ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 60 วิชาประสาน กระบี่ดารามีชีวิต-1
บทที่ 60 วิชาประสาน กระบี่ดารามีชีวิต-1
ในโรงเตี๊ยมพูนโชค เมืองติ้งซีอ๋อง
หลิวรุ่ยอิ่งสนใจเรื่องของตัวเองได้อย่างไม่วอกแวกแล้ว
หนึ่งวันมานี้…ตอนไปหาติ้งซีอ๋องแล้วไม่รู้ตนอยากทำอะไร ดื่มเหล้ากับทังจงซงก็ยังดื่มไม่หนำใจ สุดท้ายยังได้สหายร่วมทางมาอีกสองคนโดยไม่มีเค้าลางมาก่อน คนหนึ่งไม่กินอาหารเมืองมนุษย์[1] คนหนึ่งชอบทำตามใจอยาก ช่างน่าสนใจจริงๆ นึกถึงสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาเขาก็ยิ้มบาง
หลิวรุ่ยอิ่งลงกลอนเรียบร้อยแล้วนั่งในท่าฝึกตนอยู่บนเตียง นิ้วงอดีดพลัน พลังเบาบางกลุ่มหนึ่งปล่อยออกจากปลายนิ้วดับตะเกียงในห้อง
หลิวรุ่ยอิ่งนำสมาธิทั้งหมดกลับมาจดจ่อภายในใจ ไม่ครุ่นคิดเรื่องฟุ้งซ่านอื่นใด อย่างไรในโรงเตี๊ยมพูนโชคก็รับประกันความปลอดภัยอย่างแน่นอน และตนแค่ทะลวงจุดลมปราณเท่านั้น ไม่ได้เคลื่อนไหวมากมายจึงไม่รบกวนผู้อื่น
เขารู้ดีว่าการตื่นรู้ขั้นสูงครั้งนี้ไม่ได้ได้มาโดยง่าย หลิวรุ่ยอิ่งจงใจดับไฟเพราะไม่อยากให้มีปัจจัยภายนอกใดมารบกวนตน บางครั้งแมลงเม่าที่บินเข้าไฟตัวหนึ่งก็ทำให้คนเกิดความคิดมากมายได้เช่นกัน
หัวใจมีเก้าช่อง[2] มีช่องว่างเปล่าอีกช่องหนึ่ง หลิวรุ่ยอิ่งจดจ่อกับลมปราณที่หายใจเข้าออก ไม่เร่งไม่ช้า สงบนิ่งราวผืนทะเลสาบไร้คลื่น ลมปราณที่หายใจเข้ากลุ่มนี้ค่อยๆ เข้ามาทางจมูกและปาก มุ่งลงตลอดทางจนถึงอินหยางสองขั้วในตันเถียน จากนั้นหลิวรุ่ยอิ่งปิดช่องทั้งเก้า ยกเสาลมปราณแท้รับส่งภายในอินหยางสองขั้วและผสานจุดตังหยาง[3] ยามนี้ โอบล้อมปราณ ปราณหยุดนิ่งแล้วประคองลมหายใจ รวมตัวในอินหยางสองขั้วอยู่นานได้สำเร็จ
ภายในตันเถียนค่อยๆ กลายเป็นโฉมหน้าของสรรพสิ่งและผืนแผ่นดินแบบเดียวกับโลกภายนอกที่สมองหลิวรุ่ยอิ่งเคยได้รับรู้ ทว่าล้วนเป็นเงาลวงตาชั่วขณะ ไม่เดียงสา บริสุทธิ์อย่างยิ่ง ทันใดนั้น ภาพลวงตาเหล่านี้เปลี่ยนเร็วขึ้นเรื่อยๆ วงกลมผสานแลกเปลี่ยนของอินหยางสองขั้วก็กระชั้นขึ้นทุกที บริเวณจุดตันเถียนของหลิวรุ่ยอิ่งส่งเสียงดังเหมือนฟ้าร้อง จุดลมปราณที่เปิดแล้วระเบิดลั่นทีละข้อ เสียง ‘เปรี๊ยะๆ’ เหมือนถั่วระเบิดดังขึ้นจากบนลงล่างอยู่พักหนึ่ง
