ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 126 น้ำใจเล็กน้อย-5
บทที่ 126 น้ำใจเล็กน้อย-5
ตอนแรกโอวหย่าหมิงนึกว่าชายสูบยาเส้นร่างผอมสูงจะเพิ่มพลังปราณในฝ่ามือบรรพตมหารณพสองสามส่วนและตีแตกกังหันปราณกระบี่โลหะเสี้ยมคมของโอวฉูในคราวเดียว
แต่ชายสูบยาเส้นร่างผอมสูงพลันเอนกายไปด้านหลังพร้อมปล่อยฝ่ามือบรรพตมหารณพ
ห้านิ้วแนบชิด ฝ่ามือเป็นรูปสี่เหลี่ยม
แต่ถ้ากางนิ้วทั้งห้า พลังปราณกลางฝ่ามือนี้จะกระจายออกห้าส่วน
ห้านิ้วชายสูบยาเส้นร่างผอมสูงเชื่อมต่อ ยิงพลังปราณบรรพตมหารณพห้าสายออกจากปลายนิ้ว
แม้อานุภาพน้อยกว่าก่อนหน้านี้มาก
แต่มีผลสี่ตำลึงปาดพันชั่ง[1]
กังหันปราณกระบี่โลหะเสี้ยมคมของกระบี่ปลิดวิญญาณมองแวบแรกดูร้ายกาจโดยแท้!
แต่ตราบใดที่มันหมุนอยู่ เช่นนั้นก็จะมีช่องโหว่
หนำซ้ำรูปแบบการหมุนของกังหนปราณกระบี่โลหะเสี้ยมคมนี้มีแค่อย่างเดียว
เพียงหมุนรวดเร็วโดยไม่หยุดเช่นนี้
พลังปราณห้าสายของชายสูบยาเส้นร่างผอมสูงจึงโจมตีสวนทิศทางหมุนของกังหันปราณกระบี่โลหะเสี้ยมคม
ทุกครั้งที่หมุนหนึ่งรอบก็โจมตีหนึ่งสาย
เพราะความเร็วในการหมุนเร็วยิ่ง ดูไปจึงเหมือนโจมตีห้าสายติดกันโดยไม่หยุดทิ้งช่วง
สายตาของชายสูบยาเส้นร่างผอมสูงก็น่าทึ่งยิ่งนัก!
ในความเร็วเช่นผีร้ายตามเอาชีวิตเช่นนี้ยังเห็นจำนวนรอบหมุนของกังหันปราณกระบี่โลหะเสี้ยมคมได้ชัดเจน
ขณะเดียวกันร่างที่ถอยกลับของเขาพลันถีบออกมาขาหนึ่ง
ปลายเท้าชี้ตรงอกของโอวฉู
โอวฉูเบี่ยงกายหลบพร้อมเปิดทางให้กระบี่ปลิดวิญญาณเล็กน้อย
กังหันปราณกระบี่โลหะเสี้ยมคมค่อยๆ หยุดลงด้วยการยิงถล่มจากพลังปราณฝ่ามือบรรพตมหารณพห้าสาย
ชายสูบยาเส้นร่างผอมสูงเผยรอยยิ้ม คิดว่าโอวฉูก็แค่นี้เอง
คิดดูหากเป็นคนมีความสามารถที่แท้จริงย่อมไม่จำเป็นต้องเสริมพลังด้วยของนอกกาย
มีแต่คนมากความสามารถแต่ใช้งานไม่ได้จริงจึงจะคิดทำอาวุธแปลกประหลาดมาขู่ขวัญคน
แต่เขามองโอวฉูผิดไป
โอวฉูเป็นคนประเภทที่สาม[2]ผู้มีความสามารถแท้จริงแต่ยังอยากใช้อาวุธประหลาด
หลังจากกังหันปราณกระบี่โลหะเสี้ยมคมหยุดลง กระบี่ปลิดวิญญาณทั้งเล่มก็รวมเป็นหนึ่งอีกครั้ง
โอวฉูถือกระบี่ปัดผ่านหน้าอกเขาเบาๆ
ดูเหมือนเชื่องช้า ที่จริงไกลสุดฟ้าแม้อยู่ใกล้แค่เอื้อม!
