ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 42 กระบี่ไร้ใจ ดาบตัดสัมพันธ์-1
บทที่ 42 กระบี่ไร้ใจ ดาบตัดสัมพันธ์-1
เมืองจี๋อิง งานเลี้ยงสุราติ้งซีอ๋อง
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวอำลาฮั่ววั่งก่อน เพื่อกลับไปยังค่ายทหารแนวหน้า
ไม่ใช่ว่าเขาคออ่อน แต่เขากำลังนึกถึงสารด่วนที่ส่งมาจากกรมสอบสวนว่าเป็นอะไรกันแน่
ทั้งรู้สึกประหม่าและตื่นเต้น
เมื่ออยู่ในกระโจม สารด่วนที่หลิวรุ่ยอิ่งเห็นนั้นแท้จริงแล้วเป็นกล่องทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสใบหนึ่ง มีกระดาษคาดติดตรงตัวใส่กุญแจ แต่กลับไร้ตราประทับใดๆ ในกล่องนั้นมีสมุดบางๆ เล่มหนึ่งวางอยู่
“กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป…”
หลิวรุ่ยอิ่งอ่านตัวอักษรที่อยู่บนหน้าปก
นี่คือตำราเคล็ดฝึกวิชากระบี่ของธาตุไฟเล่มหนึ่ง
ในกล่องยังมีจดหมายอีกฉบับหนึ่ง
หากตัดคำพูดภาษาราชการที่เป็นพิธีรีตองเหล่านั้นออกไป ความหมายโดยส่วนใหญ่กล่าวว่าตำราเล่มนี้เป็นรางวัลที่หลิวรุ่ยอิ่งเลื่อนขั้นสามระดับติดต่อกัน เนื่องจากเคล็ดฝึกวิชากระบี่จำเป็นต้องคัดเลือกและตรวจสอบขั้นตอนที่ไม่จำเป็นออกไปอย่างพิถีพิถัน ด้วยเหตุนี้จึงล่าช้าไปสองสามวัน
หลิวรุ่ยอิ่งเพิ่งทะลวงจุดเหม่าซึ่งเป็นจุดในระบบเมื่อไม่นาน กลายเป็นบรมภูมิเทียม สามารถใช้พลังธาตุไฟแห่งห้าธาตุได้
ไม่กี่วันมานี้เขากังวลอยู่ตลอดว่าไม่มีเคล็ดฝึกวิชากระบี่ที่เหมาะสมเพื่อทำความเข้าใจและฝึกฝนมัน คิดไม่ถึงว่ากรมสอบสวนจะให้ตำราเขามาเล่มหนึ่ง
เขารู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากลและบังเอิญเกินไป ถึงขั้นเหลือเชื่อด้วยซ้ำ
หมอเทวดาเยี่ยบอกว่าตอนที่ฝึกวิชาบรมภูมิเทียมนั้น ไม่มีผู้ใดแอบมองอยู่ข้างๆ และเรื่องที่ตนบรรลุขั้นบรมภูมิเทียมนั้นยิ่งไม่มีใครล่วงรู้ หรือว่าบนโลกนี้จะมีเรื่องบังเอิญอยู่จริง
จากการบรรลุขั้นติดต่อกันสามระดับจนถึงได้รับตำราเคล็ดฝึกวิชากระบี่อย่างไม่มีสาเหตุ หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าการกระทำทุกย่างก้าวของตนอยู่ภายใต้สายตาใครสักคน และโชคชะตาก็เหมือนกับเส้นด้ายเส้นหนึ่ง ถูกคนผู้นั้นด้นเข้าไปในรูเข็ม โดยไม่รู้ว่าปักอยู่บนสิ่งใด
เมื่อนั่งคิดอยู่ครึ่งค่อนวัน หลิวรุ่ยอิ่งยังหาเค้าใดๆ ไม่พบ จึงอ่านตำราเคล็ดวิชากระบี่เจ็ดถ้อยสันดาปไปเสียเลย
กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป เป็นวิชาฝึกกระบี่ที่ใช้ธาตุไฟเป็นพื้นฐาน
