ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 25 สะพานสูงไม่อาจประคอง-1
บทที่ 25 สะพานสูงไม่อาจประคอง-1
หัวเมืองรัฐติง ในบ้านของตาเฒ่าเยี่ย
ผ่านไปประมาณสองสามชั่วยาม หลิวรุ่ยอิ่งถึงได้ตื่นมาอย่างพร่ามัว
พอเขาก้มหน้าเห็นร่างตนเองเปลือยเปล่าก็ร้องเอะอะโวยวายกระโดดออกมาจากในหม้อ
“นี่คือที่ใด ข้าเป็นอะไรไป??! เจ้าเป็นใคร!”
เขาร้อนรนกวาดตามองรอบด้าน พบว่าไม่ใช่สภาพแวดล้อมที่ตนคุ้นเคย คนตรงหน้านี้ก็คล้ายว่าตนไม่ค่อยรู้จัก
“สวรรค์! คงไม่ใช่สมองถูกย่างจนเสียหายกระมัง…ตาเฒ่าเยี่ยท่านรีบออกมาดูเร็ว!”
“โวยวายอะไร หนวกหู!”
ตาเฒ่าเยี่ยย่างเท้าเชื่องช้า ฉวยมือตักน้ำจากบ่ออันเย็นเยียบในถังน้ำตรงลานบ้านกระบวนหนึ่งมาสาดบนตัวหลิวรุ่ยอิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งสะดุ้งโหยงทันที ยืนตัวสั่นโงนเงนหน้าหลังอยู่ที่เดิม
“สหายจงซง!”
ทังจงซงได้ยินคำเรียกประโยคนี้แล้วน้ำตาแตก
ใจคิดว่าเจ้านี่กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว
ไม่อย่างนั้นตนจะอดทนอดกลั้นขนาดนี้ไปเพื่ออะไรล่ะ
จากการอธิบายของทังจงซง หลิวรุ่ยอิ่งก็รู้สถานการณ์ก่อนหน้านี้ของตนแล้ว
เมื่อได้ยินว่าทังจงซงใช้จี้หยกติดตัวของเขาจ่ายค่ารักษาให้ตน ยิ่งรู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่ง
ทังจงซงมองหลิวรุ่ยอิ่งขอบคุณแล้วขอบคุณอีก ในใจก็สะเทือนอารมณ์เล็กน้อย
เพียงแต่ในใจหลิวรุ่ยอิ่งยังขบคิดประโยคที่ได้ยินตอนอยู่โรงเรืองขวัญนั้นอย่างละเอียด
ผู้ทัศนาจร…
ควรทำเช่นไร…
มันรบกวนใจเขาเหลือเกิน
ขณะเดียวกัน ทังจงซงได้รับจดหมายจากบิดาทังหมิงเรียกให้เขากลับจวนทันที
ทั้งสองจึงลากันตรงนี้
“ผู้น้อยขอบคุณหมอเทวดาเยี่ยผู้มีฝีมือเลิศล้ำที่ช่วยชีวิตผู้น้อย!”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดกับตาเฒ่าเยี่ยอย่างนอบน้อม
ตาเฒ่าเยี่ยฟังคำนี้แล้วอดทำหน้ายับย่นไม่ได้
นึกถึงตนเดินท่องยุทธภพค่อนชีวิต
ช่วยชีวิตคนมากมาย วางยาคนตายก็นับไม่ถ้วน
แต่กลับไม่เคยมีใครเรียกตนว่าหมอเทวดามาก่อน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงคำอย่างฝีมือเลิศล้ำ
เขาก็รู้ว่ากฎเกณฑ์การตรวจไข้กับนิสัยน่าชังของเขาทำให้คนมากมายไม่พอใจ แต่พวกเขาจำต้องก้มหัวเพราะทักษะทางการแพทย์ของเขาอีกนั่นละ เลยได้แต่ด่าเงียบๆ อยู่ข้างใน
แม้ตนรักษาอีกฝ่ายจนหาย แต่หากพูดถึงมีคนซาบซึ้งบุญคุณจริงๆ อยู่เท่าไร คงมีไม่มากนัก…
“ทำไม เจ้าหนุ่มทาน้ำผึ้งในปากหรือว่ากรมสอบสวนนี่เปลี่ยนฮวงจุ้ยแล้ว”
มีหมอคนไหนถูกชมว่าเป็นหมอเทวดาแล้วไม่ดีใจบ้างเล่า
แต่ตาเฒ่าเยี่ยผู้นี้ยังคงตีหน้าขรึม แสดงท่าทีรำคาญใจยิ่ง แท้จริงข้างในดีใจจนดอกไม้บานตั้งแต่เนิ่น
“แต่ไรมาผู้น้อยพูดตามความจริง หากไม่ได้ท่านยื่นมือช่วยชีวิต ผู้น้อยจะสุขกายสบายใจดังเดิมได้อย่างไร”
หลิวรุ่ยอิ่งประสานมือน้อมคำนับและกล่าวต่อ
“เฮอะ! ชุดขุนนางของกรมสอบสวนตัวนี้เจ้าขโมยมาสินะ ข้าว่าเจ้ามาจากเขาก้นม้า[1]เสียมากกว่า!”
