ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 51 พู่กันดั่งมีด วาจาบาดลึก-4
บทที่ 51 พู่กันดั่งมีด วาจาบาดลึก-4
“นายกองหลิวอยู่ที่ใด”
ยามที่ระเบิดหลงไฟกระจายออกไปได้ไม่นาน ก็เห็นหัวหน้าอาคารฉินพาคนในอาคารกรมสอบสวนกลุ่มหนึ่งเร่งมาถึง
“ข้าอยู่นี่…”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดอย่างหมดแรง
“นายกองหลิว ท่าน…”
หัวหน้าอาคารฉินมองความวุ่นวายรอบๆ คราบเลือดที่ยังไม่แห้งบนพื้น กลิ่นอายอ่อนๆ ของการสังหารและพลังแห่งธาตุไฟที่คละคลุ้งกลางอากาศ ดูเหมือนเมื่อครู่เพิ่งเกิดสงครามใหญ่
แล้วจึงมองหลิวรุ่ยอิ่งอีกครั้ง เวลานี้กำลังนั่งพื้นพิงกำแพง เหยียดขาที่ได้รับบาดเจ็บและยังมีเลือดไหลอยู่
“พูดแล้วยาว…กลับอาคารกรมสอบสวนก่อนแล้วกัน”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนสองคนประคองหลิวรุ่ยอิ่งกลับทันที เขาสั่งสองสามคนที่เหลือเก็บแผงตำราของมนุษย์แท่งน้ำแข็งกลับไปด้วย
เมื่อถึงอาคารกรมสอบสวน จึงเรียกหมอมาทำแผลที่โดนธนูยิงตรงต้นขา แต่ศรเงาปีศาจ ไม่ใช่แค่ทำแผลแล้วจะหายง่ายขนาดนั้น…
หลิวรุ่ยอิ่งเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้หัวหน้าอาคารฉินฟังอย่างละเอียดอีกครั้ง
หัวหน้าอาคารฉินรู้สึกว่าเรื่องนี้นอกจากเป็นเรื่องแปลกแล้ว ยังเกินความคาดหมายอีกด้วย
รัฐติงเป็นศูนย์รวมยอดฝีมือของอาณาจักรติ้งซีอ๋อง มีข้อมูลข่าวสารละเอียดยิบอยู่ในกรมสอบสวน ไม่มีผู้ใดลักษณะเหมือนผู้ที่หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวถึง…
หากจะกล่าวว่าผู้ฝึกตนที่อยู่ขั้นบรมภูมิของธาตุน้ำ ในใต้หล้านี้ก็มีไม่กี่คนเท่านั้น
ส่วนลูกธนูประหลาดที่ยิงต้นขาของหลิวรุ่ยอิ่ง หัวหน้าอาคารฉินก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน
ทั้งสองคนปรึกษากันไปมาสุดท้ายจึงเก็บไว้เป็นกรณีพิเศษ และยังมีอาวุธของทั้งสองคน
‘ธารน้ำแข็งอาชาเหล็ก’ ของมนุษย์แท่งน้ำแข็ง
‘ศรเงาปีศาจ’ ของยอดนักธนู
ผู้แทนการตรวจสอบพิเศษกรมสอบสวนกลางคนหนึ่ง ถูกโจมตีในถิ่นของกรมสอบสวนถือเป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะการไล่ฆ่าเช่นนี้
หัวหน้าอาคารฉินก็ไม่กล้ารีรอ…หลังจากปล่อยให้หลิวรุ่ยอิ่งพักรักษาตัวแล้วจึงกลับห้องไปเขียนรายงาน
ส่วนหลิวรุ่ยอิ่งไม่สามารถข่มตานอนได้ กระวนกระวายหงุดหงิดใจ เดินไปมารอบๆ…เขาพลันนึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้มนุษย์แท่งน้ำแข็งพูดถึงสัมภาระของตน จึงรีบกลับไปดูที่ห้องของตนเอง
