ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 69 อาทิตย์อัสดงหยาดฝนเลือดแห่งการเดิมพันครั้งสุดท้าย-2
- Home
- ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา
- บทที่ 69 อาทิตย์อัสดงหยาดฝนเลือดแห่งการเดิมพันครั้งสุดท้าย-2
บทที่ 69 อาทิตย์อัสดงหยาดฝนเลือดแห่งการเดิมพันครั้งสุดท้าย-2
นางล้วนไม่รู้จักคนทั้งสองตรงหน้านี้ แต่หลิวรุ่ยอิ่งดูแลนางอย่างดีมาตลอดทาง และยังต่างจากบุรุษน่ารังเกียจคนอื่นๆ เหล่านั้นที่ไม่จ้องมองนางด้วยสายตาโลมเลียก็กะล่อนปลิ้นปล้อนนึกว่าจะตะล่อมนางให้มีความสุขได้ ด้วยเหตุนี้ในช่วงเวลาสำคัญยิ่งต้องก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยหลิวรุ่ยอิ่ง
หลังจากหลิวรุ่ยอิ่งฟาดฟันกระบี่จนยอดนักธนูที่ซ่อนตัวในบ้านเผยตัว แม้ว่าคนผู้นั้นจะตะลีตะลาน แต่ก็ยังยิงธนูออกมาราวกับสายฟ้าภายใต้ฝุ่นควันตลบ
ก่อนหน้านี้หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าออกกระบี่สำเร็จจึงชะล่าใจเล็กน้อย จนกระทั่งลูกธนูพุ่งมาหน้าประตูไม่ถึงหนึ่งฉื่อจึงรีบเบี่ยงหลบ
ลูกธนูเฉียดแก้มหลิวรุ่ยอิ่งปักบนผนังร้านตีเหล็กจน ‘จดหมายตัดขาดกับโอวหย่าหมิง’ ร่วงลงพื้น
“โอ๊ะๆ! นี่มันยอดไปเลย!”
ช่างตีเหล็กรีบก้าวไปหยิบมันขึ้นมาพร้อมแกล้งเป่าฝุ่นปลอมๆ ออก
“นี่ อยากดูหรือไม่”
เขาเห็นสายตาโอวเสี่ยวเอ๋อเอาแต่เหลือบมองมาทางนี้จึงยื่นจดหมายตัดขาดความสัมพันธ์ฉบับนี้ให้พลางเอ่ยถาม
“ข้าไม่ดู!”
โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าว
นางรู้ว่าในจดหมายตัดขาดฉบับนี้ย่อมระบุความไม่สบายใจมากมายถึงผู้นำตระกูลโอวของนาง เช่นนั้นต่อให้ข้าเคารพท่านเพียงไหน ไม่แน่ว่าจะต้องเถียงเรื่องความถูกผิดกับท่านเป็นแน่ สู้ไม่เห็นก็ไม่กวนใจจะดีกว่า
ช่างตีเหล็กได้ยินจึงเบ้ปาก ไม่กล่าวให้มากความ เพียงเก็บมันเอาไว้
โอวเสี่ยวเอ๋อมองจิ่วซานปั้นอย่างแปลกๆ เล็กน้อย เห็นเขาเอาแต่กัดเล็บตัวเองด้วยสีหน้าวิตกกังวล ไม่เอ่ยปากสักคำ
นี่ไม่ตรงกับตัวตนยามปกติของเขาเท่าไรนัก เจ้านี่เป็นคนช่างพูด ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาไม่เคยเห็นว่าเขาไม่พูดสักครา ไม่ว่าจะหัวข้อใดก็ตาม เขาล้วนสามารถอาศัยตำราไม่กี่เล่มในสมองของตนมาพูดคุยกับเจ้าได้
แต่วันนี้นอกจากถามโรคข้ออักเสบเมื่อครู่แล้วกลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาและหลิวรุ่ยอิ่งรู้จักกันมานาน หลิงรุ่ยอิ่งปฏิบัติต่อเขาด้วยความมีน้ำใจอย่างยิ่ง ในช่วงเวลาสำคัญอย่างไรเขาก็ควรแสดงท่าทีบ้าง เหตุใดถึงไม่รู้สึกรู้สาเพียงนี้เล่า
โอวเสี่ยวเอ๋ออดดูแคลนเขาอยู่ในใจหลายส่วนไม่ได้ คิดว่าจิ่วซานปั้นกลัวถึงได้กลุ้มใจลังเลเช่นนี้ คืนนั้นในโรงเตี๊ยมพูนโชคเมืองติ้งซีอ๋องก็ลงมืออย่างแข็งขันเพื่อให้ตนพึงพอใจ ประเมินความสามารถสูงเกินไปแล้วจริงๆ!
