกเจ็บเหมือนกัน
ไม่รู้ทำไมทุกประสาทสัมผัสของเขาถึงถูกตัดทั้งหมด
ดีที่เขายังใคร่ครวญได้
แต่ตัวอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ การใคร่ครวญกลับเป็นความสามารถที่ไร้ประโยชน์ที่สุด
ชั่วขณะหนึ่ง เขาเริ่มอิจฉาความโกลาหลว่างเปล่าใต้เท้าและเหนือหัว
หากตนเป็นเหมือนพวกมันก็ดำรงอยู่ชั่วกาล ไม่มีภาระ ไม่มีความคิด จะดีเพียงใด
ตอนเด็กหลิวรุ่ยอิ่งเหม่อมองหน้าต่างอยู่บ่อยครั้ง
เขาในตอนนั้นไร้ทุกข์ไร้กังวล มีเพียงความสุข
แต่ไม่รู้ทำไม เขากลับคิดว่าซี่กรงหน้าต่างดีกว่าคน
กระทั่งต้นไม้นอกหน้าต่างก็ดีกว่าคน
บางคนก็เติบโตเร็วเช่นนี้
ทั้งที่ยังไม่เคยประสบความยากลำบากใด ไม่เคยสัมผัสความร้อนหนาวในโลกแม้แต่น้อย แต่ก็มีความเบื่อหน่ายที่เกิดจากการรู้แจ้งเสียอย่างนั้น
หลิวรุ่ยอิ่งยังคงวิ่งไม่หยุด ในเมื่อไม่มีเรื่องให้ทำแล้วยังไม่รู้สึกเหนื่อย ก็วิ่งต่อไปเช่นนี้ดีกว่า
ตอนความคิดไร้ผลก็ให้ร่างกายอยู่บนเส้นทาง
เขารู้สึกหากตนหยุดลงเมื่อใดก็จะค่อยๆ กลายเป็นความว่างเปล่าเช่นเดียวกับฟ้าดิน
หัตถ์ราชันดาราบถรวมศูนย์มือขวาของหลิวจิ่งเฮ่าเปิดฉากเต็มที่
ปราณม่วงนั้นพันรอบดาบชายชุดขาว ขยายไปยังมือและแขนของเขาเหมือนเถาวัลย์
ส่วนปราณม่วงที่เหลือกลายเป็นผืนสี่เหลี่ยมป้องกันดาบอีกเล่มของชายชุดขาว
ดูเหมือนสูสีกันอีกครั้ง
มือซ้ายหลิวจิ่งเฮ่าเปลี่ยนฝ่ามือเป็นดาบโจมตีชายชุดขาวฉับพลัน
ชายชุดขาวขวางดาบกั้นไว้
หนึ่งฝ่ามือหนึ่งดาบตัดกันไปมา
หลิวจิ่งเฮ่าเปลี่ยนฝ่ามือเป็นหมัด
ทุบบนคมดาบชายชุดขาว
ชายชุดขาวกวัดแกว่งดาบยาวอย่างรวดเร็ว ฟันออกไปหลายสิบดาบในเวลาสั้นๆ
ทุกดาบล้วนมาพร้อมพลังปราณรุนแรง ระยะสั้นแต่ถึงชีวิต
หมัดของหลิวจิ่งเฮ่ายังคงเคลื่อนไปข้างหน้าไม่หยุดยั้ง
ไม่ว่าชายชุดขาวฟันพลังปราณออกมากี่สาย เขาล้วนทำลายมันได้หมดในหมัดเดียว
นอกบ้านมีลมแล้ว
ใบไม้ร่วงจำนวนหนึ่งลอยเข้าทางหน้าต่างที่ถูกชนแตก
ดวงอาทิตย์เอนฝั่งตะวันตก
อาทิตย์อัสดงงดงามยิ่งนัก
ก่อนความมืดมิดจะครอบคลุม นี่เป็นฉากที่สวยที่สุดในโลก
หลิวจิ่งเฮ่าบรรลุขั้นสูงสุดแล้ว
แต่ชายชุดขาวยัง
หลิวจิ่งเฮ่าไม่ได้ให้โอกาสเขา
ใครบรรลุขั้นสูงสุดก่อน คนนั้นก็ครองลมบน
ดาบของชายชุดขาวเร็วขึ้นเรื่อยๆ แม้เป็นในตาหลิวจิ่งเฮ่าก็จับได้แค่เงาตามหลัง
