ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 127 น้ำใจเล็กน้อย-6
บทที่ 127 น้ำใจเล็กน้อย-6
ทั้งสองยืนเข้าที่อยู่ข้างโต๊ะ ไม่นั่งลงไป แต่ใช้มือหยิบอาหารยัดใส่ปากไม่หยุด
แม้สองพี่น้องร่างอ้วนไม่มา แต่ชายสูบยาเส้นร่างผอมสูงกลับเริ่มเปลี่ยนกระบวนท่า
โอวหย่าหมิงรู้
นอกจากสองฝ่ามือของชายสูบยาเส้นร่างผอมสูงจะร้ายกาจยิ่ง ขาคู่นั้นก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน
ขาธุลีลวงตา
ลวงตา ทั้งจริงและเท็จเหมือนดอกไม้ในกระจก ดวงจันทร์บนน้ำ
แต่ถ้ามีคนคิดว่านี่เป็นดอกไม้ในกระจกและดวงจันทร์บนน้ำจริง เกรงว่าจะหลับยาวไม่ฟื้น
ธุลี เคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง เหมือนปุยขาวจากต้นหลิวในสายลม
ทุกที่ล้วนว่างเปล่า แต่ฝุ่นละอองอยู่ทุกหนแห่ง
หลบไม่ได้ เลี่ยงไม่ได้ หลีกไม่พ้น
ทุกสารทิศล้วนเป็นฝุ่นละออง บวกกับภาพมายาลวงตาอันคลุมเครือ ตอนทั้งสองต่อสู้กันเกรงว่าขาธุลีลวงตานี้ร้ายกาจกว่าฝ่ามือบรรพตมหารณพเสียอีก
ทว่าดวงจันทร์ตรงหน้าต่างเคลื่อนออกได้ด้วยสองมือ สวรรค์กลางน้ำทำลายได้ด้วยหินก้อนเดียว
แต่สิ่งที่ทำให้คาดไม่ถึง
คือโอวฉูป้องกันลำบากเล็กน้อย
“ไม่นึกว่าในเวลาสั้นๆ วิชาขาของเจ้านี่จะพัฒนาขึ้นขนาดนี้!”
โอวหย่าหมิงยิ้มกล่าว
“ท่านผู้นำตระกูลโอวมีความแค้นใดกับสามพี่น้องหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“จะว่าไปก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆ ข้ากลัวเจ้าหัวเราะเยาะ”
โอวหย่าหมิงลูบปลายจมูกด้วยเก้อเขินเล็กน้อย
“ข้าน้อยไม่หัวเราะเยาะแน่นอน”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
“แต่เจ้ายิ้มแล้ว…”
โอวหย่าหมิงมองหลิวรุ่ยอิ่ง กล่าวด้วยรู้สึกไม่เป็นธรรมเล็กน้อย
หลิวรุ่ยอิ่งคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าผู้นำตระกูลโอว ‘บุตรแห่งกระบี่’ รุ่นปัจจุบันจะเป็นกันเองเช่นนี้
แม้ตำแหน่งฐานะต่างกันมากโข แต่กลับยืนอยู่ข้างเขาคุยกับเขาอย่างสบายๆ เหมือนอาบน้ำกลางสายลม ไม่รู้สึกโดนข่มแม้แต่น้อย
“ข้าเจอพวกเขาสามพี่น้องในร้านสุราแห่งหนึ่ง ก่อนหน้านี้ไม่รู้จักกัน”
โอวหย่าหมิงกล่าว
“เจ้าก็น่าจะรู้ ข้าอยากดึงลู่หมิงหมิงเข้าตระกูลโอวมาตลอด ดังนั้นทุกครั้งที่เว้นช่วงไปพักหนึ่งข้าก็จะมาดื่มสุรากับเขา แต่มีครั้งหนึ่งข้ามามือเปล่า ไม่ได้เอาสุรามา เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะอะไร”
โอวหย่าหมิงเอ่ยถาม
“พวกเขาสามพี่น้องดื่มไปงั้นหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นท่าทางการกินดื่มของชายอ้วนสองคนนั้นและเอ่ยถามกลับ
“ใช่แล้ว ถูกต้อง…ตอนแวะพักระหว่างทาง ข้าวางสุราไหนั้นไว้ข้างโต๊ะ กินข้าวครึ่งหนึ่งข้าก็ไปปลดเบา นึกไม่ถึงตอนกลับมาไหสุราว่างเปล่าแล้ว”
โอวหย่าหมิงนึกถึงอดีตแล้วส่ายหน้ายิ้มอย่างจนปัญญา
“พวกเขาดื่มสุราของท่านหมด ยังทิ้งไหสุราไว้ตรงนั้นอีก?”