ตาเฒ่าเยี่ยเคยได้ยินเช่นนี้เสียที่ไหน เพียงรู้สึกสองแก้มร้อนๆ รุ่มๆ ก็เอ่ยคำเหน็บแนมมาคลายความเก้อกระดากของตนอีก
หลิวรุ่ยอิ่งพอจำได้ว่านิสัยเขาเป็นแบบนี้อยู่แล้ว จึงไม่คิดเล็กคิดน้อย เพียงยิ้มบางๆ
“เอ้อ…ข้าว่า…เจ้าหนุ่มเป็นนายกองกรมสอบสวนจริง?”
คล้ายตาเฒ่าเยี่ยก็รู้สึกเมื่อครู่ตนพูดเกินไปอยู่บ้าง จึงคิดหาหัวข้ออีกสักหน่อย
แต่คิดไปคิดมาก็ไม่รู้จะพูดอะไร เลยเลือกถามอันที่ตนใคร่รู้ที่สุด
“หมอเทวดาเยี่ยมีอดีตกับกรมสอบสวนข้าอย่างนั้นหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถามกลับ
“ไม่ถึงขั้นมีอดีตหรอก แค่ตอนข้าเดินทางทั่วทิศเมื่อหลายปีก่อน เจอเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนสองสามคนออกมาทำธุระข้างนอกที่เขตผิงหนานอ๋อง เฮอะ! นั่นเรียกว่าใช้อำนาจบาตรใหญ่…ฟาดแส้ม้าบนหน้าคน ช้าอีกนิดเดียวก็จะถูกสวมหมวก ‘กลุ่มกบฏ’ ถูกลงโทษกลับไปสอบสวนพร้อมผู้ต้องสงสัยนั่นแล้ว”
ตาเฒ่าเยี่ยผู้นี้ก็เป็นคนแปลกจริง
เจ้าบอกเขาแตกฉานเรื่องการใช้ชีวิตในสังคม เขาก็ดันรู้จักแต่หลักตายตัวอย่างเงินทอง
เจ้าบอกเขาสายตาสั้นเท่าหนู[2] เขากลับท่องทั่วใต้หล้ามีประสบการณ์เหลือหลาย
แค่หยิบตอนนี้มาพูด เขารู้ฐานะนายกองกรมสอบสวนของหลิวรุ่ยอิ่งแล้ว กลับยังกล่าวโทษความเลวของกรมสอบสวนใส่เขาอีก
นี่เป็นการหลบฝนในตำหนักมังกรไม่ใช่หรือ
แต่ในโลกก็มีคนถือดีดูหมิ่นผู้อื่นเช่นนี้เสมอ
การดำรงอยู่ของพวกเขามีเพื่อทำลายสามัญสำนึกอันเป็นที่เข้าใจร่วมกันรวมถึงกฎเกณฑ์ของการเข้าใจสถานการณ์ต่างๆ ที่มีตลอดมา ไม่ว่าเดินไปที่ใดก็จะมีคนเปิดทางสะดวกให้พวกเขา
“หมอเทวดาเยี่ยพูดถูกต้อง กรมสอบสวนตรวจสอบใต้หล้า แบกรับหน้าที่หนักอึ้ง บางครั้งตอนทำงานอาจมีใจร้อนบ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้าน้อยต้องขอโทษแทนสหายกรมสอบสวนมา ณ ที่นี้ด้วย”
“เฮอะๆ เจ้าพูดอย่างกับเจ้าเป็นผู้บังคับการกรม”
ตาเฒ่าเยี่ยก็คิดไม่ถึงว่าหลิวรุ่ยอิ่งจะอ่อนน้อมถ่อมตนปานนี้
อายุน้อยเช่นนี้ก็ได้นั่งตำแหน่งนายกองแล้ว หากไม่ใช่มีคนคอยหนุนหลัง ก็เป็นตัวเขาที่ไม่ธรรมดา