วิถีทางโลกและสรรพสิ่งทั้งหลายที่ผันแปรบริเวณใจกลางอินหยางสองขั้วเมื่อครู่ล้วนสลายหายไปทีละนิด
ฉับพลันมีลมเผาไหม้ร้อนผ่าวระลอกหนึ่งชะล้างทั่วกายหลิวรุ่ยอิ่ง เป็นพลังธาตุไฟที่เคลื่อนออกจากจุดเหม่า
พลังธาตุไฟกลุ่มนี้รูปร่างเหมือนเปลวพลิงร้อนแรงลุกโชนปะทะใบหน้า สุดท้ายก็จมสู่บริเวณอินหยางสองขั้วด้วยการนำทางของเขา มันก่อรูปเป็นโลกใบเล็ก ค่อยๆ กลายเป็นร่างคนร่างหนึ่งพร้อมลมปราณแท้ที่ผสานกันก่อนหน้านี้
หลิวรุ่ยอิ่งแทรกซึมจิตลงในนั้น พบว่าตนไม่สามารถทำอะไรได้เลย ได้แต่เป็นฝ่ายมองเหตุการณ์ทั้งหมดในฐานะผู้ชมด้านข้างคนหนึ่งเท่านั้น
เพียงเห็นคนผู้นี้พันศีรษะด้วยผ้าทอง กายสวมเกราะ มือถือยันต์ ทุกการเคลื่อนไหวล้วนแฝงหนทางสู่การบรรลุ หลิวรุ่ยอิ่งเห็นสภาพการณ์พลันดีใจยิ่ง เขาสร้างธรรมลักษณ์บรมครูในกายเพราะการตื่นรู้ในวันนี้! เขาใช้จิตสอดส่องสิ่งนั้น ทว่าเหมือนวัวดินปั้นจมทะเล ลึกลับยากสัมผัสโดยแท้จริง คนจิ๋วผู้นี้เห็นหน้าตาไม่ชัด แสงทรงกลดอาบกาย สองมือเริ่มโบกยันต์ฉับพลัน ยืดงอสลับกันราวดีดฉินเล่นเส้อ สอดประสานยอดเยี่ยม
จากนั้น ยันต์บนมือขวาลอยออก กลายเป็นแสงทองสาดส่องแม่น้ำคดเคี้ยว ยันต์บนมือซ้ายลอยออกมากลายเป็นตะวันแดงโผล่พ้นเก้าภูเขา แต่ฉากนี้กลับชัดเจนน้อยกว่าก่อนหน้านี้มาก สาเหตุอาจเป็นเพราะธรรมลักษณ์บรมครูก่อรูปครั้งแรก ยังหลอมรวมไม่จริงแท้มากพอ หลิวรุ่ยอิ่งเพียงรู้สึกมึนงงและล่องลอย เห็นแค่ธรรมลักษณ์บรมครูโยนผ้าโพกศีรษะของตนลงในน้ำ แสงทองพวยพุ่งฉับพลัน ส่องสว่างรอบทิศ จากนั้นกวักมือเรียกพลังธาตุไฟในจุดเหม่าอีกครั้ง กลายร่างเป็นนกประหลาดสามขาตัวหนึ่ง มันโผบินแฉลบเข้ามาจากน้ำสีทองนั้น สามขากระทบคลื่นผ่านผิวน้ำ วาดรอยยาวออกมาสามสาย กลับลากแสงทองบนน้ำไปด้วย
แสงทองลาลับ ดวงจันทร์สุกสกาวบนฟ้าลอยอยู่เหนือแม่น้ำคดเคี้ยว ทว่านกประหลาดสามขาตัวนี้กลับพุ่งเข้าดวงจันทร์สุกใสนั้น แสงเงินทองประกอบรวมทันใด ธรรมลักษณ์บรมครูกระโจนเข้าแม่น้ำคดเดี้ยวโดยไม่รอช้า กลืนแสงสว่างและคายออกอีกครั้ง ทำให้แม่น้ำคดเคี้ยวสลับทิศเหนือใต้
หลิวรุ่ยอิ่งไม่นึกว่าธรรมลักษณ์บรมครูจะน่าทึ่งปานนี้! มันสร้างโลกใบเล็กบนอินหยางสองขั้วภายในตันเถียนของตนไม่พอ กลับยังรังสรรค์สิ่งที่ขัดแย้งกับยุคสมัย ปั้นฟ้าดินขึ้นใหม่และกลับด้านอินหยางอยู่ในนั้น เป็นฝีมือเทพเซียนโดยแท้!