หลังจากหลิวรุ่ยอิ่งหลบลูกธนูดอกนี้ มนุษย์แท่งน้ำแข็งรู้ว่าแผนการของตนถูกทำลายจึงยืนหยัดต่อสู้อย่างไร้ทางเลือก
เห็นเพียงเขาชักคันศรซ้ายทีขวาที กำหมัดเล็กน้อย คราวนี้ผนึกควบเป็นดาบน้ำแข็งสองเล่ม
เย็นยะเยือกสุดขีด บางเฉียบดุจปีกจั๊กจั่น
แสงแดดสาดส่องผ่านตัวดาบสะท้อนพื้นดิน ราวกับคลื่นแสงผันผวนในน้ำ
มนุษย์แท่งน้ำแข็งพ่นไอลมหายใจขาวฟุ้งจากปาก แขนทั้งสองค่อยๆ ปกคลุมไปด้วยชั้นน้ำแข็งขาวโพลนกระทั่งกลายเป็นเกราะน้ำแข็งหนา
อาการบาดเจ็บจุดรวมประสาทครั้งก่อนทำให้เขาจำต้องใช้พลังอย่างระมัดระวัง หากครั้งนี้จุดรวมประสาทบาดเจ็บอีกครั้ง เช่นนั้นคงเป็นเรื่องที่แม้แต่เทพเซียนก็ไม่อาจกอบกู้โลกได้จริงๆ
ตนเองล้มลุกคลุกคลานมาหลายปี อดทนต่อความลำบากตั้งเท่าใดจึงจะฝึกฝนได้ถึงระดับนี้ ไม่อาจยอมแพ้ในขณะที่ตนเองยังไม่ได้ใช้ชีวิตสุขสบายเป็นแน่!
“หิมะปกคลุมขุนเขา!”
มนุษย์แท่งน้ำแข็งทำลายเกราะน้ำแข็งหนาบนแขนทั้งสองข้างแตกกระจายในทันใด เศษน้ำแข็งปลิวกระจายไปทั่วทั้งนภา
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่านี่เป็นการเคลื่อนไหวแบบใด จึงตัดสินใจรีบออกสองกระบี่ติดกัน หมายจะพิชิตสิบครั้งในคราเดียว!
“กวาดล้างสังหารคนชั่วข้างองค์จักรพรรดิ!”
แสงกระบี่สองสายแฝงด้วยพลังธาตุไฟแกร่งกล้าตัดกันกลางอากาศวาดเป็นกากบาท สกัดกั้นเศษน้ำแข็งทั้งหมดไปจนสิ้น
คิดไม่ถึงว่าเศษน้ำแข็งเหล่านี้เมื่อปะทะกับพลังธาตุไฟของหลิวรุ่ยอิ่ง กลับกลายเป็นหิมะโปรยลงมาชั่วพริบตา
“อ๊าก…!”
