ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 73 พลานุภาพไม่เปล่งผ่านอักษร-2
บทที่ 73 พลานุภาพไม่เปล่งผ่านอักษร-2
เบื้องหน้า หน้ากากอสูรเขี้ยวยาวโผล่ออกมาเพียงครึ่งตัว
มันมีสามหน้าหกแขน แต่งกายราวกับเด็ก
ใบหน้าหน้าตรงผ่าเผย เลือดไหลออกจากดวงตาสามดวงบนใบหน้า
ใบหน้าซีกซ้ายขาวซีด โกรธเกรี้ยวคำรามดุจฟ้าร้องเดือดดาล!
กายเขียวมรกต ปกคลุมด้วยเปลวเพลิงแผดเผา สุริยันจันทราหมุนวนด้านหลังศีรษะ
บนมือทั้งหก ฝั่งซ้ายว่างเปล่า ฝั่งขวาสามข้างถือกระบี่ สากกระทุ้ง แส้ แสดงท่าทางโอ้อวด
เห็นเพียงมันกดมือซ้ายบนม่านควัน และทั้งตัวของมันก็กระโดดออกมาทันที
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่ารูปร่างของมันเตี้ยแคระ เท้าเปลือยเปล่าเหยียบพื้นถึงเพียงเอวของตนเท่านั้น
เขาชี้กระบี่ไปทางหน้ากากอสูรเขี้ยวยาวและรักษาระยะห่างจากมัน คิดไม่ถึงว่ามันจะเหวี่ยงแส้เขียวมันขลับในมือเส้นนั้น
แส้เส้นนี้ยาวยิ่งนัก เกรงว่าจะไกลออกไปถึงห้าหรือหกจั้งได้
หลังเหวี่ยงออกไป ทั้งห้องหินศิลานี้ไม่มีที่ให้หลบภัยแม้แต่หนึ่งชุ่น
หลิวรุ่ยอิ่งประหลาดใจที่หน้ากากอสูรเขี้ยวยาวมีร่างเตี้ยแคระเช่นนี้ แต่กลับเหวี่ยงเงาแส้ไปทั่วทั้งนภาได้อย่างไร
มือมันสั่นไหว แส้ยาวหมุนรอบเหนือศีรษะหลิวรุ่ยอิ่ง จากนั้นม้วนไปทางลำคอของเขา
หลิวรุ่ยอิ่งรีบใช้กระบี่สกัดกั้น แส้ฟาดเข้าด้ามกระบี่ต่อเนื่องจนเหนือความคาดหมาย ทำให้กระบี่เกือบหลุดจากมือของเขา…
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดหลิวรุ่ยอิ่งก็สกัดกั้นมันไว้ได้
เขาไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใช้อาวุธชนิดอ่อนเช่นนี้มาก่อน…แต่หากกล่าวถึงความเก่งกาจประหนึ่งงูพิษ นี่นับเป็นครั้งแรกที่เขาประสบพบเจอ
หลิวรุ่ยอิ่งหันมองซ้ายขวา ไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับพื้นที่ในห้องหินศิลา ดูเหมือนมันขยายออกไปตามการเคลื่อนไหวของเขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด…
ทางเลือกสุดท้ายเขาทำได้เพียงถอยหลังกรูด แต่ปรากฏว่ากำแพงด้านหลังเคลื่อนย้ายไปตามเขาด้วย