ผู้ที่ฝึกฝนสำเร็จ หนึ่งกระบี่สามารถแผดเผาก้อนเมฆและทะเลให้ลุกโชน เผาไหม้ท้องฟ้าและผืนดิน บันไดสวรรค์พังทลาย ก้อนหินแตกหัก ประหนึ่งหกมังกรหมุนรอบดวงอาทิตย์อย่างเกรียงไกร กระบี่ยี่สิบแปดกระบวนท่าสร้างความเปลี่ยนแปลงได้หลากหลาย ตั้งรับและจู่โจมควบคู่กัน มีทั้งการโจมตีในระยะกว้าง และทีเด็ดของการโจมตีในระยะแคบ
อีกทั้งยังแนบวิชามันตราเจ็ดอักษรมาด้วย สามารถทำให้พลังกายแปรเปลี่ยนเป็นพลังปราณบรรพบุรุษแห่งอัคคีผู้ฝึกตนต้องฝึกถึงขั้นบรมภูมิ หรืออย่างน้อยต้องเปิดจุดในระบบธาตุไฟอย่างหนึ่งถึงจะสามารถฝึกฝนได้
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นเงื่อนไขของการฝึกฝนเหล่านี้ สำหรับตนแล้วประหนึ่งฟ้าดินสร้างขึ้น
ครึ่งแรกเป็นการฝึกพลัง ครึ่งหลังเป็นการวิชากระบี่ ถ้าอยากใช้วิชากระบี่นี้ให้ประสบความสำเร็จ จะต้องใช้พลังเหล่านี้ควบคู่กัน
สิ่งที่เรียกว่าเจ็ดถ้อยสันดาปนั้น คือกูณฑ์ ปราพก อัคคี อัคนี เดช เพลิง เตโช
แต่ละตัวอักษรล้วนเป็นตัวแทนคุณสมบัติและลักษณะเฉพาะของไฟแต่ละชนิด
กูณฑ์คือไฟแห่งความสดใสรักอิสระ ปราพกคือไฟแห่งความแข็งแกร่งและซื่อตรง อัคคีคือไฟแห่งความเด็ดเดี่ยวมั่นคง อัคนีคือไฟแห่งความสูงส่งและรักตัวเอง เดชคือไฟแห่งความเจ้าเล่ห์และอันตราย เพลิงคือไฟแห่งการรุดหน้าอย่างกล้าหาญ เตโชคือไฟแห่งการวางแผนและกลยุทธ์
มันตราเจ็ดอักษรสอดคล้องกับจิง เลือด ลมปราณ ไขกระดูก สมอง ไต และหัวใจในร่างกายมนุษย์
แต่ละตัวอักษร สามารถแปลงส่วนที่สอดคล้องกับร่างกายให้กลายเป็นพลังปราณบรรพบุรุษแห่งอัคคีได้
ผู้ฝึกตนสามารถเลือกที่จะฝึกวิชามันตราเจ็ดอักษรให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยฝึกวิชากระบี่ แต่หลังจากที่ฝึกแต่ละตัวอักษรเสร็จแล้ว จะต้องฝึกวิชากระบี่ที่สอดคล้องกับมัน
เจ็ดอักษรไม่แบ่งก่อนหลัง ล้วนอาศัยความยินยอมของผู้ฝึกตนเป็นหลัก
หลิวรุ่ยอิ่งครุ่นคิด แล้วเลือกตัวอักษรเพลิง
ไฟที่รุดหน้าอย่างกล้าหาญ
เขาหวังว่ากระบี่ในมือของตนและเส้นทางที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาจะสามารถฟันฝ่าขวากหนาม รุดไปข้างหน้าอย่างไร้อุปสรรค ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะมีภูตผีปีศาจเช่นไร จะเป็นยุง หนู หรือแมลงสาบ จะถูกข้าฟันด้วยกระบี่เดียว
เพลิงสอดคล้องกับไต
เป็นหลักของการก่อเกิดชีวิต และเป็นต้นกำเนิดของการกักเก็บ
เส้นลมปราณไตเริ่มต้นจากจุดหย่งเฉวียนที่ฝ่าเท้าและไปสิ้นสุดที่จุดซูฝู่ที่หน้าอก มีจุดฝังเข็มทั้งหมดยี่สิบเจ็ดจุดเนื่องจากระบบการไหลเวียนของเส้นลมปราณไตจะอยู่ในช่วงยามโหย่ว[1]ของวัน ดังนั้นการฝึกฝนในยามโหย่วจะได้ผลลัพธ์เพิ่มเป็นสองเท่า ทว่าตอนนี้ใกล้จะหมดเวลาแล้ว หลิวรุ่ยอิ่งจึงรีบหลับตานั่งสมาธิ เฝ้าดูจุดตันเถียนแล้วเริ่มฝึกตัวอักษรเพลิง