มองหิมะขาวนวลเบาพลิ้วดุจขนนกเหล่านี้ จู่ๆ ดวงจิตหลิวรุ่ยอิ่งพลันสั่นไหว ความรู้สึกสองขั้วครอบงำจิตใจอีกครั้ง
ศรเงาปีศาจเมื่อครั้งก่อนยังฝังอยู่ในร่างกาย เมื่อครู่เขาออกกระบี่สามครั้งติดกัน แต่ละกระบี่ล้วนใช้พลังสุดแรงเกิดทั้งสิ้น
พลังธาตุไฟในจุดเหม่าถูกใช้ไปเกือบครึ่ง ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีพลังเหลือเพื่อสยบเงาปีศาจที่ชอนไชร่างกายอีกต่อไป…
ภายใต้ผลกระทบจากพลังเงาปีศาจมวลนี้ ปฏิกิริยาตอบสนองของหลิวรุ่ยอิ่งช้าลงไปมาก แต่ ‘หิมะตก’ ที่โปรยปรายช้าๆ กลางอากาศ ที่จริงแล้วเป็นคมดาบทั้งเบาทั้งเล็กขั้นสุดต่างหาก พริบตาเดียว ชุดราชการบนกายเขาถูกเฉือนเป็นชิ้นๆ แม้แต่มือที่จับกระบี่ยังเต็มไปด้วยรอยแผล…จนเกือบจับกระบี่ไม่อยู่!
“อ๊าก! เพิงของข้า!!”
คิดไม่ถึงว่า ช่างตีเหล็กจะยกสองมือกุมศีรษะแล้วร้องตะโกนดังลั่น!
คมดาบเกล็ดหิมะไม่เพียงบาดหลิวรุ่ยอิ่ง แต่ยังเจาะเพิงร้านตีเหล็กของเขาเป็นรูทั้งรูเล็กรูใหญ่นับไม่ถ้วน
แสงแดดสาดส่องผ่านรูเหล่านี้ เงาสะท้อนหลากหลายจุดบนพื้นสวยงามเหมือนอยู่ในภาพวาด
โอวเสี่ยวเอ๋อเห็นหลิวรุ่ยอิ่งบาดเจ็บ ในใจยิ่งร้อนรน ตอนนี้จึงมีใจกล้าหาญจะก้าวเข้าไปช่วยอีกแรง
ไม่คาดคิดว่าก่อนตนจะก้าวไปข้างหน้า จิ่วซานปั้นพุ่งไปข้างหน้าราวกับผีสาง โอวเสี่ยวเอ๋อนึกว่าเขาจะไปเสริมกำลังให้หลิวรุ่ยอิ่ง ในใจพลันคิดว่าเจ้านี่ยังพอมีมโนธรรมอยู่บ้าง
ที่ไหนได้ เป้าหมายจิ่วซานปั้นหาใช่หลิวรุ่ยอิ่งไม่ แต่เป็นไหสุราที่แตกกระจุยในร้านตีเหล็กต่างหาก
เมื่อครู่ไหและของจิปาถะกองรวมกัน ไฟเตาหลอมในร้านตีเหล็กร้อนระอุอีกครั้ง กลิ่นต่างๆ ผสมปนเป แม้แต่จมูกจิ่วซานปั้นยังไม่ได้กลิ่นว่าที่นี่ยังมีสุราเหลืออยู่ แต่การโจมตีของมนุษย์แท่งน้ำแข็งเมื่อครู่ช่วยเขาเอาไว้ได้มากโข หลังจากเพิงถูกทำลาย ก้อนกรวดตกลงมากระแทกไหสุราแตกพอดี สุราในนั้นไหลจ๊อกราวกับเด็กน้อยฉี่ จิ่วซานปั้นรีบหมอบต่ำ ใบหน้าครึ่งหนึ่งชิดพื้น ดื่มอย่างเอาเป็นเอาตาย
“เฮอะๆ ข้าจงใจไม่บอกเขาอยากดูว่าเขาจะทนได้นานแค่ไหน…ไม่คิดเลยว่าจะติดสุรารุนแรงถึงเพียงนี้! หากเป็นเช่นนี้ตลอดไปไม่ดีแน่…ส่งผลเสียต่อสุขภาพ!”
ช่างตีเหล็กมองท่าทางจิ่วซานปั้นกระดกก้นหมอบคลานดื่มสุราบนพื้นแล้วกล่าว
“บุรุษหน้าไหนก็ล้วนไว้ใจไม่ได้จริงๆ!”
โอวเสี่ยวเอ๋อต่อว่า ทนไม่ไหวอีกต่อไป ชักกระบี่แล้วพุ่งเข้าไป
‘ชิ้ง ชิ้ง ชิ้ง!’