แค่ปัดผ่านเฉยๆ เช่นนี้ก็ดันฝีเท้าชายสูบยาเส้นร่างผอมสูงให้เคลื่อนถอยไปไกลหลายจั้ง
และด้วยคมกระบี่ฟันเลื่อยครึ่งขวาของกระบี่ปลิดวิญญาณลากดึงได้ตามใจอยาก ชายสูบยาเส้นร่างผอมสูงจึงถอยหลังจากเดิมอีกสองเท่าเพื่อรับรองความปลอดภัย
เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้คมกระบี่ครึ่งฟันเลื่อยของกระบี่ปลิดวิญญาณเลื่อนออกมากะทันหันก็ทำร้ายเขาไม่ได้
โอวฉูเห็นว่ามีระยะห่างจึงถือกระบี่เดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
หากกระบี่เอื้อมไม่ถึง ย่อมไม่อาจเอาชนะอีกฝ่ายได้
แต่เขาไม่ได้ใช้วิทยายุทธ์ท่าร่างอันใด แค่เดินหน้าทีละก้าวเหมือนคนทั่วไปเดินถนน
ชายสูบยาเส้นร่างผอมสูงแปลกใจเล็กน้อย
เวลามีค่าดุจทองคำ!
ยามศึกให้ความสำคัญเรื่องชิงลงมือ
ยามเผชิญศัตรูต้องจู่โจมตอนอีกฝ่ายไม่ทันระวัง
ไม่ว่าเป็นวิทยายุทธ์แบบไหน ตราบใดที่เร็วมากพอก็ทำให้อีกฝ่ายตั้งรับไม่ทันได้
ขอเพียงอีกฝ่ายเผยช่องโหว่เล็กน้อย กระบี่นั้นก็จะเจาะช่องโหว่เล็กๆ นี้แทงเข้าหน้าอกหรือคอหอยของอีกฝ่าย
ชายสูบยาเส้นร่างผอมสูงคิดว่าโอวฉูต้องเข้าใจหลักการเช่นนี้แน่
แต่ทำไมเขาถึงเอ้อระเหยเช่นนี้
หรือไม่กลัวเพราะคิดว่ามีคนหนุนหลังจริงๆ
หากขั้นฝึกตนต่างกันมากพอ โอวฉูย่อมปราบเขาได้ในกระบี่เดียว
แม้สองสามกระบวนท่าเมื่อครู่ล้วนเป็นการหยั่งเชิง แต่การหยั่งเชิงก็เป็นวิถีแท้จริงเหมือนกัน
ตอนทั้งสองหยั่งเชิงต่างโจมตีในระดับพอกัน เช่นนั้นหากสู้สุดแรงจะห่างชั้นสักเท่าไร
ชายสูบยาเส้นร่างผอมสูงไม่รู้จริงๆ ว่าโอวฉูเอาความมั่นใจมาจากไหน
แต่โอวเสี่ยวเอ๋อกลับเห็นเงื่อนงำแล้ว
เหตุผลทั้งมวลยังคงเป็นนิทานเรื่องนั้นที่โอวฉูเล่าให้นางฟัง
…
ตอนนี้โอวเสี่ยวเอ๋อแน่ใจหมื่นส่วนแล้วว่าเทียนรุ่ยก็คือโอวฉู
เพราะเทียนรุ่ยในนิทานไม่เป็นวิทยายุทธ์อื่นใดนอกจากกระบี่
เขาย่อมใช้ท่าร่างพลิกตัวเคลื่อนที่ชิงจู่โจมอะไรนั่นไม่เป็น ได้แต่เดินไปข้างหน้าทีละก้าวเหมือนคนธรรมดาเช่นนี้
แต่ฝีเท้าเขาธรรมดา ฝ่ามือธรรมดา พลังหมัดธรรมดา ถึงขั้นธรรมดาหมดทุกส่วนในร่างกาย
มีเพียงมือขวาที่ไม่ธรรมดา
เพราะมือขวาของโอวฉูเคยถือกระบี่นิมิตสวรรค์แทงเข้าหน้าอกลี่มิ่ง
โอวฉูเล่านิทานย่อมไม่มีทางใช้ชื่อจริง
แต่เนื้อเรื่องในนิทานก็ไม่มีส่วนไหนกล่าวเกินจริง
ผู้ใดดูถูกมือขวาข้างนี้ของเขา ล้วนจ่ายด้วยราคาที่น่าเวทนาที่สุด…ความตาย
โอวฉูเข้าใกล้แล้ว
ชายสูบยาเส้นร่างผอมสูงกลับมาอยู่ในระยะสังหารของกระบี่ปลิดวิญญาณอีกครั้ง!