เขาตั้งจิตให้จมดิ่งสู่ข้างในร่างกาย สื่อสารกับกระบี่หยางแท้อวี้จิงที่อยู่ในตำหนักเหลืองของตน พบว่ายังอยู่ในสภาวะที่ทึ่มทื่อเหมือนเดิม
ทว่าเมื่อเห็นจิตของหลิวรุ่ยอิ่งมาที่นี่ กลับสดใสร่าเริงผิดปกติในทันใด เหมือนหนูน้อยจอมซนขี้อ้อนก็ไม่ปาน
หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่รู้ว่าจะสื่อสารเช่นไร จึงได้แต่ใช้จิตห่อหุ้มรอบตัวมันสองสามรอบ เพื่อปรับสภาพการบินขึ้นลงของมัน
ต่อจากนั้น หลิวรุ่ยอิ่งรวมพลังอินหยางภายในร่าง สร้างพลังอย่างต่อเนื่อง จากนั้นบีบอัดและกลั่นพลังนี้ให้บริสุทธิ์อยู่ในจุดตันเถียนซ้ำไปซ้ำมา
เม็ดเหงื่อเล็กๆ ผุดขึ้นมาบนหน้าผากเขา ทุกครั้งที่มีการบีบอัดล้วนดูดพลังทั่วร่างของหลิวรุ่ยอิ่ง…และไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร จุดฝังเข็มทั้งยี่สิบสี่จุดทั่วร่างอวบอิ่ม หลิวรุ่ยอิ่งพยายามควบคุมจิตให้นิ่ง ปรับพลังอินหยางให้จิตสงบ สุดท้ายจึงรวบรวมพลังอันบริสุทธิ์นี้ส่งไปยังจุดเหม่า
พลังที่แข็งแกร่งและบริสุทธิ์นี้ไร้การผูกมัดที่จุดเหม่า จึงระเบิดออกอย่างฉับพลัน
หลิวรุ่ยอิ่งเพ่งพลังจิตทั้งหมดให้จมดิ่งไปที่จุดเหม่า รู้สึกได้ถึงฟ้าลมคำรามที่อันตราย ดุจเหตุการณ์วันสิ้นโลกดั่งคำตัดสินจากสวรรค์
จุดเหม่าของหลิวรุ่ยอิ่งเพิ่งเปิดได้ไม่นาน เหมือนเด็กทารกแรกเกิด ยังไม่โตพอ เมื่อพลังบริสุทธิ์มากมายหลั่งไหลเข้ามาจึงยากที่จะย่อยได้ในชั่วเวลาเดียว
“แย่แล้ว…”
หลิวรุ่ยอิ่งแอบพูดในใจ
เมื่อครู่มัวแต่อยากเร่งทำให้สำเร็จ แต่กลับลืมไปว่าทุกอย่างล้วนดำเนินไปตามกฎเกณฑ์ ด้วยความจนใจ จึงต้องปล่อยพลังที่เหลือออกมา กระจายไปทั่วร่าง ทว่าเมื่อครู่นี้รู้สึกเปลืองแรงอย่างยิ่ง
เมื่อสังเกตจุดเหม่าอีกครั้ง พลังที่เหลือมีเพียงหนึ่งในสามส่วนเท่านั้น ทว่าสถานการณ์กลับมั่นคงแล้ว อยู่ในการควบคุม แล้วจึงโคจรจุดเหม่าทันที ปรับพลังห้าธาตุเข้าด้วยกัน สักพัก ภายในจุดเหม่ามีแต่แสงสีแดงเพลิง ร้อนแรงดั่งไฟเผา ประหนึ่งช่อดอกไม้ที่มีสีสันงดงาม
หลิวรุ่ยอิ่งดึงจิตออกจากจุดเหม่า อยากจะพักผ่อนเล็กน้อย ต่อจากนั้นเริ่มฝึกมันตราอักษรเพลิงในสภาพที่เตรียมพร้อมอีกที
วิชามันตราเจ็ดอักษรดูเหมือนจะเป็นการฝึกลมปราณ แท้จริงแล้วคือการฝึกจิต
หากเจ้าไม่มีจิตใจและพลังแห่งความเด็ดเดี่ยวห้าวหาญ เช่นนั้นไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ฝึกไม่สำเร็จ
และการรุดหน้าไปอย่างกล้าหาญของอักษรเพลิงนั้น แบ่งออกเป็นสามขั้น