ตอนนี้เองขณะกำลังจะผ่านร้านตีเหล็กไปถึงตัวหลิวรุ่ยอิ่ง ยอดนักธนูผู้นั้นยิงธนูติดกันสามดอก ทำให้โอวเสี่ยวเอ๋อจำต้องหยุดตวัดกระบี่สกัด
ด้วยความบังเอิญ หลังจากลูกธนูหนึ่งดอกถูกนางสกัดไว้ คิดไม่ถึงว่าจะยิงไปทางสุราไหนั้นอีกครั้งจนแตกเสียงดัง ‘โพล๊ะ’!
สุราที่แตกออกกระเซ็นไปทั่วศรีษะและทั่วหน้าจิ่วซานปั้นกระทั่งเปียกโชกไปทั้งด้านหน้า
“สุราดี สุราชั้นยอด! ทั้งแรงทั้งบริสุทธิ์! เข้าปากจะเหือดแห้งเล็กน้อย แต่ไม่สูญเสียความละมุน!”
จิ่วซานปั้นแตะริมฝีปากกล่าวพลางหวนนึกถึงรสชาติ
“ไร้สาระ! นั่นนารีแดง[1]ที่ข้าเก็บเอาไว้…หากวันนี้เจ้าดื่มหนึ่งไห เจ้าจะแต่งกับลูกสาวข้าหรือ”
ช่างตีเหล็กกล่าว
ประโยคนี้ดุจสายฟ้าในคืนมืดมิด เสียงดังสะเทือนเลือนลั่น แม้แต่มนุษย์แท่งน้ำแข็งยังหูผึ่ง
ใครจะคิดว่าคนสกปรกมอมแมมเพียงนี้จะหาภรรยาและให้กำเนิดลูกสาวได้เล่า
โอวเสี่ยวเอ๋อมองว่าเขาแย่ยิ่งกว่าขอทานข้างถนนพวกนั้นเสียอีก…ต่อให้จะรูปลักษณ์หล่อเหลาเพียงไหน พลังฝึกตนจะแกร่งกล้าเพียงใด ไม่มีทางที่จะกลายเป็นคนเคียงหมอนของตนเด็ดขาด
“ลูกเล็กเด็กแดงเจ้าอายุเท่าใด”
จิ่วซานปั้นถามอย่างจริงจัง
เขารู้สึกว่าในเมื่อเป็นเรื่องที่เขาทำ เช่นนั้นเขาก็ต้องรับผิดชอบ
“สามปีเจ็ดเดือน”
ช่างตีเหล็กกล่าว
“ได้ ข้ารอนางถึงวัยสิบเจ็ดปี แต่ตอนนี้ข้าต้องไปช่วยกู้หน้าให้สหายของข้าก่อนจริงๆ”
ขณะที่พูดจิ่วซานปั้นก็ชักกระบี่ยาวด้ามสีฟ้าครามออกมา
ครั้นออกฝัก ช่างตีเหล็กพลันเผยสีหน้าประหลาดใจ
“กระบี่เล่มนี้ผู้ใดในตระกูลโอวพวกเจ้าสร้างมัน”
ช่างตีเหล็กถามโอวเสี่ยวเอ๋อ
เขาตกตะลึงกับเนื้อสัมผัสและฝีมือการหลอมกระบี่เล่มนี้
กระบี่เทพในใต้หล้ามาจากตระกูลโอว ฉะนั้นเขาจึงคิดโดยทันทีว่ากระบี่เล่มนี้ถูกหลอมขึ้นโดยใครบางคนจากตระกูลโอว
“ไม่…ไม่ใช่ตระกูลโอว กระบี่เล่มนี้เขาสร้างขึ้นมาเอง”
โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าว
จิ่วซานปั้นโยนฝักกระบี่ เอียงตัวอีกครั้งและมุ่งหน้าไปทางหลิวรุ่ยอิ่ง
ก่อนฝักกระบี่ที่โยนทิ้งจะร่วงสู่พื้น เขารวบเอวอุ้มหลิวรุ่ยอิ่งและถอยไปด้านหลังไกลหลายสิบจั้ง
แต่ไหนแต่ไรจิ่วซานปั้นมักจะเรียกหลิวรุ่ยอิ่งด้วยชื่อจริง แต่คราวนี้เรียกเขาว่าสหาย ท้ายที่สุดแล้วความรู้สึกระหว่างบุรุษย่อมเชื่องช้ายิ่งกว่าสุราและลึกซึ้งยิ่งกว่าความเมา