แต่ไม่ว่าหลิวรุ่ยอิ่งจะเคลื่อนไหวหลบเลี่ยงอย่างไร แส้ของหน้ากากอสูรเขี้ยวยาวกลับสัมผัสโดนเขาอยู่เสมอ…
“เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่”
แม้หลิวรุ่ยอิ่งจะรู้ว่าไม่มีคำตอบ แต่ก็อดโพล่งคำถามออกไปไม่ได้
เงาแส้ในมืออีกฝ่ายหยุดชะงักชั่วครู่ ไม่เอ่ยคำใดจริงๆ
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าขาของมันดูเหมือนจะพิการ เท้าข้างหนึ่งคล้ายอ่อนแรงเอียงไปอีกข้างหนึ่ง
ครั้นเห็นสิ่งนี้หลิวรุ่ยอิ่งจึงย่อตัวลงและแทงกระบี่ หมายโจมตีจุดอ่อนของมัน
คาดไม่ถึงว่ามันจะมั่นคงดุจเขาไท่ซาน เหยียบคมกระบี่หลิวรุ่ยอิ่งด้วยเท้าเปล่า เสมือนว่ามีของหนักหนึ่งพันจินหล่นทับจนเขาไม่อาจดึงกระบี่กลับคืน
ยามนี้หลิวรุ่ยอิ่งอยู่ห่างจากมันเพียงกระบี่เดียวท่านั้น…
หน้ากากอสูรเขี้ยวยาวเก็บแส้กลับไปสลับให้มือสามข้างที่ว่างอยู่อีกด้าน
ขณะเดียวกันมือที่จับกระบี่ยกชูขึ้นสูง ราวกับจะฟาดฟันมาทางหลิวรุ่ยอิ่ง
ไม่มีทางเลือก เขาจำต้องดึงมันอย่างแรง ส่งผลให้หน้ากากอสูรเขี้ยวยาวยกเท้าขึ้นอย่างเงียบเชียบ…
หลิวรุ่ยอิ่งออกแรงมากเกินไปจนตีลังกาหงายไปข้างหลัง เพียงรู้สึกถึงแสงสีขาววูบวาบเหนือศีรษะจึงลนลานยกกระบี่ปัดป้อง แต่กลับถูกกดทับด้วยแรงมหาศาลจนแขนแทบหัก…
ใบหน้าขาวซีดซีกซ้ายหันกลับมาพ่นไฟแห่งกรรมพวยพุ่งขึ้นไปแผดเผาในอากาศ ไม่รู้ว่าใช้กระทำสิ่งใด
จนแล้วจนรอดหน้ากากอสูรเขี้ยวยาวไม่เอ่ยออกมาสักคำเดียว แม้หลิวรุ่ยอิ่งจะไม่รู้ว่ามันเป็นเทพอะไรกันแน่ พูดได้หรือไม่ รู้เพียงแต่ตอนนี้ตนตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย
ตอนนี้เห็นอีกฝ่ายเลิกใช้แส้ยาวแล้ว แต่ก็ยังไม่มีข้อได้เปรียบจากระยะที่ไกลกัน
ตนเองอาศัยการเคลื่อนไหวโจมตี บางทีอาจจะได้เปรียบในการเริ่มก่อนก็เป็นได้
ระหว่างครุ่นคิดอยู่นั้น หลิวรุ่ยอิ่งกระจายร่างออกไป ร่ายรำกระบี่ดาราในมือรวดเร็วดุจเงาสีรุ้ง ล้อมรอบหน้ากากอสูรเขี้ยวยาวไว้
ทว่าหน้ากากอสูรเขี้ยวยาวกลับตวัดกระบี่วิเศษในมือตามร่างของหลิวรุ่ยอิ่ง
ยิ่งกว่านั้นเขามีสามหน้าเก้าดวงตาร่วมด้วยช่วยกัน จับทุกการเคลื่อนไหวของหลิวรุ่ยอิ่งโดยไม่พลาดแม้แต่นิดเดียว
“อ๊าก!”
