ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 7 ค่ำคืนไม่เงียบสงัด
บทที่ 7 ค่ำคืนไม่เงียบสงัด
ในที่ว่าการรัฐติง
ทังหมิงบอกเรื่องที่ว่าไว้ในจดหมายของเฮ่อโหย่วเจี้ยนให้ภรรยาฟังแล้ว
โจวอวิ๋นอวิ่นเป็นสตรีที่รู้สถานการณ์คนหนึ่ง นางหยุดร้องไห้โวยวายทันที
“ควรรับมืออย่างไรเจ้าคะ”
โจวอวิ๋นอวิ่นเอ่ยถาม
“ฐานะผู้แทนการตรวจสอบนั้นอ่อนไหวเกินไป ในเมื่อเขาอยากปิดบังตัวตน เช่นนั้นข้าก็จะทำเป็นไม่รู้ แต่เรื่องนี้ยังต้องรายงานติ้งซีอ๋องอย่างลับๆ ถึงอย่างไรในจดหมายโหย่วเจี้ยนก็บอกว่าเขาอ้างตนเป็นผู้แทนการตรวจสอบพิเศษภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ไม่ได้มุ่งหน้ามาสู่รัฐติงข้า”
“ท่านหมายความว่าฉิงจงอ๋องกับติ้ง…”
“อย่าพูดมากไป ทั้งหมดยังไม่ได้ข้อสรุป”
“เรื่องลูกจะทำอย่างไร”
“เฮ้อ ข้าจะตอบจดหมายบอกให้โหย่วเจี้ยนทราบสถานการณ์ แล้วแจ้งไปยังด่านตรวจและจุดพักม้าทางการตามทางเขตสงครามชายแดนให้เพิ่มการเฝ้าระวัง ค้นหาตำแหน่งซงเอ๋อร์ ส่วนเรื่องอื่นก็ทำได้เพียงปล่อยให้เขาหาความสุขด้วยตนเอง ซงเอ๋อร์ก็โตมากแล้ว คิดเสียว่าเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งแล้วกัน”
โจวอวิ๋นอวิ่นพยักหน้าอย่างยากลำบาก
นางรู้สึกเหมือนสำลีก้อนหนึ่งอุดในหน้าอก รู้สึกหายใจติดขัดยากจะอธิบาย
ทังหมิงกลับถึงห้องประชุมแต่ไม่ได้ตอบจดหมายเฮ่อโหย่วเจี้ยน เพียงบอกคนสนิทของเขาไปสามคำ ‘รับทราบแล้ว’ จากนั้นเขาเปิดช่องลับช่องหนึ่งออกมาจากข้างใต้โต๊ะฝั่งซ้าย ด้านในมีกล่องยาวทรงหกเหลี่ยมกล่องหนึ่ง
แผ่นโลหะสี่เหลี่ยมจัตุรัสชิ้นหนึ่งติดอยู่ด้านบนกล่อง รอบด้านของมันมีรูอยู่สี่ช่อง แท่งทองแดงบางๆ สองแท่งเสียบเข้าไปตามรู ตัดกันเป็นกากบาทอยู่ด้านในแผ่นโลหะ
นี่คือกล่องรายงานลับ มีเพียงผู้ควบคุมรัฐต่างๆ ใต้บังคับบัญชาติ้งซีอ๋องเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ใช้
ทังหมิงดึงแท่งทองแดงแท่งหนึ่งออกอย่างระมัดระวัง กล่องเปิดออกครึ่งหนึ่งทันที ช่องว่างภายในครึ่งนี้เผยให้เห็นในลักษณะลาดชัน ไม่ว่าสิ่งที่ใส่เข้าไปคือสิ่งใดมันก็จะไหลเข้าสู่ครึ่งที่ไม่ได้เปิดออก เนื่องจากทางลาดกับด้านข้างมีความสูงต่างระดับกัน ดังนั้นของที่ไหลลงไปจะไม่สามารถเทออกมาได้อีก
ชั่วขณะที่ดึงแท่งทองแดงแท่งนั้นออกมา รูสองฝั่งของแผ่นโลหะก็จะปิดลง ไม่อาจเสียบกลับไปได้อีก แท่งทองแดงอีกแท่งหนึ่งเตรียมไว้ให้ติ้งซีอ๋อง เมื่อกล่องส่งถึงบนมือเขาแล้ว ขอเพียงดึงแท่งทองแดงอีกแท่งหนึ่งออกก็จะเปิดครึ่งที่แผ่นกระดาษไหลลงไปออกมาได้ จากนั้นกล่องนี้ก็บรรลุภารกิจของตน ต้องให้ช่างฝีมือหลอมชิ้นส่วนขึ้นใหม่จึงจะใช้งานได้อีกครั้ง
ทังหมิงใส่แผ่นกระดาษที่เขียนเสร็จแล้วเข้าไป หลังจากปิดกล่องเข้าหากันก็ส่งบุคคลเฉพาะกิจไปส่งให้วังติ้งซีอ๋องซึ่งตั้งอยู่ระหว่างรัฐฉีและรัฐเหมิงอย่างเร่งด่วน
………………………..