กายท่อนบนของโอวฉูบิดเอี้ยวด้วยท่าทางแปลกประหลาดที่สุด
เหมือนคนเมาสุราเสียสมดุลแล้วจะล้มลง
แต่เขาไม่ได้ล้ม ฉีกกฎและทรงตัวไว้เช่นนี้
ขณะเดียวกันกระบี่บนมือแทงออกไปอีกครั้ง
กระบี่นี้ลึกล้ำซับซ้อน แต่กลับคึกคะนองอย่างยิ่ง
เหมือนบัณฑิตที่เพิ่งเขียนผลงานชิ้นเอกเสร็จบทหนึ่งแล้วกำลังชื่นชมต้นร่างของตัวเอง
แต่นอกจากความภูมิใจยังให้ความรู้สึกพินิจพิเคราะห์หลายส่วน
เพราะคนเรามักพอใจได้ยาก
ทำให้คนอื่นพอใจไม่ยาก แค่วิเคราะห์สถานการณ์ เคารพเกรงใจ โดยภาพรวมก็ผ่านไปได้แล้ว
แต่การทำให้ตัวเองพอใจกลับเป็นหนึ่งในเรื่องยากเย็นที่สุดในโลกหล้า
เพราะคนเราชอบมองสิ่งอื่นดีกว่าเสมอ
ต่อให้เทียบบทประพันธ์ที่เขียนเสร็จในแนวขนานแล้วเอาชนะเพื่อนร่วมรุ่น แต่ถ้ามองในแนวตั้งเราจะเหนือกว่าปรัชญาเมธีผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตได้หรือเปล่า
แน่นอนว่าเทียบไม่ติด
เมื่อเทียบไม่ติดก็รู้สึกหดหู่อย่างเลี่ยงไม่ได้
หลังจากความภูมิใจเล็กน้อยก็จะคิดหาวิธีแก้ไขให้สมบูรณ์แบบกว่าเดิม
แต่หลงลืมไปว่าบทประพันธ์กับวิทยายุทธ์บนโลกนี้ไม่เคยมีตัวกำหนดแน่นอน
ก็เหมือนตอนกลางวันเจ้ารู้ว่าตรงหน้าต่างมีต้นท้อต้นหนึ่ง
เจ้าเห็นกิ่งใบ ดอกไม้และผลของมันได้ชัดเจนทั้งหมด
แต่พอถึงตอนค่ำ ฟ้ายามราตรีมืดสลัว หากตอนกลางวันเจ้าไม่รู้ว่านี่คือต้นท้อต้นหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรตอนกลางคืนเจ้าก็ไม่อาจรู้ได้
เว้นแต่เจ้าจุดตะเกียงและเข้าไปดูใกล้ๆ
หากเจ้าไม่ไป เช่นนั้นจะคิดว่ามันเป็นต้นพุทรา ต้นซิ่งหรือต้นหลิวก็ย่อมได้
กระบี่ของโอวฉูเป็นเช่นนี้
ปัดเรื่องรูปร่างประหลาดนั้นทิ้งก็เป็นแค่การแทงธรรมดาๆ
ขนาดเด็กใช้กระบี่ไม้เล่นต่อสู้ยังแทงเช่นนี้
แต่ถ้าเจ้ามองให้ละเอียด ก็เหมือนดูต้นไม้ยามกลางคืน
ทำให้คนแยกไม่ออกเลยว่าคืออะไร
ตกลงจะแทงหรือจะฟัน
จะตัดหรือจะปาดกันแน่
ชายสูบยาเส้นร่างผอมสูงก็เห็นไม่ชัด
เขาจึงไม่กล้ารับกระบี่นี้
ได้แต่อาศัยข้อได้เปรียบจากความคล่องแคล่วในท่าร่างของตนเคลื่อนที่ต่อไป
เท้าเขาเดินดาราเหนือเจ็ดก้าว
การเดินนี้เห็นได้ทั่วไป
คนงมงายพบความเจ็บป่วยหรือเรื่องโชคร้ายล้วนเชิญนักพรตอินหยางมาตรวจดู