พลังผนึกน้ำแข็งกระจายไปทั่วบาดแผลบนร่างกายหลิวรุ่ยอิ่ง แต่โชคดีที่พลังของคมดาบหิมะไม่ได้แข็งแกร่งเพียงนั้น เขาเพียงแต่กระตุ้นอินหยางสองขั้วใหม่อีกครั้ง โคจรพลังธาตุไฟในจุดเหม่าเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์จึงจะขจัดสลายไปจนสิ้น
แต่หากเป็นเช่นนี้ พลังธาตุไฟในจุดเหม่าจะเหลืออยู่ไม่มากนัก…
‘ยังอ่อนแอเกินไป…หากทะลวงจุดในระบบพยัคฆ์ขาวแขนขวาทั้งเจ็ดตามลำดับ การสังหารเขาก็เท่ากับปลิดชีพสุนัข!’
หลิวรุ่ยอิ่งคิดในใจ
เดิมทีนึกว่าเมื่อเผชิญหน้ากับมนุษย์แท่งน้ำแข็งอีกครั้งจะสามารถเอาชนะได้ง่ายๆ เสียอีก ไม่คิดเลยว่าสู้ไปสู้มาจะสะบักสะบอมถึงเพียงนี้…
เมื่อครู่หากจิ่วซานปั้นไม่ลงมือช่วยเหลือ ตนคงบาดเจ็บสาหัสไปแล้วแน่นอน ตอนนี้แม้แต่ความก้าวหน้าขั้นที่สาม ‘รุดหน้าอย่างอาจหาญ’ และระดับจิตใจ ‘กายใจรวมเป็นหนึ่ง’ ล้วนสั่นคลอนเล็กน้อยราวกับพังทลายและถดถอย…
จิ่วซานปั้นค่อยๆ ยกกระบี่ในมือ
“นี่เป็นครั้งแรกที่มันลิ้มรสเลือด”
จิ่วซานปั้นกล่าวกับมนุษย์แท่งน้ำแข็ง
มนุษย์แท่งน้ำแข็งเห็นทักษะว่องไวของจิ่วซานปั้นเมื่อครู่จึงรู้ว่าเขาต้องร้ายกาจเป็นแน่ แต่ไม่ว่าจะสัมผัสอย่างไรล้วนไม่พบพลังธาตุใดๆ จากเขาเลย…
สิ่งนี้ทำให้มนุษย์แท่งน้ำแข็งรู้สึกไม่แน่ใจอยู่บ้าง
อย่างไรเสียครั้งก่อนที่โจมตีหลิวรุ่ยอิ่ง พวกเขาได้รับข้อมูลที่ละเอียดมาก
“ครั้งแรกหรือ”
มนุษย์แท่งน้ำแข็งย้อนถาม
เมื่อพิจารณาจากทักษะของจิ่วซานปั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรเป็นครั้งแรกที่เขาฆ่าคนถึงจะถูก
หรือกระบี่เล่มนี้จะเป็นของใหม่ เช่นนั้นคงอธิบายได้ว่าเหตุใดถึงเห็นเลือดเป็นครั้งแรก
แท้จริงแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่จิ่วซานปั้นฆ่าคน
หากเป็นไปได้ละก็ เขาไม่อยากฆ่าใครเลย…
ตั้งแต่เล็กจนโตเขาเติบโตมากับธรรมชาติ มีความรักต่อพืชและต้นไม้ทุกชนิดในโลกมากกว่าคนทั่วไปเสียอีก
แม้แต่เสาประตูเก่าในหมู่บ้านเก่าแก่ผุพังไปตามกาลเวลา เขายังรู้สึกหดหู่ใจไปพักหนึ่ง
นี่ไม่ได้เสแสร้งแต่อย่างใด ทว่าเป็นความรักและทะนุถนอมอย่างรู้ค่าประเภทหนึ่ง
เขาหวงแหนทุกสิ่งที่เขาใส่ความรู้สึกของตนไว้ และหวงแหนทุกคนที่ทำให้ตนสัมผัสได้ถึงความรัก หลิวรุ่ยอิ่งก็เป็นหนึ่งในนั้น ด้วยเหตุนี้ชั่ววินาทีที่เขาชักกระบี่ก็พร้อมจะสังหารคนแล้ว
“เหตุใดพวกเจ้าต้องสังหารเขา”
จิ่วซานปั้นถาม เขามักจะมีนิสัยไขทุกปัญหาให้กระจ่างแจ้ง
“นำเงินผู้อื่นไป ย่อมต้องช่วยผู้อื่นขจัดภัยพิบัติ!”