ขั้นแรกของการรุดหน้าอย่างกล้าหาญ เป็นการเดินทางของชายธรรมดาที่มุทะลุดุดัน
ขั้นนี้ใช้แค่พลังที่แข็งแกร่งเท่านั้น ไม่ต้องใช้สมอง ยามที่อีกฝ่ายอ่อนแออาจอาศัยแค่พลังแห่งความดุดันโหดเหี้ยมเข้าสู้ แต่นั่นไม่ใช่วิธีที่ยืนหยัดได้นาน
ขั้นที่สองของการรุดหน้าอย่างกล้าหาญ คือภายใต้ความหวาดกลัวแต่ไม่เสียความสามารถทางด้านร่างกาย
แม้จะเจออุปสรรคที่เล็กมาก แต่ยังรู้สึกทำลายยากเย็นเหมือนปีนเขาข้ามทะเล นิ่งสงบราวมดเขย่าต้นไม้ รู้สึกว่าตนตัวเล็กตัวน้อยตลอดเวลา บางครั้งเกิดความคิดอยากจะลอง แต่มักจะพะวงหน้าพะวงหลังอยู่เสมอ
ทว่า ยามที่เจ้าบรรลุสองขั้นแรกได้แล้ว ขั้นที่สามถึงจะประสบความสำเร็จได้ในที่สุด
ขั้นที่สามของการรุดหน้าอย่างกล้าหาญ คือจิตและกายรวมเป็นหนึ่ง
สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างใจเย็น นำมารวมกับสภาพความเป็นจริงของร่างกาย วางแผนแล้วจึงลงมือจัดการ เตรียมตัวให้พร้อมแล้วค่อยๆ ทำ ไม่เร่งรีบ ไม่โลภสิ่งเร้าภายนอก หลังจากแม่นยำในทิศทางแล้วทำสำเร็จประหนึ่งโจมตีด้วยลูกศรที่ออกจากคันธนู จากนั้นทั้งใต้หล้าจึงสงบลง
เช่นนี้ถึงจะเป็นความหมายแฝงในแก่นแท้ของการรุดหน้าอย่างกล้าหาญ เป็นโฉมหน้าที่แท้จริงของมัน
น่าเสียดาย คนบนโลกใช้ในทางที่ผิดมานาน…มีลูกหลานหลายชั่วอายุคนไร้พรสวรรค์ ไร้คุณธรรม ไร้ความสามารถ ไร้การวางแผน อาศัยพลังอำนาจของการรุดหน้าอย่างกล้าหาญบุกโจมตีข้าศึกด้วยความโอหัง
หลังจากผ่านไปนานแรมปี คาดว่าบนถนนเส้นนั้นคงเต็มไปด้วยซากศพกระมัง…
“เมื่ออักษรเพลิงครบสามขั้น กระบี่ข้าออกจากฝักฟาดฟันนับร้อยครั้ง ทะลวงเวหาผ่าตะวัน กวาดล้างคนชั่วข้างองค์จักรพรรดิ”
หลิวรุ่ยอิ่งอ่านเพลงดาบของอักษรเพลิง รู้สึกมีสมาธิขึ้นมาในทันใด
ทว่าเขาในเวลานี้ ยังต้องการโอกาสที่เหมาะสม…โอกาสและจังหวะเข้าสู่การรุดหน้าอย่างกล้าหาญขั้นที่สามของอักษรเพลิง
…………………………
หัวเมืองรัฐติง ในโรงเตี๊ยมพูนโชค
เกาลัดคั่วน้ำตาลกำลังนอนอยู่นอกห้อง พร้อมกับเสียงกรนเบาๆ
ข้างหมอนคือเกาลัดคั่วน้ำตาลที่กินหมดแล้วถุงหนึ่ง…
นางกำลังฝันพร้อมเดาะปากเล็กเสียงดัง เหมือนยังกินไม่พอ
ในห้องของเจ้าหมิงหมิงยังมืดอยู่ ดูเหมือนจะหลับแล้ว
อันที่จริงนางยังคงอยู่ในท่าเดิมเมื่อตอนกลางวัน มองออกไปนอกหน้าต่าง…ไม่รู้ว่ามีสิ่งใดนอกหน้าต่างดึงดูดความสนใจของนางเช่นนี้
เกาลัดสองสามเม็ดที่ยังกินไม่หมดวางอยู่บนโต๊ะ กับน้ำชาครึ่งถ้วยที่โดนลมหนาวพัดจนกลายเป็นชาเย็นๆ
น้ำชาแน่นิ่งอยู่ในถ้วยน้ำชานานโข เกิดเป็นคราบวงกลมภายในถ้วย
แผงร้านค้าร้านสุดท้ายบนถนนเก็บร้านแล้ว ทั่วท้องถนนโล่งในทันใด นิ่งเงียบเหมือนดอกไม้เหี่ยวเฉา ไร้ชีวิตชีวา