นักพรตอินหยางจุดไฟกองหนึ่ง ตั้งโต๊ะแปดเซียนหน้าไฟและวางกระถางธูปบนโต๊ะ
ตนเดินดาราเหนือเจ็ดก้าวอยู่หน้ากระถางธูป ปากพูดพล่ามคำที่เขียนด้วยสำนวนโวหารเยิ่นเย้อสวยหรูทำให้คนธรรมดาฟังไม่รู้เรื่อง
แต่การเดินนี้ไม่ได้เป็นของนักพรตอินหยางโดยเฉพาะ บอกได้แค่ว่าเพราะพวกเขาอวดตนหลอกคนอื่นเยอะเกินไป เป็นเหตุให้ผู้คนมากมายเคยเห็นการเดินเช่นนี้
มองในมุมมองที่สืบสานสิ่งดีงาม นักพรตอินหยางเหล่านี้กลับอุทิศแรงกายแรงใจไม่น้อย
เพียงแต่พวกเขาทำเพื่อหลอกเอาเงินดื่มสุรา
ชายสูบยาเส้นร่างผอมสูงทำเพื่อฆ่าคนเอาชีวิตรอด
วิชาเดินนี้อยู่ใต้เท้าเขาแล้วดูลึกล้ำกว่าปกติ
โอวฉูแทงไม่โดนก็เก็บกระบี่
ปล่อยให้ชายสูบยาเส้นร่างผอมสูงวิ่งรอบตน
เขากำลังหาช่องโหว่ของโอวฉู
แล้วทำไมโอวฉูจะไม่หาช่องโหว่ของเขา
เพียงแต่โอวฉูยังต้องแบ่งสมาธิส่วนหนึ่งมาระวังการเคลื่อนไหวของพี่น้องตัวอ้วนอีกสองคนของชายสูบยาเส้นร่างผอมสูง
…
โอวหย่าหมิงตัดสินใจไม่เข้าไปซ้ำเติม
ส่วนจิ่วซานปั้น หลิวรุ่ยอิ่งและโอวเสี่ยวเอ๋อ ต่อให้ทั้งสามเข้ามาพร้อมกันโอวฉูก็เอาชนะได้ในหนึ่งกระบี่
แต่พี่น้องร่างอ้วนสองคนนั้นกลับไม่สนใจสถานการณ์ต่อสู้ในนี้แม้แต่น้อย
กลับหาโต๊ะที่สุราอาหารครบครันแล้วนั่งลงกินดื่ม
พวกเขาไม่สนใจว่ามีคนเคยใช้ตะเกียบชามนี้หรือไม่ หยิบขึ้นมากินดื่มจนน้ำมันเยิ้มปากเช่นนี้
ทั้งสองรำคาญที่จอกสุราเล็กเกินไป ปากกาสุราก็เล็กเกินไป จึงเปิดฝาเทใส่ปากเสียเลย
ไม่ถึงครู่ เสื้อผ้าบนกายก็เปื้อนคราบน้ำมันและคราบสุราปื้นใหญ่
ดูท่าทางเขาสองคนคงไม่สอดมือแล้ว
อย่างน้อยก็ต้องรอหลังกินสุราอาหารทั้งโต๊ะหมดเกลี้ยง
สองคนนี้เหมือนไม่ได้กินข้าวมาหลายปี กวาดสุราอาหารทั้งโต๊ะไม่เหลือเหมือนพายุหอบปุยเมฆ
โอวฉูเห็นตรงกึ่งกลางโต๊ะมีปลาตัวหนึ่งวางอยู่
ชายอ้วนคนซ้ายเคลื่อนไหวรวดเร็วยิ่ง มือใหญ่อ้วนท้วนคู่นั้นยกหางปลาใส่เข้าปาก
เหมือนไม่ได้เคี้ยว กลืนลงไปในคำเดียว
หากเยี่ยเหว่ยในเมืองจิ่งผิงเห็นฉากนี้เข้าอาจคารวะเขาเป็นอาจารย์ตรงนั้นเลย
เพราะต่อให้เป็นปลาใหญ่ในแม่น้ำก็คงใช้วิทยายุทธ์กินปลาที่มหัศจรรย์เช่นนี้ไม่ได้
ด้วยชายอ้วนคนขวาช้าไปหลายส่วนจึงแย่งปลาไม่ทัน เขาโมโหโยนตะเกียบลุกขึ้นและดื่มสุราที่เหลือบนโต๊ะจนหมด
‘จะมาแล้ว!’
