ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 41 ติ้งซีอ๋องจัดเลี้ยงสุราเมืองจี๋อิง-2
บทที่ 41 ติ้งซีอ๋องจัดเลี้ยงสุราเมืองจี๋อิง-2
ผู้คนรายล้อมรอบตัวค่อยๆ นั่งจนเต็มไปทั่วทุกทิศ ล้วนเป็นข้าราชการทั้งบู๊ทั้งบุ๋นของหัวเมืองรัฐติงและเมืองติ้งซีอ๋องทั้งสิ้น
หลายคนต่างเร่งควบม้าเดินทางข้ามคืนโดยเฉพาะขุนนางบุ๋นที่ไม่ฝึกวรยุทธ์ แต่ละคนล้วนเผยสีหน้าเหนื่อยล้า
ทว่าพื้นที่ไร้โต๊ะตั่งด้านหลังเต็มไปด้วยราษฎรจากห้าเมืองชายแดน
ยามนี้ มองเห็นผู้คนมหาศาลแออัด ทันใดนั้นฮั่ววั่งติ้งซีอ๋องก็ปรากฏตัว
เขาไม่ได้สวมชุดเกราะ มือไม่ได้ถือฝักกระบี่ดารา
สวมเสื้อคลุมผ้าไหมทอสีน้ำตาลพร้อมเสื้อนอกเป็นหนังสีเดียวกัน คาดเข็มขัดลายมังกรสีกรมท่ารอบเอว มองทุกคนพร้อมเผยรอยยิ้มประดับบนใบหน้า
ข้าราชการทุกคนเห็นติ้งซีอ๋องมาถึงจึงลุกขึ้นยืนต้อนรับ ราษฎรด้านหลังคำนับศีรษะชิดพื้นไม่หยุด
ครั้นฮั่ววั่งมาถึงเวที สั่งให้ทัพอีกาดำทั้งซ้ายและขวานำสิ่งกีดขวางออก เผยโต๊ะขาหยักสีน้ำตาลแก่ลายเมฆวิจิตรขนาดใหญ่ออกมา ด้านหลังวางตั่งไม้พยูงมังกรในม่านเมฆหนึ่งตัว
ทว่าด้านหน้าโต๊ะกลับตั้งชั้นเหล็กธรรมดาแขวนโครงกระดูกไว้ด้านบน
ฮั่ววั่งยืนอยู่บนเวทีผายมือชี้โครงกระดูกพลางเอ่ยถาม “ทุกท่านทราบหรือไม่ว่านี่คือสิ่งใด”
“ท่านอ๋องโปรดชี้แนะ”
ทุกคนส่ายหน้าเพื่อสื่อว่าไม่รู้
หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่ทราบเช่นกัน เพียงรู้สึกว่าน่าสะพรึงอย่างยิ่ง
“นี่ เป็นซากกระดูกศพกบฏเฮ่อโหย่วเจี้ยน! เมื่อวานข้าสั่งทัพอีกาดำเลาะกระดูกของเขาออกและสับเนื้อเป็นชิ้นๆ โยนให้สุนัขกิน วันนี้ข้าจะเฆี่ยนกบฏทรยศสมคบคิดกับราชสำนักทุ่งหญ้าสามร้อยครั้งต่อหน้าทุกท่านเพื่อบรรเทาความเกลียดชังของราษฎรทุกคนในห้าเมืองชายแดงได้ ข้าฮั่ววั่งต้องขออภัยราษฎรทุกท่านอย่างยิ่ง!”