ชายแดนรัฐติง
ผู้ว่าการหัวเมืองเฮ่อโหย่วเจี้ยนรวมกองทัพใหญ่สามเส้นทาง ตั้งทัพทหารสองแสนนาย และบัญชาการห้าเมืองเขตชายแดนด้วยตนเอง
เวลานี้กองบัญชาการกองทัพกลางตั้งอยู่กลางเมืองจี๋อิง ธงรบสามด้านเขียนแบ่งเป็น ติง ทังและเฮ่อปักอยู่ด้านบนปลิวไสว
ในกองบัญชาการมีนายทหารเข้าๆ ออกๆ อย่างต่อเนื่อง รายงานสงครามลอยมาดุจเกล็ดหิมะทีละฉบับ
เสิ่นซือเซวียนกับฟู่ฮั่นหยางถือรายงานสงครามพลางมุ่นหัวคิ้วใส่แผนที่เขตชายแดนแน่น ทั้งสองแบ่งกันนำทหารรถม้าห้าหมื่นนายและทหารม้าแปดหมื่นนาย
บนทุ่งหญ้าอันโล่งกว้าง ทหารม้าเป็นเหล่าทัพที่มีประสิทธิภาพในการรบมากที่สุด พวกเขามีความคล่องตัวสูง เคลื่อนที่ว่องไว สมรรถภาพในการไล่สังหารแข็งแกร่งอย่างยิ่ง มีกำลังโจมตีมาก เป็นกองทัพกำลังสำคัญของราชสำนักทุ่งหญ้าและเป็นกองหน้าของทัพแห่งรัฐติง
แต่ทหารม้าก็มีจุดอ่อนถึงชีวิตเช่นกัน นั่นคือยากจะรักษารูปกระบวนทัพทั้งหมด สิ่งที่พวกเขากลัวมากที่สุดก็คือทหารรถม้า รถม้าทำได้ทั้งโจมตีและป้องกัน แม้ขาดความคล่องตัวอยู่บ้าง แต่ทหารที่นั่งอยู่ด้านบนสามารถเตรียมอาวุธได้หลากหลาย ระยะไกลใช้ธนูและหน้าไม้ยิงพร้อมกันได้ ระยะใกล้สามารถใช้ดาบและกระบี่ฟาดฟัน บางครั้งการโจมตีครั้งเดียวของทหารรถม้า ก็สามารถทำให้รูปกระบวนทัพของทหารหมาป่าทุ่งหญ้าแตกกระเจิงได้
เฮ่อโหย่วเจี้ยนไม่ได้อยู่ในกองบัญชาการ คืนนี้พอถึงฐานที่ตั้ง เขาก็สวมเกราะครบชุดไปตรวจสอบค่ายทหารทีละหลังตามลำดับพร้อมกับรองแม่ทัพ
ท่ามกลางลมหนาวเกราะปีกหงส์ใบหลิวบนกายถูกแช่แข็งจนเกิดเป็นน้ำค้างขาวชั้นหนึ่ง หมวกมังกรทะนงสีเงินแวววามกับคบเพลิงนั้นสะท้อนแสงกันและกัน เดินไปที่ใดนายทหารก็จำได้ในแวบแรก
นี่เป็นความเคยชินที่เขานำทัพทำสงครามมานานปี สงครามใหญ่กำลังจะเกิด ต้องเดินวนกระโจมค่ายทุกหลังรอบหนึ่ง ให้เหล่าพี่น้องรู้ว่าข้าก็อยู่กับพวกเจ้า มือเกี่ยวคล้อง ไหล่เคียงคู่ ไม่มีผู้ใดหนีเพราะรักตัวกลัวตาย และไม่มีทางหันปากกระบอกปืนมาลงมือทำร้ายกันลับหลัง
“ทำไมนอกค่ายทหารยังมีแสงไฟอีก หรือว่าในเมืองยังมีชาวบ้านที่ยังไม่ได้อพยพ”
เฮ่อโหย่วเจี้ยนถามรองแม่ทัพที่ตามมาด้วย
“ผู้ว่าการหัวเมือง นั่นคือโรงเตี๊ยมพูนโชคขอรับ”
เมืองจี๋อิง โรงเตี๊ยมพูนโชค
“ทำไมพวกเจ้าถึงไม่ทำตามคำสั่งอพยพของใต้เท้าผู้ควบคุมรัฐ”