สองอย่างนี้ไม่ว่าหลิวรุ่ยอิ่งเป็นอย่างไหน ก็น่าจะอวดดีกว่าคนหนุ่มสาวทั่วไปเป็นร้อยเท่า
‘ไม่ยโสไม่ใจร้อน ซื่อสัตย์จริงใจ สามารถปะปนอยู่ในอ่างย้อม[3]ขนาดใหญ่อย่างกรมสอบสวนได้ด้วยนิสัยใจคอเช่นนี้ก็ไม่ง่ายโดยแท้’
หากบอกว่าเริ่มแรกคือดูแคลน เมื่อครู่คือเก้อกระดาก เช่นนั้นตอนนี้ตาเฒ่าเยี่ยก็มีความชื่นชมแฝงอยู่ข้างในหลายส่วนแล้ว
‘ตาเฒ่าเยี่ยอาศัยอยู่หัวเมืองรัฐติงมานานขนาดนี้ เรื่องถูกผิดมากมายล้วนหนีไม่พ้นหูของเขาเป็นแน่…คิดว่าคงหาเบาะแสคนลอบทำร้ายข้าที่โรงเรืองขวัญได้บ้าง จะอย่างไรก็อาศัยการรักษานี้สร้างสัมพันธ์อันดีกับเขาไว้เป็นดีที่สุด’
หลิวรุ่ยอิ่งคิดในใจ
“อินหยางในกายทุกคนค่อนข้างสมดุล แต่ถ้าเป็นคนละคนอินหยางก็จะขัดแย้ง หากพลังอินเบี่ยงเบน พลังหยางจะได้รับความเสียหาย กลับกันก็เป็นเช่นนี้ ข้าเห็นจุดลมปราณทั่วกายเจ้าเปิดเกือบครึ่ง แต่ยี่สิบแปดจุดในระบบ[4]กลับไม่ขยับเลยสักนิด ตามจริงคนทั่วไปฝึกตนล้วนเปิดจุดลมปราณก่อน หลังจากเปิดจุดลมปราณทั่วกายหมดแล้วก็สามารถเข้าถึงพลังยิ่งใหญ่มหาศาล ทำให้ทุกตำแหน่งบนล่างทั่วกายสามารถเคลื่อนย้ายพลังอินหยางสองขั้วในกายเจ้าได้ทั้งหมด จุดลมปราณก็เหมือนอาคารกรมสอบสวนเจ้าที่แบ่งสาขาตามที่ต่างๆ มีประสิทธิภาพในการส่งต่อรับช่วง แต่เมื่อเปิดจุดลมปราณเชื่อมโยงทั่วกายแล้ว มากสุดก็ได้แค่ทำให้เจ้ากลายเป็นปรมบุคคลขั้นสูงสุดเท่านั้น ผู้คนต่างรู้กันว่ามีเพียงเข้าสู่ขอบเขตบรมภูมิเท่านั้นถึงจะใช้พลังคุณสมบัติพิเศษได้ และนี่ก็คือประโยชน์ของจุดในระบบ”
“เมื่อเข้าสู่บรมภูมิ ห้าธาตุหมุนเวียนอินหยางเสมอเหมือน”
หลิวรุ่ยอิ่งฟังแล้วงง เขาไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ตาเฒ่าเยี่ยถึงเริ่มอบรมการฝึกตนของเขา แถมยังพูดเรื่องไร้สาระที่คนเขารู้กันหมดแล้วอีก
แต่ด้วยมารยาท เขาก็ไม่สะดวกจะแย้ง
ได้แต่พยักหน้าเอ่ยรับเป็นพัลวัน
“ทว่า…หากเจ้าอยู่ขอบเขตปรมบุคคลแล้วเปิดจุดในระบบช่องหนึ่งละก็ เช่นนั้นเจ้าก็จะกลายเป็นบรมภูมิเทียมในพริบตา”
ตาเฒ่าเยี่ยกล่าวคำนี้แล้วทำให้คนตกใจโดยแท้