หลิวรุ่ยอิ่งตะโกนเสียงดังลั่น ความเร็วก็เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งระดับ
ขณะเดียวกันก็แยกจิตเข้าสู่อินหยางสองขั้วกลางจุดตันเถียนในกาย หวังจะปลุกธรรมลักษณ์บรมครูช่วยปราบศัตรู
แต่ปรากฏว่าเมื่อจิตเข้าสู่ภายในกลับมืดมน…ราวกับว่าแสงไฟถูกเป่าออกไปจากโลกใบเล็ก มืดสนิทไปทั้งผืน แม้แต่ดวงดาวบนสวรรค์ยังสูญเสียความแวววาวไปเช่นกัน
การเคลื่อนไหวร่างกายออกกระบี่อย่างรวดเร็วเช่นนี้ กินพลังของหลิวรุ่ยอิ่งค่อนข้างมากทีเดียว
เขาพบว่าหน้ากากอสูรเขี้ยวยาวเอาแต่ป้องกันไม่โจมตี จึงพบช่องโหว่ดึงกายกระโดดหนีออกมา
ทันใดนั้น หลิวรุ่ยอิ่งรวบรวมพลังธาตุไฟที่เพิ่งฟื้นตัวในจุดเหม่า จับกระบี่สองมือฟันออกไปในแนวขวางระดับอก
กระบี่นี้ทรงพลัง ความแข็งแกร่งของพลังอันแรงกล้าเป็นขีดจำกัดที่เขาสามารถทำได้ในตอนนี้
ฟันกระบี่ออกไป แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับปิดเปลือกตาลงเล็กน้อย
เขารู้ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น สำเร็จหรือล้มเหลว อยู่หรือตายล้วนถูกกำหนดไว้แล้ว
ชีวิตย่อมคู่ควรทิวทัศน์วสันตฤดู ความตายก็จบลงด้วยดีเช่นกัน
ไม่คาดคิดว่าหน้ากากอสูรเขี้ยวยาวจะไม่ป้องสกัดหรือหลบเลี่ยง
กระบี่ฟันหน้าอกของเขาโดยไร้การปัดป้องต่อต้านใดๆ กระทั่งหลิวรุ่ยอิ่งยังไม่รู้ว่ากระบี่ของตนฟันเข้าเป้าหรือไม่…
ก่อนพลังที่เหลือจะหมดลง ตัวกระบี่ยังนำพาหลิวรุ่ยอิ่งพุ่งทะยานไปข้างหน้า
ก่อนจะก้าวไปสองสามก้าว ความรู้สึกสบายส่งมาจากเอวพลันยับยั้งพลังของเขา…
หลิวรุ่ยอิ่งก้มศีรษะมอง แส้ยาวเส้นนั้นพันรอบเอวของตนอยู่
ไร้หนทาง เขาทำได้เพียงทำสิ่งที่ตรงกันข้าม ร่างกายหมุนกลับประหนึ่งลูกข่างเพื่อถอนตัวออกมา
ฉวยโอกาสก่อนที่แส้ของอีกฝ่ายจะคืนกลับ หลิวรุ่ยอิ่งคว้าแส้ไว้แน่นและกระชากมันอย่างแรง อาศัยแรงเหวี่ยงให้ตนพุ่งเข้าหาหน้ากากอสูรเขี้ยวยาวพร้อมกับตวัดฟันกระบี่อีกครั้ง
ความจริงแล้วกระบี่นี้เกินความคาดหมายของทุกคน
แม้แต่หน้ากากอสูรเขี้ยวยาวก็ไม่คาดคิดว่าหลิวรุ่ยอิ่งจะใช้แผนพละกำลังที่สะท้านฟ้าดินจนภูติผียังต้องร้องคร่ำครวญเช่นนี้!
ครั้นเห็นแสงกระบี่นี้ แม้แต่ม่านควันที่เขาอาศัยหลบซ่อนยังต้องหลีกทางให้เล็กน้อย
หลิวรุ่ยอิ่งมีเพียงตาสองดวง ไร้ข้อได้เปรียบใดๆ ยามต่อกรกับสามหน้าเก้าดวงตาของหน้ากากอสูรเขี้ยวยาว
ทว่าสายตาของเขาในยามนี้กลับราบเรียบยิ่งนัก
ไร้ความตื่นเต้นเลือดพล่านในยามสังหาร
ไร้ความโศกเศร้าที่เห็นเงาของตนแล้วเกิดสงสารขึ้นมา
และยิ่งไร้ความรู้สึกเหนื่อยล้าเพราะพลังปราณในกายถูกดูดออกไปจนสิ้น
สงบนิ่งดุจอาวุธเหล็กไม่ขยับเขยื้อน
สงบนิ่งทว่าเยือกเย็น
เหมือนแสงจันทร์ทว่าไร้ความอ่อนโยน