มนุษย์แท่งน้ำแข็งกล่าวเสียงดัง เขาไม่รู้สึกผิดใดๆ กับเรื่องนี้
บางคนใช้เงินซื้ออาหาร บางคนใช้เงินซื้อบ้านเรือน ย่อมมีคนใช้เงินซื้อชีวิตเป็นธรรมดา ท้ายที่สุดแล้วก็เหมือนกันหมด
ดังคำกล่าวที่ว่าโชคชะตาฟ้าลิขิต แต่ก็มีคำกล่าวที่ว่ายอมเสี่ยงเพื่อความมั่งคั่ง ฉะนั้นควรฟังผู้ใดดีเล่า อย่างน้อยมนุษย์แท่งน้ำแข็งตรงหน้าก็ฟังอย่างหลัง
จิ่วซานปั้นฟังคำตอบแล้วไม่อาจเข้าใจความคิดของพวกเขาได้ แต่ในตอนนี้เองหลิวรุ่ยอิ่งค่อยๆ ใช้มือดันกระบี่ที่เขายกขึ้นลงไป
“ข้าเอง สหาย”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
สายตาของเขาหนักแน่นยิ่งกว่าเดิม ร่องรอยความเย่อหยิ่งและความเหลาะแหละในดวงตามลายหายไป
“นี่สิถึงจะเป็นลูกศิษย์ข้า! ชายชาตรีต่อสู้โดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะมามากน้อยเพียงใด แต่ไม่ควรเรียกร้องขอความช่วยเหลือ!”
ช่างตีเหล็กพูดเสียงดัง
หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินจึงยิ้ม ไม่ได้ตอบ เพียงใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางแนบชิดตวัดผ่านกระบี่เบาๆ
………………
ภายในวังติ้งซีอ๋อง เมืองติ้งซีอ๋อง
ฮั่ววั่งผล็อยหลับไปขณะนั่งอยู่บนบัลลังก์ในช่วงกลางวัน…
“หึ! รับลูกศิษย์ดีๆ หนึ่งคนแล้วสินะ!”
เสียงแปลกๆ ดังลอดเข้ามาในหูปลุกเขาให้ตื่น
ครั้นลืมตาก็เห็นนักเชิดหุ่นปีศาจกำลังฉีกยิ้มให้ตน
ใบหน้านั้นแนบชิดยิ่งนัก แต่กลับไม่มีกลิ่นอายใดๆ…
หากฮั่ววั่งไม่อาจมองเห็นเขาด้วยตาเปล่าละก็ เขาเหมือนไม่มีตัวตนด้วยซ้ำ
ในสวนด้านหลัง ทังจงซงกัดด้ามพู่กันพลางครุ่นคิดอย่างหนัก บนโต๊ะมีฉบับร่างเต็มไปด้วยตัวอักษรกองพะเนิน แต่เนื้อหาเหล่านั้นกลับไม่ค่อยถูกใจนัก…
……………………………………………………………
[1] นารีแดงหรือเหล้าลูกสาว เป็นเหล้าเก่าแก่ของจีน