ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 55 ชุดขาว กระบี่ฟ้า เต่าทองคำ เหล้าขาว-2
บทที่ 55 ชุดขาว กระบี่ฟ้า เต่าทองคำ เหล้าขาว-2
ครั้งนี้ลั่วซิวหรานกลัวจริงแล้ว…หากแม้แต่ชีวิตก็ไม่เหลือ เช่นนั้นยังต้องการตำแหน่งชื่อเสียงอะไรอีก ตอนนี้ก็พูดทุกอย่างที่รู้ชนิดหมดเปลือก ไม่มีสิ่งใดตกหล่นสักนิด
“ตอนนี้จดหมายฉบับนั้นอยู่ไหน เขียนว่าอะไร”
หลิวรุ่ยอิ่งคำนวณเวลา เป็นหลังจากที่ตนโจมตีมนุษย์แท่งน้ำแข็งกับยอดนักธนูจนถอยร่นพอดี พวกเขาสองคนต้องย้อนกลับมาเก็บข้าวของในบ้านลั่วซิวหรานแล้วจากไปในคืนนั้นแน่นอน
“จดหมายฉบับนั้นยังอยู่ในบ้านข้า…ข้างในก็ไม่ได้เขียนอะไร แค่คำพูดตามมารยาทอย่างรู้สึกเป็นเกียรติที่ดูแล ยังบอกว่าเขาจะเก็บเรื่องของข้าไว้ในใจ ให้ข้าไม่ต้องกังวลมากเกินไปทำนองนั้น”
“ในจดหมายได้บอกหรือไม่ว่ากลับไปแล้วจะไปที่ไหน”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถามอีก
“อันนี้ไม่มีหรอก…แต่ตอนข้าติดต่อกับเขาช่วงก่อนหน้านี้ เขาอยู่ในเขตติ้งซีอ๋องแล้ว ไม่ได้อยู่อาคารหลักของหอทรงปัญญา”
ลั่วซิวหรานกล่าว
“ตรงไหนของเขตติ้งซีอ๋อง”
“โรงเตี๊ยมพูนโชคในหัวเมืองรัฐเหมิง”
ลั่วซิวหรานกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งถามเรื่องที่ตนอยากรู้ชัดเจนแล้วก็ไม่คืนคำ เขาปล่อยลั่วซิวหรานทันที เพียงแต่ส่งคนหนึ่งตามเขากลับบ้านไปเอาจดหมายด้วย
เมื่อได้จดหมายแล้ว หลิวรุ่ยอิ่งมาหาหัวหน้าอาคารฉินอีกครั้ง บอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขาและให้เขาเขียนรายงานแทนตนฉบับหนึ่ง บอกว่าตนจะมุ่งหน้าไปที่ตั้งของอาคารหลักหอทรงปัญญา
หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าแม้อีกฝ่ายอาจกลับไปรัฐเหมิง แต่ความน่าจะเป็นที่ตนเดินทางไกลเป็นพันลี้เพื่อคว้าน้ำเหลวนั้นสูงมาก ลั่วซิวหรานบอกว่าอีกฝ่ายเป็นคนในอาคารหลักหอทรงปัญญา เช่นนั้นไม่สู้ตนมุ่งไปหาต้นทางเสียเลย
หัวหน้าอาคารฉินฟังแล้วรีบบอกไม่มีปัญหาทันที ยังพูดอีกว่าตนรู้จักกับหัวหน้าอาคารกรมสอบสวนในหัวเมืองรัฐเหมิงเป็นอย่างดี จะช่วยถามสถานการณ์ฝั่งนั้นให้หลิวรุ่ยอิ่ง
“นายกองหลิวจะเดินทางตอนนี้เลยหรือ”
หัวหน้าอาคารฉินเห็นหลิวรุ่ยอิ่งพูดพลางเตรียมออกเดินทางจึงเอ่ยถาม
เขายังคิดจะจองโต๊ะอาหารที่โรงเตี๊ยมพูนโชคเลี้ยงส่งอีกฝ่ายคืนนี้อยู่เลย
“เรื่องต้องรีบจัดการ ข้าออกเดินทางเร็วหน่อยดีกว่า”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