หลิวรุ่ยอิ่งแย้มยิ้ม
รอยยิ้มนี้สงบนิ่งมากเช่นกัน
ไร้กังวลต่อความปลอดภัยของตน
ไร้ความเศร้าโศกแห่งความตายชั่วพริบตา
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงความโดดเดี่ยวของการพ่ายแพ้ในสมรภูมิรบ
สงบนิ่งละม้ายคล้ายบุปผาบานอย่างเงียบๆ
สงบนิ่งทว่าโอหัง
เหมือนหยาดฝนที่หนาวเหน็บทว่าไร้อุณหภูมิ
นี่ถือเป็นการประเมินความสามารถของตนสูงเกินไปหรือไม่
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้
แต่เขารู้ว่าหากต้องก้าวไปข้างหน้าอย่างอาจหาญ นั่นย่อมเป็นหนทางที่ควรจะไป
ไม่ว่ากระบี่เล่มนี้จะทำลายแสงสุริยันหรือไม่
ไม่ว่ากระบี่เล่มนี้จะกำจัดคนเลวข้างองค์จักรพรรดิได้หรือไม่
ขณะที่เขากำลังจะออกกระบี่
ห่างออกไปสามจั้ง
หลิวรุ่ยอิ่งเสริมแรงเพิ่มอีกนิด มือขวากดปลายกระบี่ให้ราบ
ห่างออกไปสองจั้ง
เปลวเพลิงแผดเผารอบๆ หน้ากากอสูรเขี้ยวยาวทำให้ใบหน้าของเขาแดงไปทั้งแถบ หลิวรุ่ยอิ่งหรี่ตาจ้องทิศทางปลายกระบี่ตั้งแต่ต้นจนจบ
ห่างออกไปหนึ่งจั้ง
‘หมับ!’
กระบี่ต้องสังหารของหลิวรุ่ยอิ่งถูกหน้ากากอสูรเขี้ยวยาวจับแน่นทั้งสองมือ ไม่อาจขยับได้
ทันใดนั้น เขาเห็นแสงกระบี่สีครามสายหนึ่งสว่างวาบตรงหน้า ตามมาด้วยความเย็นวาบที่ทรวงอก
เขาก้มศีรษะ กระบี่หนึ่งเล่มแทงจากหน้าอกไปถึงแผ่นหลัง แทงตนเองทะลุ…
หลิวรุ่ยอิ่งยกมือซ้ายหมายจะเอื้อมไปจับคมกระบี่
ในใจเขาคิดว่าแม้ต้องตายก็ต้องแสดงท่าทีออกมาบ้าง ไม่อาจล้มลงไปอย่างเรียบง่ายเพียงนั้น!
ในเมื่อตอนเกิดเลือกไม่ได้ เช่นนั้นก่อนตายตนเองก็ขอเป็นผู้กำหนดบ้างไม่ใช่หรือ
ครั้นคิดได้ดังนั้น หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่คว้าตัวกระบี่เล่มนั้นอีก ตรงกันข้ามกลับยืดกายพลางก้าวไปข้างหน้าสองก้าว
เขาใช้ความพยายามครั้งสุดท้ายและใช้พลังปราณครั้งสุดท้ายส่งกระบี่ในมือไปข้างหน้าอีกแรงหนึ่ง
ต่อให้จะยังแทงไม่โดนเขา แต่ขอเพียงส่งไปข้างหน้าอีกแรงหนึ่งก็ยังดี
แม้จะครึ่งแรงก็ยังดี
‘ตู้ม!’
ทันใดนั้น พลังปราณรุนแรงในกายหลิวรุ่ยอิ่งระเบิดดังลั่นดีดร่างกายกระเด็นออกไปกระแทกเข้ากับกำแพง
หลิวรุ่ยอิ่งยังคงประหลาดใจว่าเหตุใดกำแพงนี้ถึงฟื้นคืนขึ้นมาครั้ง เห็นใบหน้าที่สามของหน้ากากอสูรเขี้ยวยาวที่ซ่อนอยู่ในม่านควันจู่ๆ ก็อ้าปากดูดควันหนาทึบทั้งหมดนี้เข้าไปในท้องเหมือนวาฬตัวยาวดูดน้ำ…
“เหล่าสือรู้สึกอย่างไร”
“ตระหนักรู้ยืดหยุ่นเป็นเลิศ ความศรัทธามุ่งมั่นโดดเด่น!”
หน้ากากอสูรเขี้ยวยาวไม่รู้ว่ากายอยู่แห่งหนใด แต่กลิ่นอายของตนต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
ราวกับสถานที่นี้คือดินแดนแห่งสวรรค์อันบริสุทธิ์ บรรจุครบทุกความงดงามไว้ในโลก
ทุกสิ่งแปลกประหลาดและทุกอย่างล้วนแตกต่าง!