พอเข้าห้อง ก็เห็นบ่าวรับใช้กำลังเก็บกวาดให้เรียบร้อย
ก่อนหน้านั้นเขาไม่อยู่ห้อง บ่าวรับใช้จึงไม่กล้าเข้าไปโดยพลการ จนกระทั่งเขากลับมา หัวหน้าอาคารฉินจึงสั่งบ่าวรับใช้เป็นพิเศษ สั่งให้เข้ามาทำความสะอาดห้องของเขา
หลิวรุ่ยอิ่งมองสัมภาระของตนเองถูกบ่าวรับใช้เก็บใส่ตู้แล้ว คราวนี้จึงไม่สามารถยืนยันว่าคำพูดของมนุษย์แท่งน้ำแข็งเป็นเรื่องจริงหรือโกหก
แต่เขาก็ยังระมัดระวัง…ไม่ได้บอกหัวหน้าอาคารฉินว่าเหตุใดสองคนนี้ต้องไล่ฆ่าตน
“ดูท่ากระบี่เจ็ดถ้อยสันดาปจะล้ำค่ามาก ข้าต้องเก็บรักษาให้ดี…”
เมื่อนึกได้ดังนี้ หลิวรุ่ยอิ่งจึงตัดสินใจไม่นอนแล้ว คัดลอกตำรากระบี่เจ็ดถ้อยสันดาปตลอดคืน
ถึงแม้การคัดลอกตำราเคล็ดวิชาการต่อสู้จะผิดกฎหมาย แต่เนื่องจากเป็นเหตุสุดวิสัย จึงไม่สนใจมากขนาดนั้น
หัวหน้าอาคารฉินได้ยินบ่าวรับใช้บอกว่าหลิวรุ่ยอิ่งขอกระดาษพู่กันและน้ำหมึกจำนวนมาก จึงพูดว่าเขาคงอยากอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้น รายงานต่อกรมสอบสวนกลาง ดังนั้นจึงไม่สงสัยเขา กลับกันเริ่มกังวลว่าหลิวรุ่ยอิ่งจะเขียนเล่าความจริงอย่างไร…จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ตนก็มีส่วนรับผิดชอบเช่นกัน
หัวหน้าอาคารฉินผู้น่าสงสารที่คิดอยากตีสนิทหลิวรุ่ยอิ่ง คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะเริ่มทำงานร่วมกันไม่กี่วันก็เกือบสิ้นชีพแล้ว…
หัวหน้าอาคารฉินอยากจะตบหน้าตัวเองเสียจริง…รู้อย่างนี้ตอนนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องออกไปพร้อมนายกองหลิว เช่นนี้ถึงแม้จะเกิดเรื่องกลางดึกทั้งสองคนก็ยังได้รับผิดชอบร่วมกัน…
แต่คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ จึงได้แต่ถอนหายใจ…แล้วคิดต่อว่าจะใช้คำพูดอ้อมค้อมในการเขียนรายงานอย่างไร ถึงจะเป็นการแสดงตนว่าไม่ได้ละเลยหน้าที่มากเกินไป
………………………….
อาณาจักรติ้งซีอ๋อง
เผียวเจิ้งหงรีบจอดรถม้าหน้าประตูวังติ้งซีอ๋อง
ทังจงซงสวมชุดผ้าไหมหางโจวคอกลมสีดำ รัดเข็มขัดทองลายแมงมุมสีน้ำเงิน ดูถ่อมตัวไม่น้อยเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน แต่ดูแล้วก็ยังขาดความเป็นคุณชายมากความสามารถและมีมารยาทอยู่
หน้าประตูวังมีช่างฝีมือเดินขวักไขว่มากมาย กำลังตัดหิน ซ่อมประตู