หลิวรุ่ยอิ่งไม่อยากเชื่อว่าในโลกยังมีคนหน้าหนาไร้ยางอายเช่นนี้
นี่ก็เหมือนสุภาพบุรุษบนขื่อคานปีนกำแพงเข้าบ้าน ขโมยของเสร็จแล้วทิ้งจดหมายไว้บนโต๊ะว่าเงินสิบตำลึงใต้หมอนคงเป็นเงินส่วนตัวที่เจ้าลำบากเก็บข้าจึงไม่ได้หยิบไป
นี่ไม่ใช่เรื่องของโจรมีหลักการแล้ว
“ใช่แล้ว…ตอนนั้นข้าก็เป็นเด็กหนุ่มเลือดร้อน…ถามเสี่ยวเอ้อร์รู้สถานการณ์แน่ชัดแล้วข้าก็คว่ำโต๊ะของพวกเขาสามพี่น้อง ข้าเป็นคนคุยง่ายอยู่แล้ว หากเจ้าอยากดื่มสุราแล้วในกระเป๋าไม่มีเงิน เช่นนั้นต่อให้ข้าเลี้ยงเจ้าดื่มสุราก็ไม่เป็นไร หากเจ้าอยากดื่มแค่ไหสุราที่วางอยู่ข้างโต๊ะข้า เช่นนั้นพวกเราหารือกันอย่างมีมารยาทก็ใช่ว่าไม่ได้เลย แต่พวกเขาก็ดื่มสุราของข้าโดยไม่บอกไม่ถามสักคำเช่นนี้…ข้ามองไหที่ว่างเปล่านั้นก็รู้สึกโมโห!”
โอวหย่าหมิงกล่าว
“พวกเขาอธิบายอะไรหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ไม่เลย ไม่มีสักประโยค…แต่ข้าก็ไม่ได้ให้เวลาพวกเขาอธิบายเหมือนกัน อย่างไรข้าเข้าไปก็คว่ำโต๊ะพวกเขาเลย หากตอนนั้นข้าใจเย็นอีกสักหน่อยคงไม่วุ่นวายจนกลายเป็นอย่างตอนนี้”
โอวหย่าหมิงพลันกล่าวเปลี่ยนประเด็น
“คนเราทำอะไรล้วนมีเหตุผล คนหนุ่มสาวอย่างพวกเจ้าอย่าทำอะไรด้วยอารมณ์ร้อนชั่ววูบเด็ดขาด วู่วามไปแล้วต่อให้เป็นตาเฒ่าหมอเทวดาเยี่ยในเมืองหลวงก็ไม่มียารักษาความเสียใจขาย”
โอวหย่าหมิงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้าเห็นด้วย
แต่ตอนนี้เขาฟังหลักการอะไรไม่เข้าหัวทั้งนั้น เขาแค่อยากรู้เรื่องราวต่อจากนั้นว่ามันกลายเป็นสถานการณ์ที่ไม่ตายไม่หยุดเช่นนี้ได้อย่างไร
“หลังจากคว่ำโต๊ะพวกเขาสามพี่น้องก็โมโห พวกเราเริ่มต่อสู้ด้วยฝีมือทัดเทียมกัน ระหว่างต่อสู้ยากหลีกเลี่ยงกระแทกโต๊ะคว่ำชนเก้าอี้พัง พอโต๊ะเก้าอี้ล้ม ไหสุราพลิกแตก ข้าเห็นใต้ไหสุราทับตั๋วเงินใบหนึ่งไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย จำนวนเงินห้าร้อยตำลึง”
โอวหย่าหมิงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งถึงรู้ว่าพวกเขาสามคนไม่ได้หน้าหนาไร้ยางอาย ไม่อย่างนั้นจะทับตั๋วเงินราคาสูงใบหนึ่งไว้ใต้ไหสุราได้อย่างไรกัน
“ตั๋วเงินใบนี้แพงเกินราคาของสุราไหนี้มากโข”
โอวหย่าหมิงกล่าว
“แต่ลู่หมิงหมิงอาจารย์ข้าบอกว่าสุราที่ท่านเอามาทุกครั้งล้วนเป็นยอดสุราธาราหยกไม่ใช่หรือ”
หลิ่วรุ่ยอิ่งเอ่ย
เขารู้สึกห้าร้อยตำลึงนี้ไม่พอด้วยซ้ำ
“…ข้าบอกเจ้าได้ แต่เจ้าต้องรับปากว่าจะไม่บอกอาจารย์เจ้า”
โอวหย่าหมิงลดเสียงกล่าวกับหลิวรุ่ยอิ่ง
“เอ่อ…ข้ารับปาก!”