บางครั้งมีกลุ่มคนเดินเหินบนเมฆา ส่องแสงสว่างเจิดจ้า
ในประเทศชาติมีดอกไม้อยู่ทั่วทุกแห่งหน สว่างสดใส
แสงลึกลับวูบวาบเดี๋ยวหายไปเดี๋ยวปรากฏขึ้น
เสียงลึกลับดังก้อง ผันผวนไม่สิ้นสุด
ตำหนักวัง หอสำนัก พฤกษาศักดิ์สิทธิ์ล้วนมีจิตวิญญาณ
จากเบื้องล่างสู่เบื้องบน ทุกสรรพสิ่งล้วนมีสีสันสง่างาม
แม้สถานที่นี้จะไม่มีสุริยันจันทราแย่งชิงความรุ่งโรจน์ในดินแดนแห่งสวรรค์อันบริสุทธิ์ แต่กลับมีดวงดาราพรั่งพราวทั่วทั้งนภา โคจรทั้งวันทั้งคืนไม่เปลี่ยนแปลง ไม่แบ่งฤดูกาล
ภูเขาสูงตระหง่าน หุบเหวลึก สิงสาราสัตว์ เป็นเพราะทุกสิ่งล้วนอยู่ในนั้น
เมื่อมองไปข้างหน้า มีบ่อวิเศษเรืองขวัญอีกแปดบ่อ แต่ละบ่อสีสันแตกต่างกัน
เหนือบ่อวิเศษ บุปผาทั้งสิบสีสันวิจิตรบานตลอดปี ดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ ไม่เปลี่ยนแปลงแม้สรรพสิ่งผันแปร
ในแต่ละดอกยกเว้นดอกที่สิบมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ ครั้นมองจากรูปลักษณ์สง่างามผ่าเผย น่าเกรงขามอย่างยิ่ง
เหล่าสือจากปากของชายที่อยู่ตรงกลางก็คือหน้ากากอสูรเขี้ยวยาวที่ไล่บี้หลิวรุ่ยอิ่งจนตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง ยามนี้แปลงกายเป็นมนุษย์ เช่นเดียวกับอีกเก้าคน
“เฝ้ามองสถานการณ์ไปก่อน การเปล่งผ่าน ‘พลานุภาพ’ ขาดช่วงไปนาน แต่ก็ยังต้องระวัง…เหล่าสือ เรื่องนี้หนักใจเจ้าแล้ว”
ชายที่อยู่ตรงกลางกล่าว
…………………….
ภายในโรงเตี๊ยมพูนโชค หัวเมืองรัฐติง
“เถ้าแก่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ที่มาส่งตำราให้ข้าอาศัยอยู่ที่ใด เขามีนามว่าหลิวรุ่ยอิ่ง”
เจ้าหมิงหมิงถือจดหมายฉบับหนึ่งต้องการส่งมันให้หลิวรุ่ยอิ่ง
ไม่มีทางเลือก นางไม่ทราบที่อยู่ของหลิวรุ่ยอิ่งจริงๆ ตอนนี้จำต้องถามเจ้าของร้านเท่านั้น
“อืม…คนที่ดื่มสุรากับคุณหนูทั้งสองคืนนั้นหรือ”
เจ้าของร้านถามยืนยัน
“เขานั่นแหละ คนที่บอกว่าตนเองเป็นชาวยุทธ์ ทั้งยังแต่งกายด้วยอาภรณ์ฉูดฉาด!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าวเข้าประเด็น
นางจำเครื่องแบบทางการนายกองชุดนั้นของหลิวรุ่ยอิ่งได้ราวกับเพิ่งเกิดขึ้น
“ฮ่าๆ คุณหนูผู้นี้อาจจะไม่ทราบ…เขาคือใต้เท้านายกองกรมสอบสวน สิ่ง ‘ฉูดฉาด’ ที่ท่านเอ่ยถึงเป็นเครื่องแบบทางการนายกองกรมสอบสวน คนมากมายอยากสวมใส่ล้วนใส่ไม่ได้”
