ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 136 ไต่เต้าและพังทลาย-9
บทที่ 136 ไต่เต้าและพังทลาย-9
ตี๋เหว่ยไท่รอจนบัณฑิตจางและทังจงซงนั่งลง ก่อนหน้านี้แม้ทุกคนจะพูดคุยกัน เขาไม่กล่าวคำใด มองไปรอบๆ ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าเสมอ แม้ว่าใครจะคุยกับเขาก็เพียงพยักหน้าเบาๆ ไม่แสดงความคิดเห็น
หลิวรุ่ยอิ่งมองออกว่าเขามีเรื่องบางอย่างในใจ…
เกรงว่าคำพูดของโอวหย่าหมิงจะทำให้เขามีเรื่องที่ต้องคิดไม่น้อยทีเดียว
ส่วนครุ่นคิดสิ่งใดนั้น เขาจะตัดสินอย่างไรนั้น ไม่ว่าอย่างไรหลิวรุ่ยอิ่งก็เดาไม่ออก
ตำแหน่งที่ทังจงซงนั่งถูกจัดไว้ถัดจากหลิวรุ่ยอิ่ง เพียงนั่งลงก็ขยิบตาให้หลิวรุ่ยอิ่งทันที
“ไม่รู้ว่าวันนี้มีสุราหมักหรือไม่…ก่อนหน้านี้เจ้าเห็นร้านขายสุราหมักบนถนนสายยาวด้านนอกหรือไม่”
ทังจงซงถาม
หลิวรุ่ยอิ่งนึกย้อนไปและส่ายศีรษะ
แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะเดินผ่านถนนสายยาวเส้นนี้ แต่จิตวิญญาณของเขาซึมผิดปกติ…หากไม่ได้ตามจิ่วซานปั้นกับโอวเสี่ยวเอ๋อ เกรงว่าคงจะหลงทางแล้วเป็นแน่
จะว่าไป ตอนที่จิ่วซานปั้นยืนให้อาหารปลาบนสะพานเล็กๆ หน้าโรงน้ำชาจึงทำให้เขาได้สติกลับมา ไหนเลยจะมีใจไปสนใจว่าร้านใดขายสุราหมักเล่า
แม้หลิวรุ่ยอิ่งจะรู้ว่าสุราหมักคือสิ่งใด แต่อาหารที่มีรสชาติทั้งเปรี้ยวทั้งหวานไม่ถูกปากเขาอย่างยิ่ง
อีกทั้งก่อนที่เขาจะมาถึงอาณาจักรติ้งซีอ๋อง หลิวรุ่ยอิ่งแทบจะไม่เคยดื่มสุราสักหยด แม้สุราหมักจะไม่ใช่สุรา แต่สุดท้ายก็ยังมีคำว่าสุราอยู่ดี
จะว่าไปแล้ว ทังจงซงผู้นี้เป็นผู้ชี้นำทางสายสุราให้หลิวรุ่ยอิ่ง
แม้สภาพอากาศอาณาจักรติ้งซีอ๋องจะแห้งกร้าน แต่โลกของหอทรงปัญญาล้อมรอบด้วยภูเขาลำธารชุ่มฉ่ำไหลเชี่ยวตลอดปี จึงอบอุ่นยิ่งนัก
แม้ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นวสันต์ฤดูตลอดปี แต่จริงๆ แล้วดีกว่าข้างนอกมากนัก
“อาหารปรุงเอง หาใช่ระดับสูงเลิศ และไม่ได้พิถีพิถันอะไร ทุกคนเพลิดเพลินกันตามสบาย!”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
มีอาหารหลายจานวางอยู่บนโต๊ะ
เดิมทีหลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าตี๋เหว่ยไท่จะกล่าวด้วยน้ำเสียงฮึกเหิม เช่นเดียวกับวันนั้นที่ฮั่ววั่งติ้งซีอ๋องเลี้ยงสุราในเมืองจี๋อิง
แต่ที่คิดไม่ถึงก็คือบรมครูทรงปัญญาใต้หล้าผู้นี้จะกล่าวคำพูดธรรมดาๆ เพียงไม่กี่ประโยคแล้วขยับตะเกียบเริ่มรับประทาน
โอวหย่าหมิงชูจอกของตนขึ้นและมองลู่หมิงหมิงพลางแย้มยิ้มอย่างมีความหมายลึกซึ้ง
“เจ้ารีบร้อนไปทำไม!”