โอวฉูรู้สึกพี่น้องร่างอ้วนสองคนเตรียมลงมือช่วยสู้แล้ว
เพราะพวกเขาลุกขึ้นทั้งคู่ สายตาแหลมคมกวาดมองทั่วโถงใหญ่
โอวฉูคิดว่าเขาสองคนกำลังหาจังหวะเหมาะๆ เข้าร่วมการต่อสู้
ด้วยตอนนี้เขากับชายสูบยาเส้นร่างผอมสูงดูเหมือนคนหนึ่งนิ่งคนหนึ่งเคลื่อนไหว ความจริงกลายเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว
ชายสูบยาเส้นร่างผอมสูงกำลังวาดวงกลมรอบตัวเขา และโอวฉูถือกระบี่ยืนอยู่กลางวงกลม
หากบุ่มบ่ามเข้าร่วมการต่อสู้โดยไม่ระวัง ไม่เพียงช่วยชายสูบยาเส้นร่างผอมสูงไม่ได้ กลับจะทำให้โอวฉูมีโอกาสฉวยลงมือ
ในที่สุด
ทั้งสองเคลื่อนไหวแล้ว!
แม้รูปร่างอ้วนอุ้ยอ้าย แต่เร็วกว่าชายสูบยาเส้นร่างผอมสูงหลายเท่า
โอวฉูเกร็งไหล่ขวาเล็กน้อย
หากสองคนนี้ร่วมวงต่อสู้ รูปร่างและความเร็วของชายสูบยาเส้นร่างผอมสูงต้องได้รับผลกระทบแน่นอน
ต่อให้มีแค่ชั่วเวลาสั้นๆ ก็มากพอสำหรับโอวฉูแล้ว
ใจเขาคว้าช่องว่างในชั่วขณะนั้นไว้ได้
ตราบใดที่ใจเขาทำได้ กระบี่เขาก็ทำได้เหมือนกัน
แม้เขายังไม่ถึงจุดที่ใช้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นกระบี่ได้
และยังไม่ถึงขั้นมีกระบี่ในใจแต่ในมือไร้กระบี่
แต่เขาทำให้กระบี่เคลื่อนไหวตามใจนึกได้แล้ว
ใจมุ่งตรงไหนกระบี่ก็แทงตรงนั้น!
ดังนั้นหากพี่น้องร่างอ้วนสองคนนี้ร่วมต่อสู้ ไม่เพียงเพิ่มความกดดันให้เขาไม่ได้ กลับจะทำให้เขาเจอโอกาสเล่นงานศัตรู
แต่เขาคิดผิดแล้ว
พี่น้องร่างอ้วนสองคนนั้นเคลื่อนไหวจริง
ทั้งยังเคลื่อนไหวเร็วมาก
เพียงแต่ทิศทางไม่ใช่วงต่อสู้ตรงนี้ กลับเป็นโต๊ะที่พร้อมด้วยสุราอาหารอีกตัว
……………………………………
[1] สี่ตำลึงปาดพันชั่ง หมายถึงใช้แรงน้อยชนะแรงมาก
[2] คนประเภทที่สาม สื่อถึงกลุ่มเสรีนิยมที่มีแนวคิดต่างจากสังคม