เฮ่อโหย่วเจี้ยนถามเจ้าของโรงเตี๊ยมพูนโชคเชิงตำหนิ
“ที่นี่คือโรงเตี๊ยมพูนโชค ข้าว่าใต้เท้าผู้ว่าการหัวเมืองคงเข้าใจความหมายของอักษรสี่ตัวนี้กระมัง”
“…ที่แห่งนี้กำลังจะกลายเป็นเขตสงคราม เจ้าสองคนยังต้องระวังให้มาก เมื่อสงครามเริ่มขึ้น ข้าไม่มีเวลาดูแลที่นี่”
น้ำเสียงเฮ่อโหย่วเจี้ยนผ่อนคลายลง ไม่ได้ดุดันกราดเกรี้ยวเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
“นี่ย่อมไม่ต้องให้ใต้เท้าผู้ว่าการหัวเมืองลำบาก ยิ่งกว่านั้นครั้งนี้ทหารหมาป่าแค่เน้นก่อความวุ่นวาย หมิงเย่าหลางอ๋องยังไม่มีแผนการจะเริ่มสงครามขนาดใหญ่”
เฮ่อโหย่วเจี้ยนได้ยินแล้วก็ตกใจ นี่มันเหมือนกับข้อสรุปที่เขาได้มาจากการวิเคราะห์รายงานสถานการณ์ช่วงนี้ไม่มีผิดเพี้ยน
โรงเตี๊ยมพูนโชคมีอยู่ทั่วใต้หล้า นอกจากเมืองหลวง ทุกรัฐในปกครองของอ๋องสี่พระองค์ที่เหลือล้วนมีสาขาย่อยของมัน แล้วก็เป็นอิทธิพลเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถประกอบธุรกิจบ่อนพนันและโรงเตี๊ยมบนเรือในแม่น้ำ ด้วยฐานะพันธมิตรบนแม่น้ำจักรพรรดิที่ต่อต้านคนต่างถิ่นเสมอมาได้
‘แม้แต่สาขาเมืองจี๋อิงเล็กๆ ก็มีกำลังได้มากเช่นนี้…มิน่าก่อนเดินทางใต้เท้าผู้ควบคุมรัฐถึงได้กำชับนักหนาว่าให้ตนปฏิบัติกับเมืองจี๋อิงอย่างระมัดระวัง ดูท่าสาเหตุก็มาจากที่แห่งนี้’
………………………..
จุดพักม้าทางการ รัฐติง
เมื่อเจียงเหิงเจียวจัดแบ่งกระโจมให้คนทั้งหลายแล้วทุกคนก็พักผ่อนกันตั้งแต่เนิ่น ผ่านการขึ้นเขาลงห้วยมาทั้งวัน กระทั่งเหยียนจื่อเองก็ออกจะทนไม่ไหว
มีแต่คุณชายใหญ่ทังจงซง ยามนี้ยังคึกคักเบิกบานเช่นเดิม
อย่างไรนั่งอยู่บนรถก็สบายกว่าเดินถนนด้วยสองขามากอยู่แล้ว
ไม่รู้เขาไปเอาเหล้าขาวมาจากที่ใดอีก เห็นว่าหลิวรุ่ยอิ่งก็ยังไม่นอนเลยหน้าหนารบเร้าจะไปดื่มในกระโจมเขาสักสองจอกให้หนำใจ
“ข้าว่าหลี่อวิ้นผู้นั้นสนใจเจ้าทีเดียวนา”
ทังจงซงเหยียบเท้าข้างหนึ่งไว้บนที่วางแขนข้างเก้าอี้แล้วเอนตัวไปอีกด้านหนึ่ง เขาก็นั่งอ้าขาเช่นนี้ มือข้างหนึ่งถือจอกสุรา ส่วนมืออีกข้างปลดเสื้อตัวบนออกครึ่งหนึ่ง ถูไปถูมาอยู่ตรงหน้าอก
“คุณชายพูดเล่นแล้ว ข้าน้อยเพิ่งมาถึง กับแม่นางหลี่อวิ้นก็แค่เจอกันครั้งแรก อย่างมากนับว่าเป็นมิตรภาพร่วมทางเท่านั้น จะมีความรักระหว่างชายหญิงได้อย่างไร”