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าโอวหย่าหมิงจะพูดความลับระดับใดกันแน่
แต่ตอนนี้การเติมเต็มความใคร่รู้ของตัวเองสำคัญที่สุด ได้แต่ทำผิดต่ออาจารย์ลู่หมิงหมิงของตนชั่วคราว
“เหล้าที่ข้าเอาไปล้วนเป็นเหล้าขาวที่ซื้อมาไม่กี่อีแปะ แต่คิดว่าลิ้นของเจ้าลู่หมิงหมิงคงมีปัญหา…ไม่ว่าเป็นสุราดีหรือสุราแย่สำหรับเขาล้วนเป็นสุรา ขอแค่เมาได้ก็พอ ดังนั้นยอดสุราธาราหยกและของสะสมตระกูลโอวอะไรพวกนั้น ข้าหลอกเขาทั้งหมด”
โอวหย่าหมิงกล่าว
“ท่านทำธุรกิจเก่งจริงๆ!”
หลิวรุ่ยอิ่งยิ้มกล่าว
“แน่นอน! สุภาษิตว่าไว้มีเหตุผลย่อมพูดได้เต็มปาก แต่ถ้าไม่มีเหตุผลแล้วยังพูดได้เต็มปาก เช่นนั้นเป็นใครก็ยากแบ่งจริงเท็จ!”
โอวหย่าหมิงกล่าวอย่างสง่าผ่าเผย
“พอเห็นตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงนี้ โทสะของข้าหายหมดในทันที แต่พวกเขาสามพี่น้องไม่ เพราะพวกเขาคิดว่าข้าดูถูกพวกเขา เห็นพวกเขาเป็นโจรขโมยสุรา ความจริงเรื่องนี้เสี่ยวเอ้อร์ร้านนั้นก็มีส่วนรับผิดชอบ เพราะสุราในร้านพวกเขาหมดแล้วสามพี่น้องนี่ก็อยากดื่มสุรา เลยฉวยจังหวะตอนข้าไม่อยู่ดื่มสุราของข้า จากนั้นทับตั๋วเงินใบหนึ่งไว้ใต้ไหสุราเป็นค่าชดเชย”
โอวหย่าหมิงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งเข้าใจความรู้สึกเช่นนี้
หากคนติดสุราขาดสุราเป็นต้องดีดดิ้นทรมาน
ถูกดาบฟันเจ็บ ถูกกระบี่แทงเจ็บระหว่างต่อสู้ยังไม่ทรมานเช่นนี้
จิ่วซานปั้นก็เป็นตัวอย่างที่ดียิ่ง
ม้าห้าบุปผา เสื้อขนสัตว์ทองพันชั่งล้วนถูกเขาใช้แลกเป็นสุราลงท้องหมดแล้ว
“พี่น้องสามคนนี้แปลกยิ่งนัก เจ้าด่าพวกเขาให้ตาย ตีพวกเขาให้ตายได้ แต่ห้ามใส่ร้ายพวกเขาแม้เพียงครึ่ง”
โอวหย่าหมิงกล่าว
“คิดว่าตอนท่านคว่ำโต๊ะต้องพูดอะไรบางอย่างใช่หรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ใช่แล้ว…ตอนคว่ำโต๊ะ ข้าตะโกนเสียงดังว่า ‘ไอ้โจรขโมยสุราสมควรตาย!’ ก็ประโยคนี้ละที่ทำให้พวกเขารู้สึกได้รับความอัปยศใหญ่โตที่สุดในชีวิต และทำให้ข้าเจอความทุกข์ระทมในหลายปีนี้…จะว่าไปก็สมน้ำหน้าตัวเองแล้ว”
โอวหย่าหมิงกล่าว
“แต่ก็แค่สุราไหเดียว คำเรียกเดียว เดิมก็เป็นความเข้าใจผิดอยู่แล้ว อธิบายให้ชัดเจนก็หมดเรื่องหมดราวแล้วไม่ใช่หรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เข้าใจ หากเป็นแค่ความบาดหมางเล็กน้อยอย่างเดียวคงไม่ถึงขั้นฝังใจต้องตายกันไปข้างมาตลอดปีเช่นนี้อย่างแท้จริง