มุ่งหน้าไปอาคารหลักหอทรงปัญญาจำต้องผ่านเมืองติ้งซีอ๋อง
หลิวรุ่ยอิ่งเตรียมอาศัยจังหวะฟ้ายังไม่มืดไปถึงเมืองติ้งซีอ๋องคืนนี้ก่อน เดี๋ยววันรุ่งขึ้นต้องเจอฮั่ววั่งแล้วค่อยเดินทางต่อ
เขาออกจากอาคารกรมสอบสวนแล้วหาสำนักคุ้มภัย[1]ของชาวบ้าน จ่ายเงินตำลึงเอาจดหมายธรรมดาฉบับหนึ่งให้เขาส่งถึงกองสัคคะเนตรกรมสอบสวนกลาง
แม้ทำเช่นนี้จะใช้เวลานานกว่าทางหลักอยู่เล็กน้อย แต่ระดับการรักษาความลับมักจะสูงกว่ามาก โดยเฉพาะตอนไม่แน่ชัดเรื่องหนอนบ่อนไส้ อย่างไรสำนักคุ้มภัยรับส่งของก็ดูแค่ของถูกหรือแพง ค่าส่งสูงหรือต่ำ หากผิดกฎแอบยักยอกของ เช่นนั้นก็ทำผิดมหันต์แล้ว! ใครใช้ให้ชามข้าว[2]นี้กิน ‘สัจจะ’ เป็นอาหารกันล่ะ
หลิวรุ่ยอิ่งฝากส่งจดหมายเสร็จแล้วควบม้ามาโรงเตี๊ยมพูนโชคอีกครั้ง
เขาถามเจ้าของร้านได้ความว่าเจ้าหมิงหมิงกับเกาลัดคั่วน้ำตาลไม่อยู่ในร้าน คิดว่าคงออกไปเดินเล่นอีกแล้วกระมัง…
หลิวรุ่ยอิ่งผิดหวังเล็กน้อย…ได้แต่ทิ้งตำราเล่มหนึ่งไว้กับเจ้าของร้าน ให้เขาส่งต่อให้เจ้าหมิงหมิงแทน
จัดการสองเรื่องนี้เสร็จแล้ว หลิวรุ่ยอิ่งถึงได้ออกเดินทางอย่างเบาใจ
………………
ท้องฟ้าในรัฐติงมืดค่ำขึ้นทุกที หากเทียบกับทางใต้ ยามนี้เพิ่งถึงช่วงบ่าย
หลิวรุ่ยอิ่งควบม้าตะบึงบนทางหลวง ชุดขุนนางบนกายรับลมหวีดหวิว มือซ้ายกำเชือกบังเหียน มือขวาถือกระบี่ดารา ช่างสง่าผ่าเผยโดยแท้!
ทันใดนั้น เขาเห็นข้างหน้าไม่ไกลมีคนหนึ่งกำลังขี่ม้าเช่นกัน
แต่ม้าตัวนั้นกลับผอมแห้งจนน่าสงสาร เงาหลังของคนบนม้าก็ซูบผอมจนน่าเวทนา
เขาสวมชุดขาว ทว่าไม่ใช่ชุดขุนนางบุ๋น ผมยาวมาก แต่ก็ไม่มัดขึ้น
ในมือถือน้ำเต้าสุราสีมรกต เอวแขวนกระบี่ยาวสีท้องฟ้าไว้เล่มหนึ่ง
เขาขี่บนหลังม้าดื่มอึกหนึ่งเทอึกหนึ่ง ดูท่าทางเมาหนักแล้ว…ราวกับครู่ต่อมาจะร่วงลงจากหลังม้า
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้สนใจนัก และควบม้านำหน้าจากด้านข้างมายังเพิงขายชาแห่งหนึ่งข้างหน้า ตอนชาจอกหนึ่งยังร้อนลวก เห็นเพียงคนผู้นั้นเดินโซเซมาเพิงขายชานี้เช่นกัน
“มีเหล้าหรือไม่”
คนนั้นเอ่ยถาม
“ท่านลูกค้า…มีแค่ชา ไม่มีเหล้าขอรับ”
เสี่ยวเอ้อร์เพิงขายชาบีบจมูกพลางเอ่ย กลิ่นเหล้าคลุ้งตลบมาถึงคน
“โกหก! เจ้ามีเหล้า ข้าได้กลิ่นหมดแล้ว! อยู่ในลิ้นชักข้างล่างโต๊ะคิดเงินเจ้านั่นไง ถึงจะเป็นเหล้าขาวหมักง่ายๆ…แต่มีย่อมดีกว่าไม่มี!”