คาดไม่ถึง ธรรมลักษณ์บรมครูนี้คล้ายว่ายังไม่จบงาน
เขาหักเกราะบนกายลงมาส่วนหนึ่งแล้วกลายเป็นแท่นสวรรค์ หักเกราะอีกส่วนหนึ่ง กลายเป็นดวงดาวบนแท่น หลิวรุ่ยอิ่งมองบนแท่นสวรรค์นี้ แสงดาวระยิบระยับ สัมผัสเล็กน้อยก็รู้สึกจิตใจสงบ สามดวงจิต[4]มั่นคง ทะเลแห่งความรู้สว่างไสว มาถึงตอนนี้ ธรรมลักษณ์บรมครูถึงได้เสร็จสิ้น
ที่จริงหลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้เลยว่าเขาทำอะไรอยู่…ดูแล้วเหมือนกำลังสร้างบ้านให้ตัวเอง
เขาเคลื่อนจิตออกจากโลกใบเล็กนี้ พบว่าจุดลมปราณสองตำแหน่งที่คลายออกเมื่อตอนกลางวันทะลวงออกแล้ว ไม่มีความรู้สึกใด ไม่เจ็บไม่คัน เรียกได้ว่ายอดเยี่ยมเลิศล้ำ สมกับที่เป็นบรมครูจริงๆ!
แต่เมื่อจิตของหลิวรุ่ยอิ่งเคลื่อนออกมา ธรรมลักษณ์บรมครูนี้กลับเก็บโลกใบเล็กที่ตัวเขาเพิ่งสร้างเสร็จ จากนั้นเขาชูสองมือคว้าบนยอดศีรษะ ปลุกกระบี่หยางแท้อวี้จิงที่หลิวรุ่ยอิ่งบำรุงรักษาอยู่ในตำหนักเหลืองมาตลอดให้ตื่นขึ้น
ตอนแรกกระบี่หยางแท้อวี้จิงยังคงเหนียมอายเล็กน้อย แม้ถูกเรียกหากลับรีรอไม่กล้าเข้ามาใกล้ เหมือนเด็กขี้อายคนหนึ่ง ดีที่จิตของหลิวรุ่ยอิ่งลอยอยู่รอบๆ ทำให้มันรู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง แต่ธรรมลักษณ์บรมครูกลับค่อนข้างใจร้อน คล้ายไม่พอใจที่กระบี่หยางแท้อวี้จิงชักช้าลังเลเช่นนี้
สุดท้าย ยิ่งธรรมลักษณ์บรมครูเร่งเรียกบังคับ กระบี่หยางแท้อวี้จิงก็ยิ่งถอยหนี จนเห็นว่าใกล้จะกลับเข้าไปในตำหนักเหลืองอีกครั้ง คราวนี้ธรรมลักษณ์บรมครูลอยขึ้นแท่นสวรรค์ฉับพลัน แขนข้างหนึ่งยื่นยาวยิ่ง คว้าจับด้ามกระบี่ของกระบี่หยางแท้อวี้จิงไว้และลากมันกลับมาตรงหน้า เมื่อพลิกดูถ้วนถี่แล้วคล้ายพอใจไม่น้อย กระบี่หยางแท้อวี้จิงสั่นรุนแรงอยู่พักหนึ่ง เห็นว่าไม่อาจหนีพ้นจึงยอมแพ้เงียบลงในที่สุด
‘แกร๊ง…แกร๊ง!’