หลิวรุ่ยอิ่งดื่มสุราไปจอกหนึ่งและเอ่ย นี่เป็นจอกที่เขาดื่มได้อย่างสุขุมเยือกเย็นที่สุดนับแต่มาถึงเมืองจี๋อิง
“ไอ้หยา เจ้าเก็บสำนวนเหล่านี้ไปได้หรือไม่ พูดเล่นอะไร มิตรภาพร่วมทางอะไรกัน พอกกหูข้าได้ยินคำพูดเช่นนี้ก็นึกถึงอาจารย์สอนหนังสือสองสามคนนั้นที่ตาเฒ่าข้าเชิญมาให้ตอนแรก เจ้ารู้หรือไม่ว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาลงเอยเช่นไร”
หลิวรุ่ยอิ่งส่ายหน้าเป็นเชิงไม่ทราบ
“ถ้าพวกเขาไม่ถูกข้าตีจนหนีไป ก็ถูกข้าเล่นงานจนไม่กล้าเจอข้าอีกเลย ฮ่าๆๆ”
“คุณชายช่างเป็นคนไม่อ้อมค้อม!”
เพิ่งสิ้นเสียง ทังจงซงก็ตบฝ่ามือลงบนโต๊ะดัง ‘ปัง’ กระเทือนจนจอกสุราของหลิวรุ่ยอิ่งหล่นลง
“ทำไมเจ้าผู้นี้ถึงฟังคำไม่รู้เรื่องกันนะ เอาละๆๆ เจ้ามีมารยาท เช่นนั้นข้าก็จะเปลี่ยนวิธีพูดสักหน”
“ขอถามว่าใต้เท้าผู้แทนการตรวจสอบจะคบค้าพูดจาตามปกติกับข้าน้อยด้วยศักดิ์เสมอกันได้หรือไม่ คืนนี้ข้ากับท่านสองคนคุยเพียงเรื่องที่ได้พบเห็น ไม่หารือเรื่องชาติ เป็นอย่างไร ใต้เท้าผู้แทนการตรวจสอบเห็นควรหรือไม่เห็นควร”
“เห็นควรๆ คุณชายมีคำสั่ง ข้าน้อยไหนเลยจะกล้าไม่ทำตาม”
ทันใดนั้น ทั้งสองก็หัวเราะอย่างเบิกบานใจ
………………………..
นอกจุดพักม้าทางการของรัฐติง
มีคนเดินเล่นอยู่กลางป่า
ทุกย่างก้าวล้วนเบายิ่ง เบาจนแม้แต่กิ่งแห้งบนพื้นก็เหยียบไม่หัก
วิเคราะห์จากรูปร่าง นี่เป็นสตรีอย่างแน่นอน
เป็นสตรีผู้งามล้ำท่านหนึ่ง
นางก็เดินแช่มช้าเช่นนี้ นอกจากการเคลื่อนย้ายของเงาร่าง คนทั้งคนก็ไม่มีกิริยาอื่นใดสักนิด
เสื้อคลุมตัวใหญ่ปกคลุมแขน ผ้ากันลมบดบังใบหน้า
แสงจันทร์ส่องลงมาตามช่องว่างของกิ่งไม้ สาดบนหิมะเหนือพื้นแล้วสะท้อนกลับมาบนตัวของนาง ทำให้เกิดรัศมีจางๆ วงหนึ่งอยู่ทั่วกายนาง ช่างดูเหมือนภาพลวงยิ่งนัก
นางเดินไม่ถึงสองก้าวก็หยุดลง เงยหน้าดึงผ้ากันลมออก
ผมยาวที่มัดไว้สยายออกจากผ้าคลุมศีรษะ ลากผ่านหลังคอและหัวไหล่ของนางดุจน้ำตก ตกลงบนแผ่นหลังอันบอบบาง
มือนางเผยออกมาขณะดึงผ้ากันลม สิบนิ้วเรียวยาว อ่อนนุ่มไร้กระดูก แม้ข้อต่อข้อมือนูนเล็กน้อย แต่กล้ามเนื้อแข็งดั่งหยกและผิวขาวราวหิมะนั้นก็เพียงพอต่อการชดเชยทั้งหมดนี้
เสียดายใบหน้านางไม่ได้มีเลือดฝาดมากนัก ทำให้คนรู้สึกถึงความเย็นชาโดยไม่รู้ตัว ทว่าบัดนี้มันรับกับฉาก รับกับดวงจันทร์บนฟ้า และรับกับหิมะใต้เท้านี้มากทีเดียว