สิ้นเสียง เห็นเพียงฮั่ววั่งค้อมตัวคำนับไปด้านหน้า
การกระทำนี้ ทำให้บรรดาราษฎรด้านหลังหลั่งน้ำตาทันที ซาบซึ้งสะเทือนใจจนน้ำตาไหล
แม้กระทั่งหลิวรุ่ยอิ่งยังคาดไม่ถึงว่าฮั่ววั่งจะทำเช่นนี้
ตั้งแต่สมัยโบราณ หลักโทษทัณฑ์ไม่เคยขึ้นสู่เบื้องบน หลักจรรยามารยาทไม่เคยลงสู่เบื้องล่าง การกระทำของฮั่ววั่งเปรียบได้กับกษัตริย์ทำผิดบาปต่อตนเอง วิถีแห่งปราชญ์กษัตริย์ผู้ชาญฉลาดอย่างแท้จริง เป็นประเพณีที่ตกทอดมาจากคนโบราณ
เหล่าขุนนางและบัณฑิตผู้มากรู้ในที่นี้พากันพยักหน้าชื่นชมและเห็นชอบ
จากนั้น ทหารทัพอีกาดำสองคนถือแส้หนังวัวชโลมน้ำ กระทำหลายสิ่งพร้อมกัน หวดกระดูกศพเฮ่อโหย่วเจี้ยนอย่างโหดเหี้ยม
เฆี่ยนตีหลายคราจนกระดูกศพเริ่มแตกละเอียด
ขุนนางใกล้เคียงถูกกระดูกแตกเสี่ยงๆ ทั่วสารทิศดีดกระเด็นโดนใบหน้า ร่วงหล่นลงในถ้วยแต่กลับไม่กล้าขยับเขยื้อน
หลิวรุ่ยอิ่งมองขุนนางบุ๋นอาวุโสไว้หนวดเคราผมหงอกเหล่านั้น พวกเขาถึงกับตกตะลึงกับฉากนี้จนต้องหลับตาและท่องบทสวดภาวนา…
ในทางตรงกันข้าม เหล่าราษฎรด้านหลังกลับสงบนิ่งเสียยิ่งกว่า
เกรงว่านี่จะเป็นสามลัทธิเก้าอาชีพ หลากหลายหน่วยงานเข้าร่วมงานเลี้ยงร่วมกันเป็นครั้งแรก
ในอาณาจักรห้าอ๋อง สถานะของผู้คนจะถูกจัดแบ่งตามหน่วยงานอาชีพอย่างเคร่งครัด
ในบรรดาเก้าอาชีพยังแบ่งออกเป็นเก้าอาชีพระดับบน เก้าอาชีพระดับกลาง เก้าอาชีพระดับล่าง
เฉกเช่นเจ้าขุนมูลนาย ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ผู้เร้นกาย บุคคลยิ่งใหญ่น่าเคารพในโลกวรรณกรรม ชาวไร่ชาวนา พ่อค้าหาบเร่ เหล่านี้ล้วนเป็นกลุ่มเก้าอาชีพระดับบน
บัณฑิต องครักษ์ สิ่งที่เรียกว่ากึ่งเทพอื่นๆ ล้วนเป็นกลุ่มเก้าอาชีพระดับกลาง
สำหรับเก้าอาชีพระดับล่างเป็นอาชีพนักแสดงปาหี่ นางคณิกา พวกพฤติกรรมลักเล็กขโมยน้อยที่ผู้คนรังเกียจ
ส่วนสามลัทธิกลับไม่ได้หมายถึงศาสนาเฉพาะสามประเภท แต่เป็นชื่อเรียกรวมของสามแขนงคือ วรรณกรรม วิถียุทธ์ ศิลปะ
หลิวรุ่ยอิ่งเป็นสายบู๊ ในขณะที่เริ่นหยางเป็นสายบู๊ควบคู่ไปกับโปรดปรานการปรุงอาหาร นี่เป็นการผสมผสานระหว่างวิถียุทธ์กับศิลปะ
ครั้นเฆี่ยนเสร็จ โครงกระดูกบนชั้นเหลือเพียงกะโหลกศีรษะ ส่วนลำตัวถูกเฆี่ยนจนแหลกละเอียด
ในตอนนี้เอง ทัพอีกาดำเริ่มจัดวางภาชนะสำหรับดื่มให้ทุกคน
จอกฉลุลายสีฟ้าอ่อน ในนั้นบรรจุยอดสุราธาราหยกที่ไม่อาจทราบชนิด
ฮั่ววั่งยืนอยู่กลางแท่นสูงอีกครั้ง ยกจอกสุราขึ้นและกระแอมในลำคอ
“ลมหนาวติ้งซี รัฐติงเย็นเยือก ควันไฟพวยพุ่ง ชูธงขึ้นสูง