สองหูหลิวรุ่ยอิ่งสะเทือนเล็กน้อย ได้ยินเสียงดังในห้องจึงรีบลืมตา กลับเห็นกระบี่ดาราของตนลอยอยู่บริเวณสองฉื่อตรงหน้า ‘หุบเหวดารา’ สองคำบนกระบี่สว่างโชติช่วง หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกเหมือนสายตาของตนถูกแสงจ้านี้ดึงดูดไว้ ทำอย่างไรก็ไม่อาจเคลื่อนออก
เขารู้นานแล้วว่ากระบี่เล่มนี้ไม่ธรรมดา แต่กลับไม่รู้เบื้องหลังของมันเลย
เพียงแต่ตั้งแต่บัณฑิตจางถามเรื่องกระบี่ในตอนแรก จนต่อมาฮั่ววั่งแสดงความปรารถนาสุดแรงกล้าต่อกระบี่เล่มนี้อีก มันทำให้เขาสังเกตเห็นบางสิ่งอย่างคลุมเครือ ดูเหมือนภูมิหลังของกระบี่ตกทอดจากบิดามารดาที่ไม่เคยห่างกายเขาเล่มนี้จะยิ่งใหญ่ไม่น้อย บัดนี้ปรากฏเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้ออกมา ยิ่งทำให้เขามั่นใจสิ่งที่คิดอยู่ภายใน
‘มองมรรคาแห่งเซียน ปฏิบัติวิถีแห่งเซียน เซียนมีห้าสิ่งล้ำค่า ผู้พบมันย่อมสำเร็จ ห้าสิ่งล้ำค่าเคียงกาย ผนึกรวมอยู่ในใจ โคจรทิวาราตรี ธรรมชาติใส่ใจสรรพสิ่ง และสรรพสิ่งเกิดจากธรรมชาติ มนุษย์คือจิตวิญญาณของธรรมชาติ รวบรวมสัญชาตญาณ หักห้ามความปรารถนา อินหยางสองปราณจึงเกิด สองปราณหมุนเวียน ใสขึ้นขุ่นลงเพื่อสร้างฟ้าดิน
ฟ้าเป็นกระจกเคลื่อนย้ายดวงดาว ดินเป็นฐานให้มังกรทะยานขึ้น มนุษย์อยู่ตรงกลางเพื่อประสานอินหยางและกำหนดฟ้าดิน แต่สันดานมนุษย์มีดีเลว จิตใจมีฉลาดโง่เขลา ไร้วิถีนำทางย่อมซ่อนอยู่หลังอินหยางกระจัดกระจาย ฟ้าดินกลับตาลปัตร ได้วิถีนำทางย่อมอาจเคลื่อนไหวตัดกันและกระตุ้นห้าธาตุ เหมือนไม้อาจก่อไฟ โชคดีต้องแพ้เคราะห์ร้าย ความชั่วเกิดจากความดี เศร้าตามด้วยสุข
ผู้ถูกทำนองคลองธรรมล้วนแล่นเรือได้ไกล ผู้ฝืนหลักการย่อมพินาศเป็นแน่แท้ ฉะนั้นต้องพัฒนาวิถีฝึกตน ฟ้าดินล่วงล้ำแก่นแท้อินหยาง อินหยางล่วงล้ำสติปัญญาสรรพสิ่ง มนุษย์ล่วงล้ำความผันแปรของฟ้าดินอินหยาง ฉะนั้นสามผู้ล่วงล้ำล้วนเบิกบานแช่มชื่น เติบโตงอกงามไม่สิ้นสุด
มนุษย์อยากชนะอินหยางจึงเปลี่ยนอินหยางไว้ใช้เองก่อน มนุษย์อยากชนะฟ้าดินจึงผลักอินหยางเปลี่ยนฟ้าดิน มนุษย์อยากชนะความผันแปรจึงช่วงชิงการรังสรรค์แห่งเวลา จำต้องควบคุมเหตุแห่งการเปลี่ยนแปลง ดวงดาวทั่วฟ้ามีมากมาย ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์มีขนาดแน่นอน เมื่อฝึกวิถีเซียน ย่อมสร้างสะพานเซียน ดึงเอาวิชาเซียนพลังเซียนข้ามสะพานมา…’