หากคนในเมืองจี๋อิงได้เห็นว่าแม่นางหลี่อวิ้นผู้งดงามขี้เล่น มีชีวิตชีวาเต็มเปี่ยมในโรงเตี๊ยมพูนโชคกลับมีรังสีเยือกเย็นเช่นนี้อยู่ด้วย ไม่รู้ว่าจะเกิดความรู้สึกเช่นไร
แท้จริงแล้วนางในยามนี้ทำให้บุรุษคิดเพ้อฝันได้ง่ายยิ่งกว่า เพราะไม่ว่าใครได้เห็นก็คงมีความรู้สึกรักใคร่เอ่อท้นขึ้นมาจากใจ อยากดึงนางมาไว้ในอ้อมอกและทะนุถนอมอย่างดี
ไม่รู้หลี่อวิ้นยืนมานานเท่าไรแล้ว
นางยกเสื้อคลุมขึ้นฉับพลัน ชักกระบี่ยาวเล่มหนึ่งออกมา
กระบี่นั้นมีรูปร่างเหมือนกับนาง
กว้างขึ้นหนึ่งส่วนก็มากไป ลดลงหนึ่งส่วนก็น้อยเกิน
มือซ้ายนางถือกระบี่ไร้ฝักเล่มนี้ไว้ ค่อยๆ ตั้งมันขวางอยู่ตรงหน้าอก
นางหยุดนิ่งไปอีกพักใหญ่
หลี่อวิ้นก้มศีรษะ ราวกำลังประกอบพิธีบางอย่าง
ทันใดนั้นข้อมือขาวผ่องพลันหมุน
กระบี่ยาวทำให้กิ่งแห้ง ใบไม้ร่วงและหิมะที่ยังไม่ละลายบนพื้นพากันหมุนว่อนขึ้นดั่งสายรุ้งโน้มลงมากลืนสมุทร
ราวโขดหินทะลวงขึ้นฟ้าในฉับพลัน ลมแรงผสมผเสกำลังของกระบี่คล้ายคลื่นยักษ์ซัดเข้าฝั่งแหวกป่าผืนนี้ให้เปิดเป็นช่องกว้าง
หลี่อวิ้นไม่ได้หยุด
นางผ่าออกไปกระบี่แล้วกระบี่เล่า ร่างกายกระโดดพลิกม้วนตามกระบี่อย่างต่อเนื่อง
ท่าร่างนี้เหมือนท่าทางที่นางหมุนไปมาระหว่างโต๊ะสุราในโถงใหญ่ตอนอยู่โรงเตี๊ยมพูนโชคไม่มีผิดเพี้ยน
เพียงแต่ยามนั้นในมือไร้กระบี่ ใต้เท้าไร้หิมะ เหนือศีรษะไร้จันทร์
ผมดำขลับก็ยังไม่ได้มัดขึ้น
ยามนี้กับตอนนั้น แตกต่างราวคนสองคน
นางออกแรงสุดกำลังทุกกระบี่ แต่ทุกกระบี่ล้วนระมัดระวังยิ่ง
นอกจากฟันกิ่งไม้แห้งและหิมะร่วงกระจายก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง
ปราณกระบี่และกำลังวังชาดุจกระแสน้ำมักสลายหายไปตอนจะไหลทะลักสู่ผืนป่าและตัดโค่นลำต้น
ปราณกระบี่ควบคุมได้ยาก
การทำให้กระบี่แข็งแกร่งและทรงพลังก็ยากเช่นกัน
แต่ถามว่าในใต้หล้ามีมือกระบี่สักกี่คนที่จัดการมันได้อย่างเลิศล้ำเช่นนี้
“หิมะตกอีกแล้ว? นี่น่ะหรือที่เรียกอากาศหนาวหลังเข้าใบไม้ผลิในแดนพายัพ”
หลิวรุ่ยอิ่งเดินตาปรือออกมาปลดทุกข์
ด้วยระดับของเขาย่อมดื่มไม่สู้คุณชายทังผู้ร้องบรรเลงและเต็มที่กับสุรานารีอยู่ทุกค่ำคืน
สุราเหลืองลงกระเพาะไปไม่กี่จอก เขาก็ฟุบหลับกรนครอกๆ อยู่บนโต๊ะ
ตื่นมาพอเงยหน้าขึ้น ในกระโจมก็เหลือเขาเพียงคนเดียว