คนผู้นี้ขยับจมูกฟุดฟิด พลันวางน้ำเต้าสุราของตนไปบนโต๊ะและกล่าว
เสี่ยวเอ้อร์ตกใจไม่น้อย
เหล้าในลิ้นชักเป็นเหล้าที่ตนซื้อมาเมื่อวานแล้วดื่มเหลือ และเป็นเหล้าหมักท้องถิ่นของชาวนาที่ซื้อมาจากในหมู่บ้านแถวนี้จริงอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่คนผู้นี้อาศัยแค่จมูกก็ได้กลิ่นตำแหน่งเก็บเหล้ากับชนิดของเหล้าแล้ว ต้องชอบกินเหล้าขนาดไหนกัน
“ท่านลูกค้า เหล้านี้ผู้น้อยเอาไว้ดื่มเอง…ไม่ขายขอรับ”
เสี่ยวเอ้อร์ปฏิเสธ
คนนั้นได้ยินแล้วก็ไม่ตอบ เพียงถอดเครื่องประดับชิ้นหนึ่งลงจากเอวแล้วโยนให้เสี่ยวเอ้อร์ ถามคำหนึ่ง “พอหรือไม่”
เสี่ยวเอ้อร์รับไว้ในมือ แต่ยังเห็นไม่ชัดว่าคืออะไร เพียงรู้สึกมันหนักอึ้ง
กระทั่งเขาเห็นชัดเจนแล้ว ถึงขั้นจับไม่มั่นเกือบร่วงลงพื้น…
คุณพระช่วย! เป็นพู่ห้อยเต่าทองคำชิ้นหนึ่ง! ใต้หล้ากลับมีคนโง่ใช้เต่าทองคำแลกเหล้าขาวครึ่งไหดื่มเช่นนี้ด้วย!
“พอขอรับๆ!”
เสี่ยวเอ้อร์พูดไปก็เกิดกลัวคนนั้นเปลี่ยนใจ…รีบเก็บเต่าทองคำใส่ในกระเป๋า จากนั้นหอบเหล้าครึ่งไหที่เหลือออกมาให้เขา
“อย่าหัวเราะเยาะเหล้าชาวนาหมักขุ่นมัว…”
คนผู้นี้ยังคงพึมพำ ดื่มลงไปหลายอึกใหญ่
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นเขาแล้วรู้สึกสนใจ แม้ตัวเขาก็นับเป็นกึ่งนักดื่ม แต่เหมือนว่าทั้งชีวิตเขาเคยเห็นคนติดเหล้าหนักขนาดนี้น้อยมาก
คนผู้นี้หาโต๊ะว่างมุมหนึ่งนั่งลง ไหเหล้าอยู่ซ้าย น้ำเต้าสุราอยู่ขวา กลายเป็นว่ามือซ้ายถือไหชนกับน้ำเต้าในมือขวาและกล่าวว่า “สหายขวา ข้าดื่มให้เจ้าจอกหนึ่ง!”
จากนั้นดื่มข้างละอึกใหญ่
ต่อมาใช้น้ำเต้ามือขวาชนกับไหเหล้ามือซ้ายอีกแล้วกล่าว “สหายซ้ายเกรงใจแล้ว ข้าดื่มคืนให้เจ้าจอกหนึ่ง!”