เรียกได้ว่าล้มล้างความเข้าใจระบบการฝึกตนของหลิวรุ่ยอิ่งไปหมดสิ้น
“คำว่าเทียมจากบรมภูมิเทียมเป็นเพราะเจ้าไม่มีพลังทรงอานุภาพของขอบเขตบรมภูมิคอยสนับสนุน การฝึกตนทั้งกายยังไม่พอพิชิตแปดทิศ ยิ่งไม่สามารถกีดกั้นผืนดินสกัดเวหา แต่เจ้ากลับสามารถเรียกใช้พลังห้าธาตุนี้ได้ล่วงหน้า ไม่ใช่เรื่องดีหรอกหรือ”
ตาเฒ่าเยี่ยกล่าวอธิบาย
“ขอถามผู้อาวุโส การทำเช่นนี้มีอันตรายใดบ้าง”
หลิวรุ่ยอิ่งไม่อาจมองเห็น
หลังเขาถามประโยคนี้ ในตัวบ้านข้างหลังตาเฒ่าเยี่ยมีคนสวมผ้าคลุมดำคนหนึ่งอ้าปากเล็กน้อย
“เอาละ เรื่องถึงตรงนี้แม้แต่ข้าก็ได้รับผลกระทบมาบ้างแล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งจากไปแล้ว
ตาเฒ่าเยี่ยพูดกับผ้าคลุมดำในบ้าน
“ขอบใจมาก เจอกันเมืองหลวง”
ผ้าคลุมดำคล้ายงงงันเล็กน้อย ตอบคำแข็งทื่อ
“ถ้าเป็นห่วงขนาดนั้นจริง อย่างไรก็ควรเผชิญหน้าพูดกันให้ชัดเจนสิ ถ้าหักใจได้จริง เช่นนั้น…”
ชัดว่าตาเฒ่าเยี่ยยังอยากพูดบางอย่าง
แต่เพียงชั่วเวลาหมุนกาย ผ้าคลุมดำก็หายไปแล้ว
“เฮ้อ…ยี่สิบปีแล้ว ยามนี้เรื่องจบข้าก็ควรไป จะว่าไปเริ่มเคยชินกับที่นี่อยู่บ้างแล้วเหมือนกัน…”
ตาเฒ่าเยี่ยนั่งอยู่ในบ้าน มองลานเล็กอันซอมซ่อทรุดโทรมทว่ายังคงสงบงดงามของตน
หลิวรุ่ยอิ่งจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเพราะวิธีฝึกตนที่ตาเฒ่าเยี่ยบอก ถึงขั้นลืมเรื่องที่ตนอยากสืบหาไปหมดแล้ว
กลับถึงอาคาร เขาก็ให้หัวหน้าอาคารช่วยหาตำราฝึกตนทั้งหมดที่หาได้ในหัวเมืองรัฐติงมาให้เขา ยังถือโอกาสส่งคนไปคืนค่ารักษาตรวจไข้ของตนให้ทังจงซงที่จวนทังหมิง เขาจะได้เอาไปไถ่จี้หยกของตัวเองคืน
แม้ใจหลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าทังจงซงไม่ใช่คนแผนสูง ทุกเรื่องมิตรภาพล้วนมาก่อน แต่ฐานะของตนพิเศษ อย่าสร้างความสัมพันธ์กับอีกฝ่ายมากเกินไปจะดีกว่า
คืนวันนี้ ตาเฒ่าเยี่ยออกจากเมืองด้วยการนอนอยู่บนรถขนโลงศพคันหนึ่งที่ลากคนตายออกนอกเมือง ลาจากหัวเมืองรัฐติงที่เขาอยู่มายี่สิบปี