ผลงานชิ้นเอกของหลานชายเริ่นหยาง ยังรักษาไว้จนถึงป่านนี้
แม้จะยังซ่อมประตูไม่เสร็จทั้งหมด แต่ป้ายอักษรสี่ตัวใหญ่ ‘วังติ้งซีอ๋อง’ ข้างบนถูกแขวนขึ้นใหม่แล้ว
หน้าประตูวัง ทังจงซงนับว่าเดินผ่านมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่ตอนที่เขาเดินข้ามคานประตู ใจกลับรู้สึกว่าตอนนี้กับตอนที่อยู่นอกประตูเมื่อครูถูกแบ่งเป็นสองทิวทัศน์
ความขมขื่นและปวดร้าวที่ผ่านมายี่สิบกว่าปี แวบเข้าม่านตาภายในชั่วพริบตา ถ้าไม่ใช่เพราะเขากัดลิ้นตนเอง คงจะระเบิดออกมาแล้ว…
ทังจงซงเดินอยู่ข้างหน้า เผียวเจิ้งหงถือกระเป๋าใบเล็กใบใหญ่ บนคอแขวนแมลงเดินตามอยู่ข้างหลัง พร้อมกับทัพอีกาดำที่เดินนำทางเข้าไปในท้องพระโรงด้วยกัน
หากจะบอกว่าทังจงซงไม่คิดอะไร ไม่ตื่นเต้นแม้แต่น้อย เช่นนั้นคงโกหก
แต่เขากลับไม่มีกลอุบายมากมายเหมือนอดีตที่ผ่านมา ระยะห่างของพละกำลังต่างกันมาก…ใช่ว่าใช้กลอุบายก็จะกำราบได้ หากบอกว่ายังพอมีช่องว่างและหนทางเดินไปข้างหน้าอยู่ เช่นนั้นระหว่างเขากับฮั่ววั่งคงเป็นคูน้ำกั้นถนน ไม่ว่าจะวางกลอุบายอย่างไรล้วนสูญเปล่า
ถึงแม้ตนจะมีแผนการอยู่บ้างก็จริง และเคยเรียนวิชาเชื่อมแนวขวางประสานแนวดิ่ง[1]จากคนแปลกหน้า แต่ทุกอย่างล้วนไม่ได้ผลกับฮั่ววั่งติ้งซีอ๋อง
อีกฝ่ายแค่พูดเบาๆ หนึ่งประโยค ก็สามารถทำให้ตนเองย้ายไปอยู่ที่อื่นได้แล้ว ดังนั้นแค่อาศัยคำโกหกจึงปิดบังไม่อยู่ มีเพียงอย่างเดียวคืออยู่เฉยๆ พูดตามความจริง
ทังจงซงเดินเข้าไปในท้องพระโรง ฮั่ววั่งนั่งอยู่บนบัลลังก์
“กระหม่อมทังจงซงกราบบังคมทูลฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!”
ทังจงซงพูดขณะกราบบังคม
“ลุกขึ้นเถิด!”
ฮั่ววั่งขมวดคิ้วเอ่ย
หลังจากลุกขึ้นทังจงซงก็ก้มหน้า ไม่พูดอะไรอีก ฟังฮั่ววั่งบ่นอย่างเงียบๆ
“ตอนที่อยู่จวนผู้ควบคุมรัฐติง เจ้าพูดเก่งกว่านี้ พูดไม่หยุดปาก เหตุใดยามมาอยู่วังติ้งซีอ๋องของข้ากลับนิสัยเปลี่ยน ไม่พูดสักคำ”
ฮั่ววั่งกล่าว
ทังจงซงเงยหน้า มองฮั่ววั่งพลางพูดยิ้มๆ ว่า “ทำให้ท่านอ๋องต้องขำแล้ว ตอนนั้นก็คือตอนนั้น ตอนนี้ก็คือตอนนี้ ตอนนั้นไม่ใช่ตอนนี้ ตอนนี้ไม่ใช่ตอนนั้น…กระหม่อมเห็นวังที่กว้างขวางโอ่อ่า ทหารดุดันน่าเกรงขามเช่นนี้ รู้สึกกลัวขึ้นมา ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