วันนี้ดื่มกับทุกท่านเต็มที่ ย้อนนึกสงครามนองเลือดแต่เก่า พวกที่ร้องจงร้องต่อไป พวกที่เต้นจงเต้นให้สุดแรง หวนรำลึกวันวานยังหวาดกลัวไม่เสื่อมคลาย
ตัวข้า ตวัดกระบี่เทพฟาดฟันหมาป่า ติ้งซีสงบมั่นคง สืบทอดการสนับสนุนจากห้ารัฐ รวมแผ่นดินเข้าด้วยกัน
ครั้นเหลียวมองห้ารัฐเจ็ดสิบสามเมืองของข้า ผู้ซื่อสัตย์ภักดีมากมายดั่งเกล็ดปลา กลับกันข้ามีกองทัพแข็งแกร่งนับล้านในห้าหัวเมือง ทหารชั้นยอดและแม่ทัพกล้าหาญราวปลาไนข้ามแม่น้ำ
แต่กระนั้น เฮ่อโหย่วเจี้ยนขายรัฐติง ล่อลวงศัตรูต่างแดน ปลุกปั่นราษฎร ก่อความวุ่นวายที่ชายแดน
แม้คนชั่วตัวตาย ตระกูลสิ้นซาก มารยาเศษสวะ
เคราะห์ดีที่กำจัดกบฏโดยเร็ว ทุกคนหวนกลับบ้านเกิด ตัวข้าก็เบาใจ
มีชาวเมืองจี๋อิง ผู้นำห้าเมืองชายแดน รวบรวมผู้มากปัญญาในใต้หล้า ต่อสู้กับความไม่เที่ยงสี่ฤดู
ขจัดทหารหมาป่า ปกป้องบ้านเมือง
โบราณว่าไว้ ยืดอกเผยความกล้า ยกดาบร่ายรำ โบกสะบัดธง ปกเสื้อสั่นตามองไกล
ทหารหมาป่ามีสิ่งใดให้หวาดกลัว ดาบคมม้าศึก ทะยานอิสระ! เลือดเหล็กพันลี้ย้อมธง ทรายเรียบหมื่นลี้บดบังสุริยันลับฟ้า
สงสารแต่ชายหนุ่มผู้กล้าเมืองติ้งซีข้า โศกเศร้าอาลัยในใจไม่รู้จบ ฟังเสียงต่อสู้ดุเดือดนับร้อยปี ชมเส้นทางงามทอดยาวสองหมื่นลี้
วันนี้ บนที่นั่งมีสุรามังกรเหินร่ายรำ ชาหงส์เริงระบำ พับดอกไม้ทำตะเกียบ อุ้งมือต่างช้อน ทุกท่านและตัวข้าจะมองดูวีรบุรุษแห่งทุ่งหญ้าด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่คำนึงถึงเรื่องรุ่งเรืองสูญสิ้นในอนาคต
กระบี่สามฉื่อกวัดแกว่งไปตามสถานการณ์ ทั่วหล้าตกตะลึง หอกยาวเจ็ดจั้งพลิกสถานการณ์ ชั่วชีวิตนี้ไม่มัวเมา
กลัดกลุ้มเศร้าใจไร้สาเหตุ ทอดถอนใจเมื่อใดทหารหมาป่าจะสูญสิ้น ไม่กล้าขึ้นเสียง เกรงลิขิตสวรรค์ไม่ยอมให้เวลาผันผ่าน
งานเลี้ยงใหญ่คงอยู่ชั่วขณะ แผ่นดินเรืองรองคงอยู่ชั่วนิรันดร์
วันนี้ดื่มด่ำสุราชั้นยอด วันหน้ามึนเมาสัญจร
บัณฑิตสูงส่ง ประพันธ์กวีปราชญ์ แม่ทัพสวมเกราะหุ้มกาย สละชีพนองเลือด
ร่วมยินดีสหายเก่ายังอยู่ ภูผาธาราไร้สลาย ยอดเขาดังเก่า หวนคืนตามเดิม
ยอดเขาเมฆพัดเอื่อย ปกป้องแผ่นดิน
สืบทอดเจตนารมณ์บรรพชน พิชิตข้าศึกกลางดึกสงัด
ผ่านศึกยาวนาน เป็นตายพรากจาก จนใจร่ำสุราตากลมหนาว เลือดย้อมชุดวิญญาณไม่เลือนหาย
ยี่สิบปีหวนกลับบ้าน มีที่ใดไม่ใช่บ้านเกิด
เจ็ดพันคนควบม้าห้อทะยาน ไหนเลยจะแลกมาซึ่งคงกระพัน
บัดนี้ สุริยันฉายแสงวีรชน ผู้มากฝีมือทุกท่าน วีรบุรุษทุกหนแห่ง
ตัวข้าปีติยินดียิ่ง ราวกับความรุ่งโรจน์มาเยือนอีกครั้ง!