จากนั้นดื่มฝั่งละอึกใหญ่อีกครั้ง
ทุกคนในเพิงขายชาต่างคิดว่าเจอคนบ้า พากันหัวเราะลั่นไม่หยุด
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าแม้คนผู้นี้เมามาย แต่นัยน์ตาที่หรี่ขึ้นมาไม่อาจบดบังความสดใสแวววาม แม้รูปร่างผอมโซ แต่กลับเหมาะสมได้สัดส่วน นั่งอยู่ตรงนั้นลำพัง ทว่าเหมือนไม่ได้นั่งอยู่ตรงนั้นเช่นกัน ให้ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ คล้ายสามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับหุบเขาสุรา ธารน้ำและเพิงขายชานี้ได้
มือทั้งคู่สิบนิ้วเรียวยาว ไม่ว่ายกไหหรือจับจอกล้วนสุขุมมั่นคง มากประสบการณ์ ไร้ช่องโหว่ให้โจมตี
“ท่านมาจากที่ใด กำลังจะไปที่ใดหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา จึงออกปากถาม
“มาจากหมู่บ้านยอดนักดื่ม จะไปหาตาน้ำสุรา”
คนผู้นี้ไม่แม้แต่เงยหน้า ยังคงง้างแขนซ้ายขวาดื่มเหล้าไม่หยุด
“ขอถามท่านมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอันใด”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถามอีก
“ข้าน้อยสกุลจิ่วชื่อซานปั้น”
ในที่สุดคนผู้นี้ก็เอียงศีรษะมองหลิวรุ่ยอิ่งแวบหนึ่งและกล่าวตอบ
“จิ่วซานปั้น?…”
ชื่อประหลาดเช่นนี้ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งทวนซ้ำรอบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
“คนในหมู่บ้านล้วนเรียกเช่นนี้ ข้าคิดว่าไม่เป็นไรหรอก พวกเขาบอกข้าขาดเหล้าไม่ได้สักครึ่งวัน ขาดเหล้าไม่ได้สักครึ่งชั่วยาม ขาดเหล้าไม่ได้สักครึ่งเค่อ[3]เลยเป็นซานปั้น”
จิ่วซานปั้นกล่าวอธิบาย
“สหายซานปั้นเป็นผู้ฝึกกระบี่หรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ข้าชอบเขียนกลอน”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“เป็นบัณฑิตนี่เอง ไม่ทราบว่าอยู่ขั้นใด”
ตอนนี้ขอแค่หลิวรุ่ยอิ่งเห็นบัณฑิตการตอบสนองแรกก็คือสนใจว่าอีกฝ่ายอยู่ระดับขั้นใด ดูท่าการบุกสังหารของมนุษย์แท่งน้ำแข็งกับยอดนักธนูในคืนนั้นจะสร้างเงามืดขนาดใหญ่ไว้ให้เขา
จำต้องบอกว่าหลังจากเกิดเรื่องนี้หลิวรุ่ยอิ่งยังคงขี่ม้าไปเมืองติ้งซีอ๋องคนเดียว ช่างเป็นการ ‘รุดหน้าอย่างกล้าหาญ’ โดยสมบูรณ์
‘ข้าเอาชนะเจ้าได้ครั้งหนึ่งแล้ว ต้องเอาชนะเจ้าเป็นครั้งที่สองได้เหมือนกัน!’
ในใจหลิวรุ่ยอิ่งเป็นความคิดเช่นนี้
“ข้าฝึกกระบี่ด้วย”
จิ่วซานปั้นกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งจนใจเล็กน้อย…ไม่รู้คนผู้นี้ดื่มจนสมองทื่อแล้วหรือเปล่า ทำไมถึงพูดมั่วไร้ทิศทางเช่นนี้
“ฝึกกระบี่ไม่รู้ขอบเขตอะไร เขียนกลอนไม่รู้เป็นขั้นไหน จะว่าไปแล้วข้าก็ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ”
จิ่วซานปั้นส่ายหน้ากล่าว
“แล้วตาน้ำสุราที่ท่านจะไปอยู่ที่ใด”
หลิ่วรุ่ยอิ่งเอ่ยถามอีก
“ไม่รู้…ข้าก็แค่ได้ยินมา พวกเขาให้ข้าไปลองสอบวัดระดับที่หอทรงปัญญานั่น แต่ข้าอยากไปหาตาน้ำสุราให้เจอก่อน”
“เฮอะๆ เจ้านี่น่าสนใจเหมือนกัน…เวลาชั่วครู่ถามข้าได้ถึงสามไม่รู้ สามครึ่งบวกสามไม่รู้ เช่นนั้นเจ้ากับข้าก็ต้องดื่มมันสามจอกถึงจะไม่ละอายต่อวาสนานี้!”