ลู่หมิงหมิงเพิ่งยกตะเกียบขึ้น และไม่ต้องการวางมันลงเพื่อเปลี่ยนเป็นจอกสุราแทน
เขาย่อมรู้ดีว่าโอวหย่าหมิงต้องการเริ่มเดิมพันระหว่างเขาทั้งสองแล้ว แต่ว่าก่อนจะดื่มสุราต้องกินอะไรรองท้องก่อนไม่ใช่หรือ ไม่เช่นนั้นเกรงว่าดื่มไม่กี่จอกก็เมาปลิ้นแล้ว
ลู่หมิงหมิงแอบประหลาดใจ ในยามปกติที่โอวหย่าหมิงเริ่มรุกก่อนช่างน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยครั้ง
แต่ไหนแต่ไรมักจะรอจนกว่าตนจะยกจอกมาถึงต่อหน้าต่อตาเขา เขาจึงจะค่อยๆ ยกจอกแล้วดื่มมันรวดเดียว
ไม่รู้ว่าเหตุใดวันนี้จึงเปลี่ยนกลยุทธ์ฉับพลัน หรือเขาจะมั่นใจเต็มเปี่ยมคิดว่าอีกประเดี๋ยวจะมีเพียงคนเดียวที่กระโดดลงสระแน่นอน
หลิวรุ่ยอิ่งมองอาหารตรงหน้า ไม่มาก มีเพียงจานเล็กๆ ไม่กี่จานเท่านั้น แต่ละจานก็ปรุงได้ประณีตอย่างยิ่ง
โอวเสี่ยวเอ๋อเม้มริมฝีปาก คิดว่าอาหารเหล่านี้จืดชืดเกินไปหน่อย…
มองจานแรก เป็นมังสวิรัติ
มองอีกจานก็ยังเป็นมังสวิรัติ…
ยิ่งกว่านั้นไม่มีจานใดใส่พริกเลย กระทั่งไม่มีน้ำมันพริกสักหยด แล้วจะให้นางกินมันลงได้อย่างไร
หวนนึกถึงโรงเตี๊ยมพูนโชคในเมืองติ้งซีอ๋องตอนแรก โอวเสี่ยวเอ๋อสั่งกำชับเสี่ยวเอ้อร์ให้ใส่พริกเพิ่มเยอะๆ จิ่วซานปั้นยังทะเลาะกับเสี่ยวเอ้อร์ในโรงเตี๊ยมพูนโชคเพราะเหตุนี้ จนเกือบจะเกิดเรื่องใหญ่แล้ว
สายตาหลิวรุ่ยอิ่งกวาดมองทุกคน ท้ายที่สุดก็วนกลับมาด้านหน้าตนเองอีกครั้ง
“สหายเหตุใดเราไม่เริ่มก่อนเล่า”
ทังจงซงยื่นจอกให้แล้วกล่าวขึ้น
หลิวรุ่ยอิ่งหัวเราะอย่างจนปัญญาพร้อมกล่าว
“ได้!”
แหงนหน้าขึ้นดื่มหนึ่งจอกลงท้อง
คิดไม่ถึงว่าแม้อาหารรสชาติจืดชืด แต่กลับสุราแรงยิ่งนัก!
ดื่มลงไปหนึ่งอึก หลิวรุ่ยอิ่งกลับรู้สึกเหมือนกลืนฟืนที่ไฟลุกไหม้อยู่อย่างไรอย่างนั้น ร้อนตั้งแต่ลำคอไปจนถึงในท้องแล้วยังเผาไหม้ต่อไม่หยุดหย่อน
“โอ้ สุรานี้สะใจยิ่ง!”