ผู้รักษ์โบราณ ครุ่นคิดเป็นทุกข์ ทุกท่านจงวางใจ
เชิญดื่มและร้องรำให้หนำใจ เพลิดเพลินให้เต็มที่!”
จากนั้นฮั่ววั่งรับสุราเลือดหมาป่าชามใหญ่จากทัพอีกาดำมาดื่มจนหมดในอึกเดียว
ขุนนางบุ๋นจดบันทึกไว้ทันทีโดยมีชื่อกลอนว่าติ้งซีอ๋องจัดเลี้ยงสุราเมืองจี๋อิง
ตั้งแต่นั้นมา เมืองจี๋อิงได้กลายเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญของอาณาจักรติ้งซีอ๋อง ตามด้วยกลอนติ้งซีอ๋องจัดเลี้ยงสุราเมืองจี๋อิงบทนี้ไม่นานก็แพร่กระจายไปทั่วหล้า
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นเหล่าบัณฑิตอาวุโสที่ไม่เห็นด้วยกับการเฆี่ยนศพของฮั่ววั่งเมื่อครู่ ตอนนี้กลับมีหนึ่งเพิ่มขึ้นสองตื่นเต้นราวกับว่าพวกเขาได้ยินเสียงแห่งปราชญ์อย่างไรอย่างนั้น
เขาก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่า ฮั่ววั่งจะเจ้าบทเจ้ากลอนทั้งยังมีระดับความลึกซึ้งถึงเพียงนี้ ดูเหมือนว่าห้าอ๋องในใต้หล้าไม่มีผู้ใดน่าคบหาอย่างแท้จริง
“คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะทรงโดดเด่นทั้งสายบู๊ท่ามกลางหมู่วีรบุรุษและสายบุ๋นในแวดวงศิลปะ ฝีมือช่างแยบยลยิ่ง!”
หลิวรุ่ยอิ่งก้าวไปข้างหน้าและดื่มเหล้าอวยพรแก่ฮั่ววั่ง
“ฮ่าๆ นายกองหลิวอย่าสวมหมวกสูงให้ข้าเชียว ข้าเพียงสูญเสียเวลามานานหลายปี กาลเวลาสูญเปล่าไปบ้าง ความรุ่งเรืองล่มสลายใต้หล้าในวันข้างหน้ายังต้องรอเจ้าและวีรบุรุษหนุ่มปฏิวัติ”
วันนี้ฮั่ววั่งอารมณ์ดียิ่ง พูดไปก็ตบไหล่หลิวรุ่ยอิ่งไปพลาง
ระหว่างฝ่ามือตบขึ้นลง พลังงานซ่อนเร้นผ่านจุดเจียนจิ่ง[1]แทรกซึมเข้าไปในร่างกาย แม้แต่กระบี่หยางแท้อวี้จิงในตำหนักเหลืองก็ไม่ตอบสนองใดๆ
หลังจากดื่มสุราไปสามยก นายทหารทัพอีกาดำจึงจัดจานและยกอาหารมา
เมื่อมองดูฝ่ามือใหญ่เท่าใบพัดเหล่านั้นกำลังทำเรื่องที่พิถีพิถันอยู่ในขณะนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็รู้สึกตลกร้ายยิ่งนัก
หากบอกว่ามือของพวกเขาอาจจะเพิ่งสังหารคนไปเมื่อเช้านี้ แต่ตอนนี้กลับยกอาหารมาให้ทาน ไม่รู้ว่าจะมีสักกี่คนที่รับประทานลง การผสมผสานระหว่างความกล้าหาญและความประณีต ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าน่าสนใจยิ่งนัก รู้สึกว่าการเดินทางครั้งนี้คุ้มค่า