คืนวันนี้ ทังจงซงรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าการมีเพื่อนสักคนอาจไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เพียงแต่น่าเสียดายที่เขาไม่อาจเลือกฐานะและพรรคพวกของตนเองได้เลย
คืนวันนี้ หลิวรุ่ยอิ่งรินสุราดื่มเองจนเมาหัวราน้ำ ต่อให้เขาเข้าใจทางลัดกลโกงทั้งหมดมันก็ไม่สำคัญเท่าพลังแท้จริงที่เขามีในการฝึกตน
ใต้หล้านี้ อย่างไรหนึ่งกำลังก็ชนะสิบผู้ฝึกยุทธ์[5]
………………………..
ราชสำนักทุ่งหญ้า กองกำลังฝ่ายซ้าย หน่วยกลืนจันทรา
กระทั่งแสงอัสดงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ลาลับปลายเส้นขอบฟ้า เหยียนจื่อถึงได้หยุดเป่าดนตรี
เขาเช็ดขลุ่ยกระดูกเลานี้เบาๆ
คล้ายกำลังลูบไล้เนื้อหนังอ่อนนุ่ม ผมงามเรียบลื่นของคนที่ตนหมายใจ
นัยน์ตาเปี่ยมด้วยความทะนุถนอมและเทิดทูน
เหยียนจื่อไม่รู้ที่มาของขลุ่ยกระดูกเลานี้
และเขาก็ไม่แน่ใจที่มาของขวดเครื่องเคลือบที่ใส่ขลุ่ยกระดูกเช่นกัน
เขารู้แค่ว่าของเหลวที่แช่ขลุ่ยกระดูกในขวดเครื่องเคลือบคือน้ำมันศพ
คล้ายอยู่ดีๆ ความทรงจำเหล่านี้ก็ปรากฏขึ้นในสมองเขา ดูเหมือนภาพลวงตาและไม่จริงแท้อย่างยิ่ง
แต่นอกจากจำเหตุการณ์ที่ตนถูกทรมานได้แม่นแล้ว หลายปีนี้เขาก็ฝันถึงเรื่องเดียวกันมาตลอด
เขาฝันเห็นคนที่ตายไปแล้วคนหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่บนแท่นหินเขียวก้อนหนึ่ง
ชายสูงผอมคนหนึ่งหันหลังให้เขา ท่องบางอย่างพึมพำอยู่กับศพ
เขาพยายามฟังให้ชัด แต่เท้ากลับก้าวไม่ออกสักก้าว
ไม่ถึงครู่ อีกากับอีแร้งจำนวนมากก็ทยอยโฉบลงมาหมายจะจิกกินศพร่างนี้ แต่คนผู้นั้นหยิบกระบี่สั้นเล่มหนึ่งออกมาทำให้พวกนกพากันถอยหนี
ว่าไปแล้วก็แปลก ฉากเบียดเสียดวุ่นวายในตอนแรกกลายเป็นมีระเบียบเงียบสงบในพริบตา
ด้วยถูกขัดจังหวะคนผู้นั้นคล้ายขุ่นเคืองอยู่บ้างชัดเจน เขาใช้มือขวากุมหน้าผากเหม่อมองท้องฟ้าอยู่พักหนึ่ง
จากนั้น เขาล้วงขวดเครื่องเคลือบออกจากแขนเสื้อใหญ่กว้าง หยิบขลุ่ยกระดูกเลาหนึ่งออกจากในนั้น ด้านบนมีของเหลวสีเหลืองอ่อนเข้มข้นหยดลงมา
เขาวางไว้ตรงปาก คล้ายกำลังเป่าดนตรี