แทบจะในเวลาเดียวกัน โอวเสี่ยวเอ๋อและจิ่วซานปั้นต่างจ้องสุราด้วยแววตาสดใส
ทั้งสองล้วนเป็นคนดื่มสุราหนักหน่วง โดยเฉพาะกับสุราแรงยิ่งมีความโปรดปรานหัวดื้อประเภทหนึ่ง
จิ่วซานปั้นไม่ได้ดื่มจากน้ำเต้าเป็นครั้งแรก ทั้งยังยกจอกขึ้นโดยตรง
โอวเสี่ยวเอ๋อตรงไปตรงมายิ่งกว่า ดูเหมือนนางจะรู้สึกว่าจอกนั้นเล็กไป ดื่มไม่สะใจ จึงหยิบชามตนเองออกมาและเทมันลงไปในชามโดยตรง
เพียงแต่เมื่อโอวหย่าหมิงเห็นการกระทำเช่นนี้กลับรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเล็กน้อย…
“เสี่ยวเอ๋อ ตระกูลโอวข้าขาดสุราให้เจ้าดื่มหรือ”
โอวหย่าหมิงยิ้มพลางกล่าว
“เอ่อ…ไม่ใช่ ท่านผู้นำตระกูล ข้า…”
โอวเสี่ยวเอ๋อเพียงแค่ตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อพบสุราแรง แต่กลับลืมไปว่านี่เป็นสถานการณ์ประเภทใด และลืมไปว่ามีผู้นำตระกูลของตนเข้าร่วมด้วย
เอาแต่ยกชามอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าควรจะดื่มจนเกลี้ยงหรือวางลงดี
“ฮ่าๆ แม่นางโอวคิดว่าสุรานี้ของข้าผู้เฒ่าไม่เลวทีเดียวใช่หรือไม่”
ตี๋เหว่ยไท่หัวเราะพลางกล่าว
โอวหย่าหมิงพูดเปิดเผยกับโอวเสี่ยวเอ๋อต่อหน้า อันที่จริงเป็นการให้เกียรติเขา
เช่นนั้นเป็นถึงเจ้าบ้าน จะไม่เอ่ยสองสามประโยคเพื่อคลายสถานการณ์หรอกหรือ
ระหว่างสถานการณ์ไปๆ มาๆ บรรยากาศก็ยิ่งกลมเกลียวกันมากขึ้นเรื่อยๆ
“ท่านประมุขหอตี๋กล่าวได้ถูกต้อง สุรานี้ยอดเยี่ยมจริงๆ! สุราไม่เพียงแต่กลิ่นหอมเข้มข้น ยังรสแรงทรงพลังเช่นกัน ดื่มจนเกลี้ยงราวกลับมีไฟลุกไหม้ ทำให้คนรู้สึกไม่อาเจียนไม่สบายตัว!”
โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าว
“ไม่อาเจียนไม่สบายตัว! คำนี้พูดได้ดี อันที่จริงสุรานี้เป็นสุราเซียนกวีแท้จริง ที่ขายตามห้องด้านนอกล้วนมีเพียงได้ส่าเหล้าเล็กน้อยแล้วปรุงแต่งกันเอง ไม่อาจกล่าวว่าพวกเขาปลอม แต่ถึงที่สุดไม่ใช่ต้นตำรับ มีเพียงสุรานี้ ทั้งต้มทั้งหมักตามสูตรโบราณที่เซียนกวีหอทรงปัญญามักอ้างอย่างเคร่งครัด กี่ร้อยปีมาแล้ว รสชาติไม่ผิดเพี้ยนไปจากต้นตำรับแม้แต่น้อย แม้ว่าเข้าปากไปจะร้อนหน่อย แต่อย่างที่ท่านพูด ครั้นเดือดปุดๆ ในท้อง ก็จะรู้สึกไม่อาเจียนไม่สบายตัว!”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“แต่ไหนแต่ไรเซียนกวีผู้นั้นมักจะดื่มสุรามากมายแต่งร้อยบทกวี หากดื่มผิดสุราอาจจะแต่งกวีออกมาได้ไม่มากนัก”
โอวหย่าหมิงกล่าว
“หาใช่เสมอไปไม่…สุรานับเป็นเพียงเปลี่ยนสื่อประเภทหนึ่ง เซียนกวีดื่มสุราเพียงให้เขารู้สึกสบายใจผ่อนคลายยิ่งขึ้น อารมณ์รุนแรงยิ่งขึ้น ความเร็วการแต่งกวีเร็วขึ้น รูปแบบก็กล้าหาญยิ่งขึ้น หากยามปกติแต่งกวีไม่ออก หรือผู้ที่แต่งกวีไม่เป็น ต่อให้เจ้าจะให้เขาดื่มสุรามากมายเพียงใด นอกจากจะอาเจียนไปทั่วพื้นแล้ว เกรงว่าจะไม่แตะพู่กันกับหมึกด้วยซ้ำ”
ลู่หมิงหมิงกล่าว
“นั่นก็เป็นความจริงเช่นกัน เช่นเดียวกับข้า ไม่ว่าจะดื่มสุราเซียนกวีมากเพียงไหนก็ยังเป็นคนที่ไม่มีพรสวรรค์ด้านวรรณกรรมเช่นเดิม”
โอวหย่าหมิงมองน้ำสุราในมือพลางส่ายศีรษะ
“เสี่ยวเอ๋อ เจ้าดื่มให้น้อยลงหน่อย! สุรานี้ล้ำค่ายิ่งนัก ควรสงวนไว้ให้ผู้มีพรสวรรค์เช่นท่านประมุขตี๋แล้วก็อาหมิงหมิงของเจ้าดื่ม ดื่มแล้วเขียนบทประพันธ์ดีๆ เพื่อฟื้นฟูสายวรรณกรรมให้มากขึ้น มันไม่สามารถเข้าสู่ท้องของคนหยาบคายอย่างเราได้ทั้งหมด ช่างตีเหล็กดื่มสุราเปล่าๆ ก็พอแล้ว!”
โอวหย่าหมิงกล่าวต่อ
โอวเสี่ยวเอ๋อได้ยินเรื่องขบขันจากคำพูดผู้นำตระกูลจึงพยักหน้าแล้วยกชามคารวะลู่หมิงหมิงหนึ่งจอก
มีคนคารวะสุรา ลู่หมิงหมิงย่อมปฏิเสธลำบาก
เขาสามารถหน้าใหญ่ใจโตหยอกล้อโอวหย่าหมิงได้ แต่จะกล้ากระมิดกระเมี้ยนต่อหน้าคนรุ่นหลังได้อย่างไร
มองเห็นโอวเสี่ยวเอ๋อยกชาม เขาก็ไม่กล้ายกจอกอีก จำต้องเทสุราลงชามตามและดื่มมันให้หมดรวดเดียวพร้อมกับโอวเสี่ยวเอ๋อ
จนกระทั่งวางชามสุราลง จึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ…
คำพูดที่โอวหย่าหมิงกล่าวกับโอวเสี่ยวเอ๋อก่อนหน้านี้ ขณะที่บอกนางว่าอย่าดื่มมากเกินไปก็ยังไม่วายยกยอตี๋เหว่ยไท่และลู่หมิงหมิงด้วย
แต่ประโยคสุดท้ายบอกว่าช่างตีเหล็กดื่มสุราเปล่าๆ กลับตั้งใจล่อให้โอวเสี่ยวเอ๋อมาคารวะสุราให้ตน
อย่างไรเสียก็นับว่าเป็นช่างตีเหล็กคนหนึ่งใช่หรือไม่
เมื่อไม่จับพู่กัน ก็จับค้อนเหล็ก
ไม่ปูกระดาษก็ก่อไฟ
ตอนนี้ลู่หมิงหมิงรู้แล้วว่าความมั่นใจเต็มเปี่ยมของโอวหย่าหมิงมาจากแห่งหนใด…
แท้จริงแล้วล้วนมาจากตัวของแม่นางโอวเสี่ยวเอ๋อ!