ตะเกียบงาช้างหุ้มเงินหุ้มทองคู่หนึ่งหนักอึ้งอยู่ในมือ เสียงกระทบกับจานหินโมราชัดเจนและไพเราะเสนาะหูยิ่ง
สีสันไม่หลากหลาย แต่ทุกอย่างล้วนประณีตมาก
โดยเฉพาะโจ๊กข้าวหอมเมล็ดบัวถ้วยนั้น เนื้อเหนียวข้นชุ่มฉ่ำ หวานอร่อย เคลือบกระเพาะก่อนดื่มสุรา ลดความแสบร้อนหลังดื่มสุรา ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งอารมณ์ค้างเติ่ง
ลิ้มรสอาหารกว่าห้ารสชาติเสร็จสิ้น นายทหารทัพอีกาดำตั้งระฆัง กลองและแขวนเป้าธนูกระดาษเรียบร้อย พร้อมกันนั้นปล่อยให้เหล่าขุนนางบุ๋นสนุกกับงานเลี้ยงตามลำน้ำคดเคี้ยวด้วยตนเอง ทั้งยังมีพู่กัน หมึกและกระดาษจำนวนไม่น้อยเช่นกัน
“ทังหมิง บุตรชายของเจ้าตอนนี้อยู่ที่ใด”
ฮั่ววั่งเอ่ยถาม
“เจ้าลูกหมาและมารดาของเขาล้วนอยู่ในจวนผู้ควบคุมรัฐติงพ่ะย่ะค่ะ”
ทังหมิงประหม่า สุราที่ดื่มไปเมื่อครู่กลายเป็นเหงื่อเย็นๆ ในพริบตา
“เร่งส่งคนไปรับบุตรชายของเจ้า งานเลี้ยงยิ่งใหญ่เพียงนี้หากมีคนหนุ่มรุ่นเยาว์เพิ่มมากขึ้นคงจะดีไม่น้อย ไม่เช่นนั้นมีเพียงผู้เฒ่าหยอกเล่นกันจะสนุกสนานได้อย่างไร อีกอย่างสุราของเขาที่ตอบแทนข้าในจวนของเจ้าในวันนั้น วันนี้สามารถเบิกเงินได้!”
ฮั่ววั่งกล่าว
ทังหมิงไร้ทางเลือกจำต้องปฏิบัติตาม
…………………………
ภายในหัวเมืองรัฐติง
วันนี้เจ้าหมิงหมิงไม่ได้ออกไปข้างนอก
ยามนี้ นางกำลังถือถ้วยชาและมองกลุ่มผู้คนขวักไขว่ไปมาทางหน้าต่าง
‘พวกเขากำลังยุ่งอยู่กับสิ่งใด เรื่องราวเบื้องหลังเป็นเช่นไร’
เจ้าหมิงหมิงอดคิดในใจไม่ได้
ทันใดนั้น นางสัมผัสได้ถึงไอสังหารคล้ายมีคล้ายจะไม่มี
เจ้าหมิงหมิงรู้สึกได้ว่าไอสังหารนี้ไม่ได้พุ่งเป้ามาที่นาง แต่กลับพุ่งเป้ามายังโรงเตี๊ยมแห่งนี้ต่างหาก
“ผู้ใดกล้าก่อปัญหาในโรงเตี๊ยมพูนโชคกัน…”
ในใจเจ้าหมิงหมิงก็ไม่อาจเข้าใจเช่นกัน
ไม่ต้องเอ่ยถึงผู้คนที่พักในโรงเตี๊ยมพูนโชคล้วนเป็นผู้ทรงเกียรติจากทุกที่ในใต้หล้า เพียงแค่ป้ายโรงเตี๊ยมพูนโชคสี่ตัวอักษรนี้ก็หาใช่สถานที่ที่ผู้ใดคิดจะก่อปัญหาได้
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อสัตว์อสูรแห่งเก้าขุนเขาเดินทางไปทั่วโลกมนุษย์ล้วนมีกฎเกณฑ์อย่างชัดเจน อนุญาตให้เข้าพักได้แค่โรงเตี๊ยมพูนโชค อีกทั้งได้รับอนุญาตให้เข้าพักโรงเตี๊ยมพูนโชคในแต่ละแห่งสูงสุดเจ็ดวันเท่านั้น