จิ่วซานปั้นพูดจบก็กอดไหเหล้ามานั่งตรงข้ามหลิวรุ่ยอิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งถึงได้เห็นว่าบนกายเขาสวมแค่เสื้อบางๆ ตัวเดียว
“สหายซานปั้นทนหนาวขนาดนี้เชียว?”
หลิวรุ่ยอิ่งถามด้วยความตกใจ
“เปล่า…ตอนออกจากหมู่บ้านข้ามีเสื้อกันหนาวขนสัตว์อีกตัว ต่อมาหลงกลเอาไปแลกเหล้าดื่ม คนในร้านนั้นไม่เลวเลยจริงๆ เขาให้น้ำเต้าสุราอันนี้กับข้า”
จิ่วซานปั้นกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าควรพูดอะไร…
รู้สึกสหายผู้นี้จำนำของมาตลอดทาง ขอแค่เป็นของมีค่าเล็กน้อยบนกายก็แลกซื้อเหล้าดื่มหมด
และดูจากที่ใช้เต่าทองคำแลกเหล้าขาวเมื่อครู่ ไม่รู้เขาขาดทุนเพื่อเหล้าไม่กี่อึกนี้ไปเท่าไร…
น้ำใจยากปฏิเสธ หลิวรุ่ยอิ่งได้แต่ดื่มเป็นเพื่อนจิ่วซานปั้นสามจอก ในใจกลับโทษตัวเองว่าเหตุใดต้องปากเปราะด้วย
“เจ้าเป็นผู้ฝึกกระบี่?”
จิ่วซานปั้นชี้กระบี่ดาราของหลิวรุ่ยอิ่งและเอ่ยถาม
“ใช่แล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นสีท้องฟ้ามืดแล้ว จึงบอกลาจิ่วซานปั้นคำหนึ่งหมายจะเดินทางต่อ
“ช้าก่อน!”
จิ่วซานปั้นเรียกหลิวรุ่ยอิ่งไว้
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไร มือกำกระบี่ดาราไว้แน่นตามสัญชาตญาณ
“ข้ายังไม่รู้ชื่อของเจ้าเลย”
จิ่วซานปั้นถาม
“ข้าน้อยหลิวรุ่ยอิ่ง”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดจบแล้วลุกไปคิดเงิน ถือโอกาสซื้อน้ำชาอีกกาหนึ่งไว้ออกเดินทางด้วย เขาเตรียมเดินทางที่เหลือรวดเดียว เสียเวลาไม่ได้อีกแล้ว
“ข้าให้เจ้า! นอกจากคนในหมู่บ้าน ออกจากบ้านครั้งนี้เจ้าเป็นคนแรกที่คุยกับข้า ได้พูดคุยสักหน่อยแล้วผ่อนคลายจริงด้วย…หากมีคนคุยกับข้าทุกวัน ข้าก็ไม่ต้องมือซ้ายดื่มให้มือขวาแล้ว”
จิ่วซานปั้นส่ายหัวเล็กน้อย แปะกระดาษใบหนึ่งใส่หน้าอกหลิวรุ่ยอิ่ง
ความเร็วนี้ทำเอาหลิวรุ่ยอิ่งตั้งรับไม่ทันอยู่บ้าง
บนกระดาษเขียนกลอนบทหนึ่ง หัวข้อชื่อว่า ‘แด่หลิวรุ่ยอิ่ง’
ซานปั้นควบม้าผ่านเพิงชา ได้กลิ่นหอมสุราทันใด
เหล้าขาวชาวนาฝืดร้อนแรง เมากับรุ่ยอิ่งสุดคะนอง
…………………………………………..
[1] สำนักคุ้มภัย เป็นองค์กรที่ดูแลความปลอดภัยของทรัพย์สินและตัวบุคคล รับขนส่งสิ่งของและคุ้มครองการเดินทางให้ปลอดภัย
[2] ชามข้าว หมายถึงอาชีพ
[3] หนึ่งเค่อ เท่ากับ 15 นาที