บางทีนี่อาจเป็นครั้งแรกที่เจ้าของร้านได้ยินคนกล้าออกความคิดเห็นว่าชุดเครื่องแบบกรมสอบสวนฉูดฉาดเกินไป ด้วยเหตุนี้จึงอดหัวเราะไม่ได้
“คุณหนูของเราถามเจ้าว่าเขาอาศัยอยู่ที่ใด หาใช่เขากระทำสิ่งใดอยู่ เจ้าฟังคำถามให้ชัดเจนสิ! ดูหูของเจ้าก็ไม่เล็กนี่นาแถมเนื้อแน่นอีก…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าวพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปากรอบหนึ่งทันที
แต่นี่ไม่น่าจะเป็นภาพน่ารักน่าชมของเด็กผู้หญิง ในสายตาของเจ้าของร้านกลับน่ากลัวอย่างอธิบายไม่ถูก…จึงกระแอมเบาๆ พลางกล่าว
“คุณหนูท่านนี้พูดถูก เป็นข้าน้อยที่เลอะเลือน…ใต้เท้านายกองผู้นี้แปลกหน้ายิ่งนัก ดูเหมือนจะไม่ใช่คนของอาคารกรมสอบสวนของหัวเมืองรัฐติง คงมาจากนอกเมืองเพื่อจัดการธุระ ข้าน้อยก็ไม่รู้แน่ชัด แต่หากคุณหนูทั้งสองอยากตามหาคนละก็ สามารถไปถามอย่างละเอียดได้ที่อาคารกรมสอบสวน”
เจ้าของร้านกล่าว
หลังจากที่เจ้าหมิงหมิงถามที่อยู่อาคารกรมสอบสวนจากเขาจนแน่ชัดแล้วจึงมอบจดหมายให้เกาลัดคั่วน้ำตาล วานให้นางไปส่งต่อ ส่วนตนหันหลังกลับขึ้นไปห้องพักชั้นบน
นางไม่อยากปรากฏตัวออกไปข้างนอกอีกแล้ว…ตอนนี้ทั้งหัวเมืองรัฐติงต่างรู้ว่ามีหญิงงามเพริศพริ้งสะท้านโลก ทั้งยังพาสาวใช้แสนน่ารักและแปลกประหลาดมาพักอยู่ในโรงเตี๊ยมพูนโชคด้วย
สิ่งนี้ทำให้คุณชายเจ้าสำราญปลิ้นปล้อนนั่งเฝ้าอยู่ข้างนอกและข้างในโรงเตี๊ยมพูนโชคทั้งวันทั้งคืน รอนางลงไปชั้นล่างและออกไปข้างนอกอีกครั้ง
หากสามารถกล่าวสักหนึ่งหรือสองประโยคจนเอาชนะใจแม่นางผู้นั้นได้ เช่นนั้นคงจะยอดเยี่ยมยิ่งนัก!
เดิมทีในหัวเมืองรัฐติงก็มีทังจงซงอยู่แล้ว!
ครั้นเขาลงมือก็ไม่มีผู้ใดกล้าแย่งชิงกับเขา…อย่างไรเสียต่อให้พรุ่งนี้เจ้าจะสามารถเพียงไหนจะเอาชนะจวนผู้ควบคุมรัฐติงได้หรือ ไม่ว่าเบื้องหลังจะแข็งแกร่งเพียงใดจะเอาชนะฐานะผู้ควบคุมรัฐติงได้หรือ
ตอนนี้นับว่าดีขึ้นแล้ว ครั้นเขาไม่อยู่ บรรดาคนเจ้าสำราญในหัวเมืองรัฐติงราวกับสูญเสียกระดูกสันหลังไปแล้วจริงๆ…ทุกวันว่างเสียจนไม่รู้ว่าต้องทำสิ่งใด ไม่มีทางเลือกนอกจากจับกลุ่มก่อเรื่องทะเลาะเบาะแว้งไม่เว้นวัน
แต่มักจะมีสายตาเย็นชารุนแรงสายหนึ่งมุ่งเป้าไปที่เจ้าหมิงหมิงอย่างแน่วแน่และเด็ดขาด
นางรู้ว่าเป็นผู้ใดและรู้ว่าเขาต้องการทำสิ่งใด
แต่ตนยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี…ว่ากันตามตรง นางยังไม่อยากฆ่าคน
……………………………………………………….