ความรู้สึกและความทรงจำไหลทะลักมาตรงหน้าผากทันใด ทำให้เขารู้สึกส่วนบนกระหายส่วนล่างปวดอั้น
เพิ่งออกจากกระโจม เกล็ดหิมะที่ปะทะเข้ามาทำให้เขาสร่างเมาไปเจ็ดส่วน
หลี่อวิ้นได้ยินว่ามีคนออกมาจากกระโจมจึงรีบร้อนเก็บกระบี่ ยืนอยู่บนพื้นหิมะใต้แสงจันทร์อย่างมั่นคงเช่นก่อนหน้านี้
หลิวรุ่ยอิ่งปัสสาวะอยู่หลังกระโจมเงยหน้ามองอย่างไม่ใส่ใจ พบว่าในป่านอกจุดพักม้าทางการเหมือนมีเงาคน เขารีบเก็บสิ่งนั้นยัดกลับเข้าไปโดยไม่สนใจว่าปัสสาวะเสร็จหรือไม่ หมุนกายเข้าในกระโจมแล้วหยิบกระบี่ขึ้นวิ่งไปยังบริเวณเงาคนกลางป่า
“ใครน่ะ!”
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นผู้นั้นยังคงนิ่งไม่ไหวติงแม้ตนวิ่งเข้าไปใกล้แล้ว
“เจ้าทำข้าตกใจแทบแย่!”
“ใต้เท้าผู้แทนการตรวจสอบ เจ้า…เจ้ารีบเก็บกระบี่เถิด…ต่อไปข้าไม่เรียกเจ้าว่าน้องชายแล้วก็ได้…ทำไมต้องขู่ขวัญกันเช่นนี้ด้วยเล่า…”
นี่ไม่ใช่หลี่อวิ้นแล้วจะเป็นผู้ใด
“กลางคืนดึกดื่นเจ้าทำอะไรอยู่ตรงนี้”
หลิวรุ่ยอิ่งตั้งสติเก็บกระบี่แล้วเอ่ยถาม
“ก็กลางคืนมันเหงานอนไม่หลับนี่…เฮ้อ คิดถึงตอนข้าอยู่โรงเตี๊ยมพูนโชค ไม่เอ่ยถึงงานรื่นเริงทุกคืน แต่อย่างน้อยก็มีคนคุยเล่นเป็นเพื่อนข้านะ เหมือนที่นี่เสียที่ไหน มีแต่ทหารโหดเหี้ยมกองหนึ่ง แล้วก็เส้นบะหมี่ต้มจนเละกับกระโจมเป็นรูรั่ว”
“น้อง…ใต้เท้าผู้แทนการตรวจสอบ ค่ำคืนยาวไกล ไม่สู้ข้าไปนั่งกับเจ้าสักครู่? แค่เราสองคนก็พูดคุยความลับกันได้”
หลี่อวิ้นค่อยๆ ขยับไปข้างกายหลิวรุ่ยอิ่ง
หน้าอกเสียดสีแขนเขาเหมือนไม่ได้ตั้งใจ คางแนบบนไหล่ของเขาเบาๆ ยามพูดนั้นไอชื้นอุ่นร้อนเป่ารดติ่งหูของหลิวรุ่ยอิ่ง ความรู้สึกประหลาดเช่นนี้ทำให้ลำคอเขาแข็งทื่อจนไม่อาจเคลื่อนไหว
“แม่นางหลี่อวิ้นรีบไปพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้ยังต้องเดินทางอีก”
มือซ้ายของหลิวรุ่ยอิ่งบีบต้นขาของตนเองอย่างรุนแรง จากนั้นรีบวิ่งกลับไปตามทางตอนมาอย่างรวดเร็ว
เห็นหลิวรุ่ยอิ่งจากไปหลี่อวิ้นก็เก็บรอยยิ้มทันที เมื่อจัดการผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงตรงแถวขมับเสร็จแล้ว นางก็เดินเข้าในกระโจมเช่นกัน
พิราบส่งสารตัวหนึ่งกระพือปีกบินขึ้นท้องฟ้า ประจวบกับเสียงหลี่อวิ้นเลิกม่านประตูเข้ากระโจมพอดี
ถัดจากนั้น ในกระโจมของทังจงซงก็ดับไฟ
……………………………………..