ฮั่ววั่งเห็นเขาเผยรอยยิ้มบนใบหน้า พูดอย่างสุขุม ไม่มีความรู้สึกกลัวแต่อย่างใด เจ้าเด็กหนุ่มผู้นี้จนป่านนี้แล้ว ยืนอยู่ในท้องพระโรงที่วังของตน กลับพูดจาฉะฉาน จำต้องกล่าวว่ามีจิตใจห้าวหาญน่ากลัวจริงๆ
“วังต่อให้กว้างแค่ไหนจะกว้างเท่ารัฐติงหรือ ทหารกล้าต่อให้กล้าแค่ไหนก็คงไม่น่ากลัวเท่าจิตใจชั่วร้ายมิใช่หรือ”
ฮั่ววั่งถาม เหมือนมีเจตนาใช้คำพูดหยั่งเชิงเล็กน้อย
“ดินแดนรัฐติงต่อให้กว้างก็กว้างไม่เท่าอาณาจักรติ้งซีอ๋อง และอาณาจักรติ้งซีอ๋องต่อให้กว้างก็ไม่กว้างเท่าจิตใจของปวงชนในใต้หล้า คนโบราณกล่าวว่าสวรรค์มีเก้าชั้นฟ้า ดินลึกแปดระดับ เช่นนั้นแล้วจุดสิ้นสุดคือที่ใดเล่า นับประสาอะไรกับจิตใจอันชั่วร้าย หากใช้ในทางที่ถูกต้องก็ถือว่าเป็นแผนอันชาญฉลาด เช่นนั้นทางที่ถูกต้องและทางอันชั่วร้ายจะกำหนดนิยามอย่างไร การปกป้องชายแดนและประเทศคือความถูกต้อง แต่การปกป้องครอบครัวกลับมิใช่หรอกหรือ นี่คงต้องให้ท่านอ๋องชี้แนะแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่เสียงแรงที่ทังจงซงฝีปากดี ความมีไหวพริบทำให้ฮั่ววั่งต้องตกตะลึง
“ข้าเดินตามทางธรรมของกษัตริย์”
ฮั่ววั่งพูดอย่างเรียบเฉย เขาไม่มีกะจิตกะใจเสวนาหลักการอันยิ่งใหญ่ที่แสนกลวงกับเด็กหนุ่มผู้นี้
การตั้งคำถามถกเถียงด้วยเหตุผล เป็นสิ่งที่บัณฑิตชอบทำ
พวกเขาสามารถพูดตั้งแต่กินอิ่มจนท้องหิว ทว่าพูดแต่เรื่องไร้สาระ นินทาการเมือง เขียนวิพากษ์ ชักนำความคิดคน
อีกอย่าง หลักการนี้ไม่สามารถเป็นข้าวได้และไม่สามารถเป็นกระบี่ได้ อย่างน้อยสำหรับฮั่ววั่งก็ไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย เหมือนมิตรภาพอันแน่นแฟ้นที่ไม่สามารถใช้ปลายพู่กันเขียนบนกระดาษได้อย่างไรอย่างนั้น
“ธรรมของกษัตริย์เป็นสิ่งที่ท่านอ๋องต้องทำ เช่นนั้นกระหม่อมก็ไม่ควรกังวล”
ทังจงซงส่ายหน้า
“ท่านอ๋องรับกระหม่อมเป็นศิษย์มิใช่หรือ เช่นนั้นจะสอนหลักการอะไรให้กระหม่อมหรือ”
ทังจงซงถามต่อ
ฮั่ววั่งหัวเราะเยาะในใจ คิดว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ฉลาดจับคำว่าลูกศิษย์กับอาจารย์ พูดออกมาเพื่อปิดปากตนเอง!
“ข้าสอนเจ้าอ่านตำราของนักปราชญ์ ทำตัวเป็นคนดีเจ้าว่าดีหรือไม่”
ฮั่ววั่งกล่าว
“กระหม่อมยินดีน้อมรับ”
ฮั่ววั่งกวักมือเรียกทางซ้ายและขวา ทันใดนั้นมีข้ารับใช้ยื่นชุดหนึ่งให้ทังจงซง ดูท่าน่าจะเตรียมไว้นานแล้ว
เป็นเสื้อคลุมสีขาวทำจากผ้ากำมะหยี่ ข้างหลังปักลายหญ้า
“ชุดขาวขั้นหนึ่ง?”