“บางคนมองชื่อเสียงเกียรติยศสำคัญกว่าชีวิต ข้าทำลายเกียรติของพวกเขา ทำลายชื่อเสียงพวกเขา ย่อมต้องสังหารข้าให้ตายเป็นธรรมดา…”
โอวหย่าหมิงกล่าว
เป็นดังคาด ตอนนี้หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าโอวหย่าหมิงมีความแปลกที่สี่แล้ว
อริแปลก
อริของคนแปลกก็เป็นคนแปลก
นี่ไม่ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่หรอกหรือ
“แล้วการต่อสู้ครั้งแรกนี้จบลงอย่างไร”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ไม่จบ ข้าหนี”
โอวหย่าหมิงกล่าวโดยไม่คิด
“หนี?”
หลิวรุ่ยอิ่งป้องปากร้องตกใจ!
เขานึกภาพผู้นำตระกูลโอว ‘บุตรแห่งกระบี่’ รุ่นปัจจุบันหนีหัวซุกหัวซุนไม่ออกจริงๆ
“ใช่ สามรุมหนึ่ง! ไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง! ข้าก็เลยหนี แต่ก่อนหนีข้ายังฉวยมือหยิบตั๋วเงินใบนั้นมาด้วย ดังนั้นสุดท้ายยังพูดได้ว่าข้าชนะแล้ว!”
โอวหย่าหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้มซุกซน
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกรูปแบบแนวคิดระหว่างผู้แข็งแกร่งด้วยกันเข้าใจยากโดยแท้
ต่อสู้เอาเป็นเอาตายเพื่อสุราไหเดียวได้เป็นปีๆ ยังไม่ลืมหยิบตั๋วเงินตอนวิ่งหนีได้ด้วย
แม้ห้าร้อยตำลึงไม่น้อยก็จริง
แต่กระบี่ดีเล่มหนึ่งของตระกูลโอวก็ขายในราคาพันตำลึงได้อย่างง่ายดายแล้ว
โอวหย่าหมิงไม่น่าจะสนใจห้าร้อยตำลึงนี้โดยสิ้นเชิง
“จะไม่เอาได้ยังไงล่ะ อย่างไรพวกเขาก็ดื่มสุราของข้าแล้ว แม้สุรานั่นถูกมาก แต่ราคานี้พวกเขาสามพี่น้องเป็นคนจ่ายเอง ถึงพวกเขาไม่ใช่โจรขโมยสุรา แต่ถ้ายินดีซื้อเหล้าขาวไม่กี่อีแปะไหหนึ่งในราคาห้าร้อยตำลึง แล้วข้าจะปฏิเสธได้อย่างไร”
โอวหย่าหมิงเหมือนมองออกว่าหลิวรุ่ยอิ่งฉงนเล็กน้อยจึงเอ่ยปากอธิบาย
“ข้าไม่ใช่คนขี้เหนียว แต่ไม่กี่อีแปะนั้นข้าก็เก็บรวบรวมทีละหนึ่งอีแปะเหมือนกัน เงินหนึ่งพันตำลึงก็ต้องเก็บทีละหนึ่งตำลึงไม่ใช่หรือ เงินมากเงินน้อยล้วนเป็นเงิน เป็นสิ่งเดียวในโลกที่สามารถสะสมน้อยเป็นมากได้”
โอวหย่าหมิงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นด้วยกับคำพูดนี้อย่างยิ่ง
หลายครั้งความพยายามไม่มีประโยชน์เลยสักนิด