โอวหย่าหมิงรู้ว่าโอวเสี่ยวเอ๋อดื่มเหล้าเก่ง ทั้งยังมีนิสัยกล้าได้กล้าเสีย นี่จึงกลายเป็นไม้เด็ดของเขาในคืนนี้
เมื่อครู่ไม้เด็ดนี้เผยแสงเย็นวูบวาบเล็กน้อยและทำให้ลู่หมิงหมิงกระดกชามใหญ่ลงท้องด้วย หากดื่มอีกสักสาม สี่ ห้าหรือหกชาม ไหนเลยจะยังอยู่ในสภาพดีพอรับมือกับโอวหย่าหมิงเล่า
แต่ลู่หมิงหมิงไร้คำกล่าวใด อีกคนหนึ่งคือโอวเสี่ยวเอ๋อจากตระกูลโอว เชื่อฟังคำผู้นำตระกูล ทั้งยังคารวะสุรากับสหายอาวุโสของผู้นำตระกูล ไม่ว่าอย่างไรตนก็ไม่อาจปฏิเสธได้
ไม่เช่นนั้นไม่เพียงแต่ตนไม่ให้เกียรติโอวหย่าหมิงเท่านั้น ยังเย่อหยิ่งต่อคนรุ่นหลังตรงหน้าตนเองอย่างชัดเจน จนแล้วจนรอดก็คนที่ขายหน้าก็เป็นคนของหอทรงปัญญา
เพียงแต่เขาคิดแผนแยบยลแต่กลับคิดใคร่ครวญไม่ถึงว่าโอวหย่าหมิงจะใช้กลอุบายนี้ เดาว่านี่คงเป็นกลยุทธ์ที่เขาตัดสินใจไว้ก่อนที่จะตัดสินใจเนื้อหาเดิมพันกับเขาเสียอีก
มิน่าล่ะ ก่อนหน้านี้ยังไม่ทันกินสิ่งใดก็ยกจอกสุราขึ้นมาแล้ว แท้จริงแล้วหาทางออกให้ตนเอง โยนกระเบื้องล่อหยก[1] ให้โอวเสี่ยวเอ๋อเป็นกองหน้า รบนำหน้า ขณะนกปากซ่อมกับหอยกาบทะเลาะกัน เขาค่อยนั่งเป็นคนตกปลารอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์
ลู่หมิงหมิงแตะริมฝีปากแล้วจิบชา
คิดไม่ถึงว่าเพียงเงยหน้า โอวเสี่ยวเอ๋อก็ยกชามจ่อตรงหน้าตนอีกครั้ง กล่าวว่าคารวะสามจอกเป็นความเคารพสูงสุด!
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นฉากนี้ในสายตา พลันคิดว่าสิ่งที่ตนกล่าวนั้นไม่ผิดเพี้ยน! โอวหย่าหมิงผู้นี้ทำกิจการเก่งจริงๆ! และไม่แปลกใจที่ตระกูลโอวจะก้าวหน้าพัฒนาอย่างรวดเร็วตลอดหลายปีที่ผ่านมา!