ทังจงซงหยิบเสื้อผ้ามาดูแล้วกล่าว
เขาไม่รู้ว่าเหตุใดฮั่ววั่งถึงมอบเครื่องแบบนี้ให้เขา
“ใช่ ชุดขาวขั้นหนึ่ง”
ฮั่ววั่งกล่าว
“ท่านอ๋องพูดจริงหรือ”
ทังจงซงกลั้นขำไม่อยู่ เขาไม่เชื่อว่าฮั่ววั่งจะให้เขาไปอ่านตำราของนักปราชญ์จริงๆ
“เจ้ารู้จักหอทรงปัญญาหรือไม่”
ฮั่ววั่งถาม
“กระหม่อมรู้ เป็นหนึ่งในสำนักเรียนศาสตร์วิชาสายบุ๋นที่สูงที่สุดในใต้หล้า อยู่เขตแดนระหว่างอาณาจักรติ้งซีอ๋องกับอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง”
“เจ้ารู้จักงานประชันพยัคฆ์มังกรวรรณกรรมหรือไม่”
ฮั่ววั่งถามอีก
“กระหม่อมรู้ ทุกสิบปีหอทรงปัญญากับหอทรงภูมิจะจัดงานในเมืองหลวงหนึ่งครั้ง”
ทังจงซงตอบอย่างละเอียด
“ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว เช่นนั้นถึงตาเจ้าถามข้าบ้าง”
ฮั่ววั่งยักไหล่พูด
“ท่านอ๋องต้องการให้กระหม่อมทำอะไร”
ทังจงซงถามตรงประเด็น
“ข้าอยากให้เจ้าเข้าร่วมงานประชันพยัคฆ์มังกรวรรณกรรมครั้งนี้”
ฮั่ววั่งกล่าว
“กระหม่อมเป็นเพียงเสื้อขาวขั้นหนึ่งจะมีสิทธิ์เข้าร่วมเป็นตัวแทนงานประชันของหอทรงปัญญาได้อย่างไร ท่านอ๋องพูดตลกแล้ว…”
ทังจงซงถูกผลักภาระอยู่บ้าง ไม่ว่าอย่างไรที่นั่นก็ไม่ใช่สถานที่ที่เขาคุ้นเคย ทำอะไรล้วนไม่คล่องมือ
“นี่คือเรื่องที่ลูกศิษย์ของข้าต้องทำเป็นอย่างแรก”
น้ำเสียงของฮั่ววั่งไม่ใช่น้ำเสียงของการปรึกษาหารือกัน
“เช่นนั้นเรื่องที่สองคืออะไร”
ทังจงซงถามต่อ
“เรื่องที่สอง รอเจ้าทำเรื่องที่หนึ่งเสร็จแล้วค่อยว่ากัน”
ทังจงซงจนใจ…อยู่ใต้ชายคาผู้อื่นมักไม่มีชีวิตอิสระ ทุกอย่างทั้งช่วงเวลาสำคัญและการริเริ่มล้วนเหมือนอยู่ในกำมือผู้อื่นทำให้เขาร้อนรน เกรงว่าจะทนอยู่ได้ไม่นาน
“ในเมื่อข้าบอกว่ารับเจ้าเป็นศิษย์แล้ว เช่นนั้นก็ต้องรับเจ้าเป็นศิษย์ ข้ายังไม่ได้อภิเษกสมรส และยังไม่มีทายาทสืบราชวงศ์ ตอนนี้มีเจ้าเป็นศิษย์เพียงคนเดียว”
ฮั่ววั่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอื้อนเอ่ย
แต่ประโยคนี้กลับเป็นสิ่งที่ทังจงซงอยากได้ยินมากที่สุด
ก่อนหน้านี้เขาเคยลองนึกถึงสภาพหลังจากที่ตนมาถึงวังติ้งซีอ๋องในใจนับครั้งไม่ถ้วน ท้ายที่สุดแล้วไม่มีตัวประกันคนไหนใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข
อีกทั้งตระกูลทังไม่มีปัจจัยมากพอให้ฮั่ววั่งติ้งซีอ๋องกักขังหน่วงเหนี่ยว ตนเองในตอนนี้เป็นเพียงแป้งก่อนหนึ่ง เขาจะนวดอย่างไรก็ไร้แรงต่อต้าน
แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาคาดคิดไม่ถึงว่าฮั่ววั่งจะมีท่าทีเช่นนี้ พูดเช่นนี้
ทำให้ในใจเขามองติ้งซีอ๋องผู้นี้ใหม่อีกครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หลังจากทังจงซงกราบขอบพระทัยแล้ว ก็มีข้ารับใช้เดินนำเขาไปยังที่พักทางลานกว้างทิศประจิม
“เจ้าใช้กระบี่หรือ”
ฮั่ววั่งมองเงาหลังของทังจงซง ทันใดนั้นจึงเอ่ยถาม
“กระหม่อมใช้กระบี่ และก็ดาบ”
ทังจงซงลังเลเล็กน้อย แล้วเอ่ย
“ข้าใช้กระบี่ และใช้ทวน”
ฮั่ววั่งกล่าว
สองประโยคนี้คล้ายอารัมภบทที่อนุมานในใจของทังจงซงก่อนหน้านั้นเล็กน้อย
“ดาบและกระบี่ของกระหม่อมเป็นหนึ่งเดียวกัน”
ทังจงซงพูดพลางทำมือทำไม้
“ดาบก็คือดาบ กระบี่ก็คือกระบี่ บางเรื่องควรแยกออกจากกันจะดีกว่า”
ฮั่ววั่งไม่เห็นด้วยกับวิธีการพูดของทังจงซง
เขายังไม่รู้ว่า ทังจงซงมี ‘ดาบกระบี่’ เล่มหนึ่งจริง
แต่คำพูดนี้ในหูของทังจงซงกลับได้ยินเป็นความหมายอื่น
“บางเรื่องควรแยกออกจากกันถึงจะดี…”
เขาพูดซ้ำในใจและพิจารณาอย่างละเอียด
เวลานี้ ความคิดของทังจงซงเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง ดูท่าครั้งนี้ตนเองต้องไปที่หอทรงปัญญาเสียแล้ว
อ่านตำราของนักปราชญ์ ใช้ชีวิตรอดไปวันๆ
เขาไม่เคยสนใจคนที่เล่นสำบัดสำนวนพวกนี้เลย
ถึงแม้สายบุ๋นจำนวนมากจะมีพลังการฝึกยุทธ์ไม่ต่ำ แต่กลิ่นเหม็นเปรี้ยวทั้งตัวก็ยังได้กลิ่นแม้อยู่ไกลสองสามลี้
คิดดูแล้วก็แปลก…
ล้วนว่ากันว่าบัณฑิตจับพู่กันนำมาสู่ความสงบสุขในใต้หล้า แต่ต้นเหตุความวุ่นวายของบ้านเมืองล้วนเริ่มจากบัณฑิตก่อนทั้งสิ้น
แค่ท่องบทกวีคุณค่าต่ำ งานเขียนราคาถูก สามารถทำให้ผู้ที่ไร้สมองตรึกตรองแห่กันไปช่วงชิง รบกวนความสุขสงบของบ้านเมือง
ต่างเป็นปุถุชนธรรมดาด้วยกันทั้งสิ้น แต่อยากยกตนว่าเป็นคนวิเศษ แสร้งทำตัวสูงส่งทรงเกียรติ
คนอื่นดื่มสุราบุปผาเป็นการทำลายศีลธรรมอันดีงาม เมื่อเปลี่ยนเป็นพวกเขาทำเรื่องเช่นเดียวกันบ้าง กลับกลายเป็นจงเกลียดจงชังสังคมอันเน่าเฟะ ครุ่นคิดอย่างจนปัญญา
ผลงานและความผิดพลาดล้วนอาศัยปากของบัณฑิตทั้งสิ้น โลกมนุษย์ลึกล้ำไม่มีผู้ใดโดดเด่นกว่าใคร!
……………………………………………………………………….
[1] เชื่อมแนวขวางประสานแนวดิ่ง เป็นหลักยุทธศาสตร์ มีสองวิธี ได้แก่ รวมทุกกลุ่มเล็กหรืออ่อนแอเข้าด้วยกัน เพื่อต่อต้านคนที่แข็งแกร่งกว่า และอีกวิธีคือเข้าร่วมกับผู้แข็งแกร่ง อาศัยบารมีเขา เพื่อไปขจัดกลุ่มที่อ่อนแอกว่าให้หมดไป