หากเลือกเส้นทางผิด ไปผิดทิศทาง กลับจะได้ผลลัพธ์ตรงกันข้าม
ทิศทางสำคัญกว่าความเร็วเสมอ
แม้เดินผิดทิศทางสุดท้ายต้องมีตอนที่มาบรรจบ แต่เจ้าก็ต้องมีชีวิตอยู่หลายปีก่อนไม่ใช่หรือ
มีแต่เงินนี้ ขอแค่ตั้งใจเก็บก็เหมือนข้าวในยุ้งฉาง หากทุกวันกินข้าวแค่มื้อเดียว ข้าวที่เหลือถึงสิ้นเดือนต้องมีเยอะกว่าเพื่อนบ้านแน่นอน
“ท่านหนีแล้วกลับมาตระกูลโอวหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“เปล่า ข้ายังต้องไปหาลู่หมิงหมิง แต่ข้าไม่มีสุราแล้วก็เลยคิดหาร้านสุราสักแห่ง ใช้ตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงนี้ซื้อเหล้าขาวไม่กี่อีแปะมาอีกไหและเอาไปดื่มกับเขา”
โอวหย่าหมิงกล่าว
“แต่ท่านบอกว่าครั้งนั้นไปหาอาจารย์ข้ามือเปล่าไม่ใช่หรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
คำพูดโอวหย่าหมิงหน้าหลังขัดแย้งกันเอง ทำให้เขาสงสัยความจริงในเรื่องนี้
“สุดท้ายข้าไปมือเปล่าจริง เพราะตอนข้าไปร้านสุราและกำลังเตรียมใช้ตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงนี้จ่ายเงินซื้อ จู่ๆ ข้าเห็นด้านสีขาวข้างตั๋วเงินมีกระดาษใบเล็กติดไว้ด้วย ด้านบนเขียนไว้สี่คำ เจ้าลองเดาว่าคืออะไร”
โอวหย่าหมิงหยุดเล่าในจุดสำคัญ เอ่ยถามหลิวรุ่ยอิ่ง
“หรือว่าเป็น ค่าเหล้าอยู่นี่?”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
“ความหมายโดยรวมเหมือนกัน เพียงแต่สวยงามกว่าสี่คำของเจ้ามาก บนกระดาษเขียนว่า ‘น้ำใจเล็กน้อย’”
โอวหย่าหมิงกล่าว
ตรงนี้หลิวรุ่ยอิ่งเข้าใจอย่างยิ่งแล้วว่าเหตุใดสามพี่น้องถึงแค้นใจเช่นนี้
พวกเขาทำสิ่งที่ควรทำอย่างมีมารยาทแล้วจริงๆ
ไม่เพียงให้เงิน ยังทิ้งจดหมายไว้ด้วย
หากในสถานการณ์เช่นนี้ยังถูกคนเรียกเป็น ‘โจรขโมยสุรา’ เช่นนั้นเปลี่ยนเป็นตัวหลิวรุ่ยอิ่งก็ต้องโกรธมากเหมือนกัน
เช่นนี้ก็เข้าใจไม่ยากแล้วว่าเหตุใดประโยค ‘ของเล่นนี้ยังสะอาดมาก ข้าไม่อยากให้เจ้าทำสกปรก’ ของโอวฉูถึงทำให้ชายสูบยาเส้นร่างผอมสูงเดือดดาลขนาดนั้น
เพราะเดิมสามพี่น้องก็เป็นคนรับความอยุติธรรมไม่ได้สักนิดเดียว
“จึๆๆ!”
โอวหย่าหมิงพลันส่งเสียงเสียดาย
“ผู้อาวุโสโอวฉูคงไม่มีโอกาสให้เขาทำของเล่นสกปรกแล้ว”
โอวหย่าหมิงกล่าวต่อ
หลิวรุ่ยอิ่งมองเขาด้วยสีหน้างุนงง
เพียงเห็นโอวหย่าหมิงบุ้ยปากไปทางประตู ไม่ได้อธิบายอะไรอีก