เจ้าหมิงหมิงมีเรื่องในใจ คนข้างกายต่างบอกนางให้ระบายออกบ้างถึงจะดี ทว่านางกลับไม่รู้ว่าควรจะพูดเช่นไร และยิ่งไม่รู้ว่าควรจะพูดกับใคร
ตอนเด็ก แม่จะเล่านิทานหลายเรื่องให้นางทุกวัน
นางมักเริ่มอ้อนทุกครั้งที่นิทานใกล้มาถึงท้ายเรื่อง ขอให้เล่าต่ออีกหนึ่งเรื่อง…เล่าอีกหนึ่งเรื่องสุดท้าย
ตอนนั้น ไม่รู้ว่าเหตุใดแม่ถึงมีนิทานเล่าให้ตนฟังหลายเรื่องขนาดนั้น
ทว่าตอนนี้นางกลับเข้าใจแล้ว มีเรื่องเล่าใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดี
ยิ่งมีเรื่องเล่าเยอะ ความคับข้องใจก็ยิ่งเยอะ ความเจ็บปวดก็ยิ่งมาก ความเจ็บช้ำก็มากเป็นทวีคูณ…
ต่างจากมนุษย์ สำหรับอสูรแล้วความทรงจำคือสิ่งที่ไม่อาจลืมเลือนได้
ความสามารถเช่นนี้ยามที่พวกเขายังเป็นอสูรคือสิ่งที่ดียิ่ง
ไม่ว่าอย่างไรความผิดบางอย่างหากพลาดเป็นครั้งที่สองก็คือความตาย
ในภูเขาเก้ายอดที่เต็มไปด้วยเลือด เหล่าบรรพบุรุษของอสูรได้พัฒนาความสามารถนี้จากรุ่นสู่รุ่น
และตอนนี้ กลับเป็นสิ่งที่โหดร้ายกับพวกเขามากที่สุด
ความทรงจำเป็นศัตรูเก่าของความคิด
ทั้งสองอย่างไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้
ยามที่เจ้าหมิงหมิงเริ่มครอบครองความคิด นางใช้เวลาสามเดือน เล่าเรื่องในหัวทั้งหมดที่ตนจำได้ให้ตนเองฟังอีกหนึ่งรอบ
รอบนี้ เต็มไปด้วยอารมณ์และฉากของทุกอย่าง ทุกเรื่องราวราวกับได้ระบายใหม่อีกครั้ง ทุบจินตนาการที่เอ่ยถึงเมื่อครู่ให้แตกละเอียด
เจ้าหมิงหมิงเคยลำบากเช่นนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง…แต่กลับไม่สามารถยอมรับความทรมานทั้งหมดนี้ได้อีกเป็นครั้งที่สอง
และด้วยเหตุนี้ นางจึงปกป้องเกาลัดคั่วน้ำตาลเป็นอย่างดี
อย่างน้อยตั้งแต่ที่นางเริ่มมาอยู่ข้างกายตน ก็ไม่เคยทำให้นางต้องคับข้องใจจดจำเรื่องราวน่าเศร้าอะไรอีก
สรรพสิ่งทั้งหลายที่อยู่บนถนนนอกหน้าต่าง บ้างก็สุข บ้างก็ทุกข์…แต่ไม่ว่าอย่างไร พวกเขามีสิทธิ์ที่จะเลือกความสุขหรือความทุกข์ทั้งนั้น
นางเห็นพ่อค้าหาบเร่ขายชาอบดอกไม้ ถือเงินที่ขายได้เล็กน้อยของวันนี้วิ่งเข้าไปในโรงเหล้าเล็กๆ แห่งหนึ่งเล่นงัดข้อดื่มสุรากับโต๊ะข้างๆ มีความสุขเป็นอย่างยิ่ง
วันพรุ่งนี้อาจจะมีหิมะตก หรือตลาดอาจจะเงียบในวันมะรืน สิ่งเหล่านี้ล้วนมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของเขา ทว่าเขากลับไม่สนใจ ทุ่มเททั้งกายใจอยู่กับปัจจุบัน เพลิดเพลินกับความสุขที่อยู่ตรงหน้า
แต่ละฉากล้วนอยู่ในสายตาของเจ้าหมิงหมิง อบอุ่นหัวใจยิ่งนัก
……………………………………………………………………….
[1] ยามโหย่ว เวลา 17.00-19.00 น.โดยประมาณ