ถัดจากเสียงบรรเลงขลุ่ยกระดูก เหล่าอีกากับอีแร้งที่นิ่งสงบในตอนแรกเกิดกระสับกระส่ายขึ้นมาอีกฉับพลัน
เพียงแต่คราวนี้เป้าหมายของพวกมันไม่ใช่ศพ แต่เป็นคนเป่าขลุ่ยข้างศพผู้นี้
ยามนี้ เขาหันมาเผยรอยยิ้มให้กลุ่มนก จากนั้นเริ่มเต้นระบำประหลาดเพลงหนึ่ง
ฝันถึงตรงนี้ เหยียนจื่อกลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง
เขาอยากไปดูข้างหน้าให้แน่ชัด แต่ร่างกายกลับเริ่มเต้นระบำเช่นเดียวกับคนผู้นั้นอย่างไม่อาจควบคุม
เหยียนจื่อเต้นคราแล้วคราเล่า…ถึงขั้นรู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่ในฝัน
ลมเย็นพัดมาระลอกหนึ่ง ทำให้เหยียนจื่อผู้เหนื่อยล้ารู้สึกสบายยิ่ง แต่ครู่ต่อมากลับเจ็บปวดแสบปวดร้อน
ลมนี้เกิดจากอีกากับอีแร้งก่อนหน้านี้กระพือปีก
ตอนนี้พวกมันกำลังใช้กรงเล็บแหลมฉีกทึ้งผิวหนังของตน ควักอวัยวะภายในของตน ทำลายกล้ามเนื้อของตน…เขาก็เต้นไปพลางมองกายเนื้อของตนถูกกลุ่มนกแบ่งกันกินทีละนิดจนเกลี้ยงเช่นนี้
แม้สองตาถูกจิกบอด แต่ก็ยังไม่สูญเสียการมองเห็น
มือใหญ่ไร้รูปคู่หนึ่งกดศีรษะของเขาไว้แน่นตั้งแต่ต้นจนจบ บังคับเขามองตรงไปที่ภาพเหล่านี้
หลังจากเศษเลือดเนื้อสุดท้ายบนกายตนถูกกินไป คนผู้นั้นก็ค่อยๆ หันกายมา
ขลุ่ยกระดูกในมือเขาพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว เสียบเข้าหว่างคิ้วของเหยียนจื่อพอดี
“ตะวันออกโหดเหี้ยม เหนือหลงทิศทาง ตะวันตกรุ้งแดงร้อนแผดเผา ใต้กระดูกไหปลาร้าเย็นเยือก เก้าบรรพตกักขัง ทะเลบูรพาฝนพรำ”
เหยียนจื่อที่กลายเป็นกระดูกขาวจึงได้ยินคำเพ้อของคนเป่าขลุ่ยชัดเจนในที่สุด
………………………..
นอกหัวเมืองรัฐติง
“ฮั่ววั่ง เจ้าปิดบังแม่นางน้อยฐานเมฆาได้ แต่จะหลอกข้าได้อย่างไร พิษปลาแสงจันทร์ในกายเจ้ายังไม่ได้ถอนตั้งแต่แรก!”
……………………………………………
[1] ก้นม้า หมายถึงการประจบประแจง
[2] สายตาสั้นเท่าหนู หมายถึงมองอะไรตื้นเขิน ไม่มีวิสัยทัศน์
[3] อ่างย้อม สภาพแวดล้อมที่ส่งผลร้ายต่อคน
[4] จุดในระบบ จุดในเส้นลมปราณทั้งสิบสี่เส้น
[5] หนึ่งกำลังชนะสิบผู้ฝึกยุทธ์ หมายถึงเมื่อเจอพลังอำนาจที่แท้จริง ต่อให้ใช้แผนหรือวิธีการใดก็ไม่เป็นผล