คำพูดตอนเมาขึ้นอยู่กับใจผู้คน สถานการณ์ตอนดื่มขึ้นอยู่กับความรู้สึกของผู้คน โอวหย่าหมิงทั้งผ่อนคลายและสงบนิ่ง ดูเหมือนว่าคืนนี้ลู่หมิงหมิงจะหนีไม่พ้นแช่น้ำในสระนี้แล้ว…
จากที่อยู่อาศัยของตี๋เหว่ยไท่จะเห็นได้ว่า เขาเป็นคนมีชีวิตเรียบง่ายและสง่างามยิ่ง
มีคำกล่าวที่ว่าโลกเต็มไปด้วยรสชาติและความสุข อาหารในคืนนี้ก็สอดคล้องกับสิ่งนี้อย่างประจวบเหมาะ
ต่างจากครั้งก่อนที่หลิวรุ่ยอิ่งเข้าร่วมงานเลี้ยงสุราฮั่ววั่งติ้งซีอ๋องจัดขึ้นในเมืองจี๋อิง ครั้งนี้ทั้งสงบ อบอุ่นและสง่างามยิ่งนัก
หากกล่าวว่าอาหารทั้งโต๊ะของฮั่ววั่งติ้งซีอ๋องเป็นไฟ เช่นนั้นทั้งโต๊ะของตี๋เหว่ยไท่แห่งหอทรงปัญญาย่อมเป็นน้ำ
บนโต๊ะมีน้ำแกงอีกชาม ในน้ำแกงมีเพียงเต้าหู้ก้อนหนึ่งเท่านั้น
น้ำแกงเย็นใส แต่รสชาติสดชื่น รสกลมกล่อม กลิ่นหอมยิ่งนักค่อยๆ เผยออกมา เช่นเดียวกับพื้นที่ว่างขนาดใหญ่วาดด้วยหมึก ทำให้ผู้คนครุ่นคิดและทำได้เพียงแอบชื่นชมมัน
อาหารคาวเพียงอย่างเดียวคือลูกชิ้น ดูเหมือนจะเป็นส่วนผสมของเนื้อปลาและเนื้อไก่ เมื่อใช้มีดตัดเป็นแฉก คล้ายกับดอกบัวกำลังเบ่งบาน
มีผิวส้มชิ้นเล็กๆ วางอยู่ข้างลูกชิ้น ไม่ได้มีไว้ให้รับประทาน แต่เพียงให้ผู้ที่รับประทานได้กลิ่นหอมขณะลิ้มรสลูกชิ้น
เป็นครั้งแรกที่หลิวรุ่ยอิ่งเห็นวิธีรับประทานอาหารแปลกประหลาดเช่นนี้
แต่ไหนแต่ไรล้วนผักคู่กับข้าว หรือข้าวคู่กับผัก แม้จะเป็นเพียงผักคู่กับผัก ผักคู่กับน้ำแกงก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน
แต่ไม่ว่าจะผสมผสานแบบใด ท้ายที่สุดก็ต้องมีอาหารทั้งสองชนิดอยู่ในปากพร้อมๆ กันจึงจะดี
เห็นได้ชัดว่าผิวส้มแท้ผ่านการดองด้วยวิธีพิเศษ นอกจากกลิ่นหอมดั้งเดิมแล้ว ยังแฝงไปด้วยกลิ่นเปรี้ยวเล็กน้อยหนึ่งชั้น แต่กลิ่นหอมนี้จับต้องไม่ได้ เพียงดมกลิ่นได้เท่านั้น จะเคี้ยวแล้วค่อยกลืนเช่นลูกชิ้นเห็นทีจะไม่ได้
ยิ่งกว่านั้นกลิ่นหอมนี้ยังเบาบาง เพียงกลิ่นอ่อนๆ หลิวรุ่ยอิ่งหายใจแรงขึ้นอีกหน่อยมันก็จะปลิวหายไปอย่างไร้ร่องรอย
นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องมนุษย์กินอาหารง่ายๆ ต่อไป แต่มันเป็นเรื่องอาหารทดสอบมนุษย์ด้วย
…………………………………………………….
[1]โยนกระเบื้องล่อหยก เป็นกลยุทธ์ที่แสดงความเห็นเล็กน้อย หลอกล่อให้ผู้อื่นแสดงความเห็นเฉียบแหลมออกมา