ดาบคู่ตาข่ายเมฆา
บัดนี้เป็นเหมือนร้อยดาบพันดาบ
ชายชุดขาวมีแค่สองมือสองแขนเหมือนหลิวจิ่งเฮ่า
ยามนี้เป็นดั่งร้อยมือพันแขน
กลับมาดูหลิวจิ่งเฮ่า เรียบง่ายกว่ามาก
เขายังคงออกแค่หนึ่งหมัด
ไม่มีพลังปราณแสงดาบใด
ความไวของหมัดนี้ก็ไม่เร็วนัก
แต่กลับบุกทะลวงอยู่ในแสงดาบผืนนี้อย่างมั่นคง
พลังปราณแสงดาบของชายชุดขาวถูกบีบอัด เปลี่ยนรูปและถอยร่นทีละนิด
หน้าผากเขาซึมเหงื่อเม็ดละเอียดชั้นหนึ่ง
ผ้าคลุมบนหน้าก็เริ่มชื้นเล็กน้อย
แต่ดาบของเขาไม่มีการชะลอเว้นช่วงแต่อย่างใด
ดาบของเขาเฉียบขาดเหมือนหมัดของหลิวจิ่งเฮ่า
บัดนี้สิ่งเดียวที่คงอยู่ระหว่างฟ้าดินมีเพียงหนึ่งหมัดหนึ่งดาบนี้
หมัดของหลิวจิ่งเฮ่า
ดาบของชายชุดขาว
ในใจหลิวจิ่งเฮ่ามีแค่ความคิดเดียว นั่นคือเข้าไปอีกก้าว
ตราบใดที่หมัดของเขายังทะลวงอย่างมั่นคงเช่นนี้ ช้าเร็วต้องต่อยหัวไหล่ชายชุดขาวได้เต็มเหนี่ยว
ในใจชายชุดขาวก็มีแค่ความคิดเดียว นั่นคือเร็วขึ้นอีกนิด
ขอเพียงดาบของเขาปล่อยพลังปราณมากขึ้นอีกหน่อยก็จะหยุดหมัดของหลิวจิ่งเฮ่าไว้ได้
ดังคาด หมัดของหลิวจิ่งเฮ่าถูกแสงดาบชายชุดขาวหยุดไว้แล้ว
เพราะตอนนี้ชายชุดขาวบรรลุขั้นสูงสุดแล้วเหมือนกัน
แม้เขาช้ากว่าหลิวจิ่งเฮ่าเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ถึงขั้นสูงสุด
ตอนนี้ ขอบเขตของทั้งสองไม่หนีห่างกัน
ความต่างอยู่ที่สภาวะเท่านั้น
ขอบเขตการฝึกตนเป็นสิ่งแน่นอน ไม่ว่าปรับอย่างไรล้วนคงอยู่อย่างเงียบๆ เช่นนั้น
แต่สภาวะไม่ใช่
สูบยาเส้นเพิ่มครั้งหนึ่ง ดื่มเหล้าเพิ่มอึกหนึ่ง กระทั่งกินอาหารเพิ่มคำหนึ่งตอนมื้อเที่ยงก็ส่งผลต่อสภาวะของคนคนหนึ่ง
ก่อนหน้านี้คนที่ชายชุดขาวเผชิญหน้าเป็นแค่หลิวรุ่ยอิ่งที่เขามองว่าเทียบไม่ได้แม้แต่ไก่อ่อน
ย่อมไม่จำเป็นต้องปรับสภาวะ เขาแค่ต้องใช้ขอบเขตก็จัดการหลิวรุ่ยอิ่งได้สนิท
แต่ตอนนี้ คนที่เขาเผชิญหน้ากลับเป็นฉิงจงอ๋องหลิวจิ่งเฮ่า
เขาไม่รู้เลยว่าหลิวจิ่งเฮ่าจะมา ย่อมไม่ได้วางแผนหรือเตรียมป้องกันเขาแต่อย่างใด
ตรงกันข้าม ตอนหลิวจิ่งเฮ่าพังหน้าต่างเข้ามาเขารู้เหตุการณ์ข้างในอยู่แล้ว
เขามีเวลาเตรียมตัวอย่างเต็มที่มากพอ
พังหน้าต่างแล้วก็เป็นขั้นสูงสุด!
ออกมือก็เลิศล้ำ!