ในสมองหลิวรุ่ยอิ่งตอบสนองแสงสว่างบนกระบี่หุบเหวดาราด้วยการปรากฏอักษรมากมายเหล่านี้ออกมา ทำให้เขางงงวยไม่เข้าใจความหมายของมัน…ตอนได้สติกระบี่หุบเหวดารากลับมาอยู่ในสภาพเดิมแล้ว ไม่ทำอภินิหารเช่นก่อนหน้านี้อีก
หลิวรุ่ยอิ่งคาดเดาว่าการเคลื่อนไหวผิดปกติของกระบี่หุบเหวดาราต้องไม่พ้นเกี่ยวข้องกับธรรมลักษณ์บรมครู เขาจึงรีบเคลื่อนจิตจมสู่บริเวณอินหยางสองขั้วในกายอีกครั้ง เห็นธรรมลักษณ์บรมครูนั่นอยู่บนแท่นสวรรค์ กำลังแหงนหน้ามองดาวบนนั้น ไม่รู้ทำอะไรอยู่ หลิวรุ่ยอิ่งลองใช้จิตเข้าใกล้เขา อยากลองดูว่าสื่อสารกับเขาได้หรือไม่ แต่ยามเมื่อพลังจิตเข้าใกล้ถึงสามฉื่อรอบกายเขากลับไม่อาจเข้าไปได้อีก…จนปัญญา ได้แต่ล้มเลิก
เขาพินิจอ่านคำพูดที่กระบี่หุบเหวดาราส่งมาในสมองอย่างละเอียด ดูแล้วเหมือนเค้าโครงวิชายุทธ์บางประการ ทว่าครึ่งหลังไม่สมบูรณ์ แม้หลิวรุ่ยอิ่งอ่านออกทุกตัวอักษร กลับไม่อาจเข้าใจหลักการที่แฝงอยู่ภายใน แต่คำว่า ‘เซียน’ ที่ปรากฏซ้ำๆ ในนั้นกลับทำให้หลิวรุ่ยอิ่งสนใจอย่างยิ่ง
นั่นเป็นสิ่งที่ปรากฏในเทพนิยายและตำนานเท่านั้น เป็นเรื่องเล่าแก้เหงายามดึกในวัยเด็กของทุกคน และเป็นจินตนาการสวยงามที่ผู้คนวาดไว้ในหนึ่งร้อยปีข้างหน้า หลิวรุ่ยอิ่งก็เช่นกัน แม้เขาใฝ่ฝันถึงเทพเซียนในเรื่องเล่าขานอย่างยิ่ง ทั้งอยากเป็นอมตะอายุยืนยาว ขี่เมฆบินร่อน ถือกระบี่ท่องใต้หล้าเหมือนพวกเขา เครายาวกับแขนเสื้อพลิ้วไหวสัมพันธ์กัน ไม่ว่าพบผู้ใดเจอเรื่องราวแบบไหนล้วนยิ้มรับ
แต่สุดท้ายจินตนาการก็คือจินตนาการ…เขาถอนหายใจ เก็บกระบี่ รวมรวบจิตลองสัมผัสจุดลมปราณที่เหลือที่ยังไม่ได้ทะลวงสักเล็กน้อย พบว่ายังแน่นิ่งดังเดิม
ดังคาด การตื่นรู้ใช่เรื่องดีที่เกิดขึ้นได้ทุกวันเสียที่ไหน เขาได้แต่หวังว่าตอนทะลวงคราวหน้าก็จะเป็น ‘ผู้เป็นบรมครู’ ระยะที่สามเหมือนเดิม เช่นนี้จะได้ทำให้ธรรมลักษณ์บรมครูในกายชัดเจนเป็นรูปเป็นร่างกว่าเดิม
กลางดึกแล้ว แต่หลิวรุ่ยอิ่งไม่มีสีหน้าเหนื่อยล้าแม้แต่น้อย