เนื่องจากห้ามต่อสู้ฆ่าฟันใดๆ ในโรงเตี๊ยมพูนโชค ฉะนั้นสัตว์อสูรที่มาจากภูเขาเมื่อหลายปีก่อนจึงใช้โรงเตี๊ยมพูนโชคเป็นเครื่องรางป้องกันตน ไม่ว่าจะถูกมนุษย์ไล่ฆ่าเท่าใด บาดเจ็บสาหัสเพียงไหน ตราบใดที่สามารถกลับไปถึงโรงเตี๊ยมพูนโชค นั่นก็นับว่าช่วยชีวิตตนเองได้ครึ่งหนึ่งแล้ว
แต่ที่น่าแปลกคือ โรงเตี๊ยมพูนโชคไม่เคยยอมรับกฎเกณฑ์ข้อนี้มาก่อน แต่จวบจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดลองละเมิด
“คุณหนูข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลไปจับจ่ายซื้อของตามถนนอีกแล้ว และแน่นอนว่าจะขาด ‘เกาลัดคั่วน้ำตาล’ ที่นางโปรดปรานที่สุดไปไม่ได้
“พบเรื่องราวแปลกประหลาดหรือว่าพบคนประหลาดเข้าล่ะ”
เจ้าหมิงหมิงพบว่าไอสังหารดูเหมือนจะอยู่กับเกาลัดคั่วน้ำตาล หลังจากนางเข้ามาในโรงเตี๊ยมพูนโชคก็มลายหายไปจนสิ้น ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยปากถาม สงสัยว่านางจะก่อปัญหาข้างนอกจนทำให้คนแอบหาทางแก้แค้นหรือไม่
“ไม่นี่เจ้าคะ…ข้าซื้อของเสร็จก็กลับมาแล้ว ครั้งนี้ไม่ได้เอื้อนเอ่ยอันใดเสียด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ได้ทะเลาะกับผู้ใด…แต่ไม่ทันระวังไปชนคนผู้หนึ่งเข้า ข้ายังกล่าวขอโทษเขาด้วยเจ้าค่ะ…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าวด้วยเสียงสะอื้นและคับข้องใจ
“แต่ว่าคุณหนูเจ้าคะ จะว่าไปแล้วคนผู้นั้นก็แปลกจริงๆ! ทั้งเนื้อตัวสกปรกส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่ว ไม่สวมอาภรณ์มีเพียงผ้าห่มหนึ่งผืนห่อรอบตัว ถือดาบไว้ในมือไม่รู้ว่าจะพยายามให้ผู้ใดหวาดกลัว คาดว่านี่คงเป็นสิ่งที่พวกมนุษย์เรียกขานว่าบ้าคลั่งกระมัง”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าวต่อไป มือกลับควานเกาลัดคั่วน้ำตาลหนึ่งกำมือแบ่งให้เจ้าหมิงหมิง
“สกปรกส่งกลิ่นเหม็น ถือดาบห่อผ้าห่ม…”
เจ้าหมิงหมิงพึมพำกับตนเองหลายครั้ง เพียงรู้สึกว่าโลกมนุษย์ช่างมีสิ่งแปลกประหลาดมากมายยิ่งนัก นางไหวไหล่แล้วรับเอาเกาลัดคั่วน้ำตาลคู่กับชาที่ยังดื่มไม่หมดของนางพลางมองออกไปนอกหน้าต่างต่อไป
. ……………………….
ท่ามกลางงานเลี้ยงสุราเมืองจี๋อิง
“นายกองหลิว นี่เป็นสารด่วนจากสังกัดกรมสอบสวนกลาง!”
………………………………………………..
[1] จุดเจียนจิ่ง อยู่บริเวณเหนือไหล่