ชายชุดขาวได้แต่ต้านทานด้วยเป็นฝ่ายรับ
แต่ตราบใดที่มีขอบเขต ช้าเร็วสภาวะก็จะมา
ชายชุดขาวก็เป็นคนรุ่นผ่านศึกนับร้อย
ย่อมค่อยๆ ปรับตัวในการต่อสู้ได้
ขอเพียงเขาสามารถทานรับการจู่โจมระลอกแรกของหลิวจิ่งเฮ่า เขาก็มั่นใจว่าจะยืดการต่อสู้ครั้งนี้ให้ยาวนานได้
แม้สุดท้ายเขาอาจจะแพ้ แต่ตราบใดที่ยืดเยื้อก็เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายได้เสมอ
นี่เป็นหลักการเดียวกับชั่วชีวิตของมนุษย์
หากเจ้าใช้ชีวิตมาแค่สองปี เช่นนั้นย่อมเป็นช่วงเวลาที่สุขสงบ
หากเจ้าใช้ชีวิตมาเจ็ดสิบปี เช่นนั้นในใจย่อมเป็นเล่มบัญชีชัดแจ้ง
การต่อสู้ที่จบลงในชั่วพริบตาเป็นเพราะอีกฝ่ายต้องแพ้แน่นอน
แต่ถ้าสู้มาแล้วหลายชั่วยาม เป็นใครก็ถอยกลับจากสภาวะสูงสุดได้ทั้งนั้น
ทว่าชายชุดขาวยังมีแผนอีกอย่าง
แม้หลิวจิ่งเฮ่าปรากฏตัวที่หอทรงปัญญาเพื่อช่วยหลิวรุ่ยอิ่งและจำเป็นต้องลงมือ แต่คิดว่าเขาต้องไม่อยากเปิดเผยร่องรอยของตัวเองแน่
ฐานะของเขาอ่อนไหวเกินไป
หากเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ที่ขั้นฝึกตนสูงยิ่งคนหนึ่งย่อมไม่มีอะไรต้องกลัว ไปได้ทั่วใต้หล้าเหมือนเริ่นหยาง
แต่หลิวจิ่งเฮ่าเป็นผู้นำห้าอ๋อง
ทุกการเคลื่อนไหวของเขาล้วนเป็นที่จับตามองของมวลชน
ทุกการกระทำคำพูดของเขาล้วนมีอิทธิพลต่อแนวโน้มและสภาพการณ์ของใต้หล้า
แม้ตำแหน่งเขาสูงยิ่ง แต่ก็จำเป็นต้องระมัดระวังยิ่งกว่าเดิม
ชายชุดขาวกำจุดอ่อนของหลิวจิ่งเฮ่าไว้ได้แล้ว ดังนั้นนอกจากตัดสินใจจะยืด เขายิ่งอยากทำให้ลั่น
ต้องสู้จนสนั่นลั่นทุ่ง!
หากเปลี่ยนสถานที่ การประมือของตนกับหลิวจิ่งเฮ่าต้องเงียบเชียบเป็นแน่ แพ้ชนะอยู่แค่พื้นที่เล็กในครู่เดียว
แต่ตอนนี้ ทั้งสองอยู่ไกลถึงหอทรงปัญญา
แค่เคลื่อนไหวเสียงดังนิดหน่อยก็จะมีคนสังเกตเห็นที่นี่
ถึงตอนนั้นหลิวจิ่งเฮ่าจะทำอย่างไร
หลิวจิ่งเฮ่าก็มองแผนเขาออกแล้วเหมือนกัน
เพียงแต่ขั้นฝึกตนวิถียุทธ์ของชายชุดขาวแข็งแกร่งโดยแท้ พอฟัดพอเหวี่ยงกับตนได้จริงๆ
เมื่อการต่อสู้ครั้งนี้เกิดขึ้น อยากจบให้เร็วก็เป็นไปไม่ได้
………………………..
ตี๋เหว่ยไท่เพิ่งกลับเข้าบ้านจากลานเล็ก
ข้างรองเท้ายังเปื้อนโคลนอยู่
เขากำลังเตรียมหยิบหนังสือสักเล่มจากบนชั้นมาพลิกอ่าน
แม้เขาอ่านหนังสือพวกนี้มาไม่รู้กี่รอบ ถึงขั้นท่องกลับหลังได้ไหลลื่นเหมือนสายน้ำตั้งนานแล้ว แต่เขายังอยากพลิกอ่านเล่น
สิ่งที่เขาอ่านไม่ใช่หนังสือแล้ว
เขากำลังเพลิดเพลินกับความรู้สึกผ่อนคลายในอ่านหนังสือ
โดยเฉพาะเสียงดังตอนพลิกหน้านั้นยิ่งทำให้เขาไม่อาจหยุดยั้ง
ฉะนั้นเขาพลิกหนังสือจริง แต่ไม่ได้อ่านสักตัว
ฉับพลันมือที่พลิกหนังสือของตี๋เหว่ยไท่หยุดลง
เขาเหลือบตามองไปทางบ้านของหลิวรุ่ยอิ่งและขมวดหัวคิ้ว
มือขวาของตี๋เหว่ยไท่บิดหน้าหนังสือไม่หยุด แต่ทำอย่างไรหน้านี้ก็พลิกไม่ไป
เพราะอารมณ์เขาเปลี่ยนแล้ว
ความรู้สึกผ่อนคลายสบายใจเมื่อครู่นั้นหายไปหมดสิ้น
ไม่มีอารมณ์ย่อมพลิกหน้าหนังสือไม่ได้
สองอย่างนี้ส่งเสริมกันอยู่แล้ว