จุดลมปราณที่เปิดใหม่ยิ่งเพิ่มพละกำลังให้เขากว่าเดิม และทำให้เขามั่นใจมากขึ้นเวลาเจอศัตรูในภายหน้า หลิวรุ่ยอิ่งนึกถึงมนุษย์แท่งน้ำแข็งนั่นอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว
หากบอกว่าบัณฑิตจอมปลอมที่หอทรงปัญญายัดเข้าเขตติ้งซีอ๋องมาขายของย้อมแมวเป็นหนามในใจฮั่ววั่ง เช่นนั้นมนุษย์แท่งน้ำแข็งกับยอดนักธนูที่ไม่เห็นโฉมหน้าตั้งแต่ต้นจนจบก็เป็นหนามในใจหลิวรุ่ยอิ่งเหมือนกัน
แต่เขายังไม่รู้ว่าเงาชั่วร้ายภายในตัวยังไม่ถูกขจัด มันแค่หามุมหนึ่งหลบซ่อนชั่วคราวเท่านั้น ถึงอย่างไรพลังธาตุไฟจุดเหม่า กระบี่หยางแท้อวี้จิงบวกกับธรรมลักษณ์บรมครูที่เพิ่งถือกำเนิดใหม่ก็เป็นสิ่งที่เหนือกว่ามันมากทั้งสิ้น
“หลิวรุ่ยอิ่ง หลับหรือยัง”
เสียงนี้เป็นจิ่วซานปั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
กลางดึกเช่นนี้เขามีเรื่องอะไรอีก หรือว่ามาดื่มเหล้ากับตนอีกแล้ว
หลิวรุ่ยอิ่งจนใจยิ่ง แต่ยังคงเปิดประตูห้อง
ข้างในคิดว่าจิ่วซานปั้นผู้นี้ก็ไม่เกรงใจเลยจริงๆ ประตูเปิดยังไม่รอหลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยคำ เขาก็เข้ามานั่งลงหน้าโต๊ะแล้ว บนมือถือน้ำเต้าสุราของเขาตามปกติ
“สหายซานปั้นมีอะไรหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
แม้เขารู้สึกจิ่วซานปั้นรักการดื่มเหล้าเท่าชีวิต แต่ระดับการดื่มเหล้านี่ก็ไม่ธรรมดาจริงๆ ขอแค่เขาลืมตา เช่นนั้นก็ไม่มียามใดที่เขาไม่ดื่มเหล้าอีก ประโยคหนึ่งพูดไม่ถึงสิบคำก็ต้องดื่มอึกหนึ่ง แต่ต้นจนจบไม่เมาพับหลับไป
ทุกครั้งที่หลิวรุ่ยอิ่งเห็นเขาดื่มเหล้าล้วนคิดว่าอึกต่อไปเขาต้องเมาแล้วเป็นแน่ แต่ไม่รู้ผ่านไปอีกกี่อึก เขากลับยังดื่มได้เต็มที่เหมือนเดิม
……………………………………………
[1] ไม่กินอาหารเมืองมนุษย์ หมายถึงไม่ค่อยเก่งเรื่องทางโลก อีกนัยหนึ่งสื่อว่าสง่างาม สูงส่งเหมือนเทพเซียน
[2] หัวใจมีเก้าช่อง สองตา สองหู สองรูจมูก ปาก ทางเดินปัสสาวะ ทวารหนัก ทุกช่องทางล้วนเชื่อมถึงหัวใจ
[3] ตังหยาง จุดเหนือแนวชายผมหนึ่งชุ่น
[4] สามดวงจิต คนต้องมีสามดวงจิตเจ็ดวิญญาณจึงจะเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์