ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 74 กายเนื้อยังต้องการอาหารใจ-1
บทที่ 74 กายเนื้อยังต้องการอาหารใจ-1
ในผืนป่าไร้นามแห่งหนึ่งนอกหัวเมืองรัฐติง
คืนนี้ไม่มีดวงจันทร์
เจ้าหมิงหมิงฉวยจังหวะวิ่งแวบออกมาก่อนประตูเมืองปิดครู่เดียว
เดินจนสุดถนน นางหยุดฝีเท้าชั่วครู่ แต่ยังคงเดินเข้าป่าอย่างไม่ลังเล
นางตัวคนเดียว เกาลัดคั่วน้ำตาลไม่อยู่ข้างกาย
เรื่องบางอย่าง ใช่ว่าทำได้หรือไม่ได้ แต่เป็นเหมาะหรือไม่เหมาะ
สุดท้ายนางมาจัดการด้วยตัวคนเดียวจะเหมาะสมกว่า
เพื่อการนี้ นางถึงขั้นใส่ยานอนหลับพิเศษของเผ่าจิ้งจอกหูเงินหิมะทองในขนมของเกาลัดคั่วน้ำตาลโดยไม่นึกเสียใจ ทำให้นางสลบไสลแต่เนิ่น
“ข้ามาแล้ว”
เจ้าหมิงหมิงพูดกับความมืดอันโล่งกว้าง
แต่นอกจากเสียงลมพัดใบไม้ทอดมาเป็นบางครั้ง กลับไม่มีสิ่งใดอีก
“จัดการให้จบไม่ดีหรือ”
เจ้าหมิงหมิงกล่าวต่อ
แต่สิ่งที่ตอบสนองนางยังคงเป็นความเงียบงัน…
นางขมวดคิ้วงามเล็กน้อย ในใจแอบเคลือบแคลง แต่ก็รู้สึกว่าตนต้องไม่พลาดแน่
อย่างไรออกมาตามหาคนด้วยพรสวรรค์พิเศษในเผ่าจิ้งจอกของนาง น่าจะมั่นใจได้พอควร
“ข้าต้องการล้างแค้น และเจ้ารนหาที่ตาย”
เสียงสายหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลังเจ้าหมิงหมิงทันใด
นอกจากผู้ตัดสัมพันธ์ยังเป็นใครได้อีก
เจ้าหมิงหมิงเห็นเขาซูบผอมกว่าคราวก่อนหลายส่วน เดาว่าอยู่กลางป่าไม่ได้กินอิ่มเลยสักมื้อ…
ผู้คนต้องพึ่งพาอาหาร แต่อาหารแค่ทำให้อิ่มท้องเท่านั้น
เทียบกับจิตวิญญาณอันสำคัญยิ่งของมนุษย์แล้วยังคงว่างเปล่า หัวใจหิวโหยแล้วต้องกินน้ำแกงเนื้ออย่างนั้นหรือ
ความรู้สึกเป็นดั่งแก่นแท้ของร่างกายมนุษย์ บอกว่าตัดขาดไหนเลยจะง่ายดายเหมือนพูด
ทุกสิ่งเกิดจากความรักและความชัง ทุกอย่างย่อมจบสิ้นด้วยความชังและความรัก
ไม่ว่ายุคราชวงศ์รุ่งเรืองล่มสลาย หรือบุตรแยกภรรยาจากล้วนหนีไม่พ้นสองคำนี้
แม้บอกว่าหลักจรรยาระหว่างมนุษย์เป็นความรู้สึกพื้นฐานที่ทุกคนล้วนปฏิบัติตาม ดังเช่นแต่งไก่ตามไก่แต่งสุนัขตามสุนัข[1]ระหว่างสามีภรรยา แม้ไม่เกี่ยวพันกันทางสายเลือด แต่หลังจากนั้นก็เป็นครอบครัว
กระดูกหักเชื่อมเอ็น เลือดข้นกว่าน้ำ
นี่คือตรานาบที่วันเวลาชะล้างไม่หมดและความตายไม่อาจแย่งชิง
แม้ลูกชายอย่างเจ้าไม่เอาถ่าน คนเป็นพ่อก็ไม่มีทางทอดทิ้งเจ้าอย่างสิ้นเชิง ตรงกันข้าม ต่อให้พ่อเจ้าติดพนันเมาสุราทั้งวัน เจ้าก็ต้องตามขอโทษใช้หนี้อยู่หลังก้นไม่ใช่หรือ
ผู้ตัดสัมพันธ์ทำกับตัวเองเช่นนี้อาจไม่ได้กำลังแก้แค้นให้คู่หมั้นของตน บางทีเขาอาจจะแค่หวาดกลัวเกินไปจนเผชิญความจริงไม่ได้
ดังนั้นจึงสร้างกรงเล็กให้ตัวเองใบหนึ่ง อยู่ในนั้นวันแล้ววันเล่า
ในกรงคือคู่แค้น นอกกรงวางสุราดีเนื้อไก่อ้วนไว้ บอกตัวเองว่าสังหารคู่แค้นแล้วก็ออกไปดื่มด่ำได้
แต่หากถึงชั่วเวลานั้นจริง เขาจะกินลงอีกได้อย่างไร
การแก้แค้นคืออาหารใจของเขาในตอนนี้
พอฆ่าคนเสร็จแล้ว แก้แค้นจบแล้ว อาหารนี้ย่อมกินหมดเกลี้ยง
แล้วควรไปหาสิ่งใหม่ที่ใดอีก
เช่นนี้ จึงมีข้ออ้างมากมาย
ทำนองว่าไม่ฆ่าคนนอก เจ้าอย่ารนหาที่ตาย…
หากตัดสินใจทำเรื่องหนึ่งอย่างแน่วแน่แล้วจริงๆ จะสนใจพวกนี้ได้อย่างไร
เหล่านี้ดูเป็นเรื่องซับซ้อนยิ่ง แต่พอมองลึกเข้าไปก็ย้อนกลับมาที่ความรักความชังสองคำอีกหน
มองคมดาบของผู้ตัดสัมพันธ์ย่อมรู้ได้
ไม่ว่าคนหรืออสูร สังหารมาไม่น้อยแล้ว
ไม่ว่าคนหรืออสูร เลือดไหลนองมากพอแล้ว
ถ้าบอกว่าการแก้แค้นคำนวณได้ด้วยตัวเลขเหมือนเจ้าของร้านคำนวณบัญชีจะดีแค่ไหน รู้ว่าคนตายเท่าไร นองเลือดเพียงใด ความโกรธแค้นก็อาจมลายสิ้น
แต่ความเป็นจริงคือยิ่งคนตายเยอะเท่าไร เลือดยิ่งไหลนองเพียงใด ความแค้นใหม่ความชังใหม่ย่อมเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
จนสุดท้ายตนก็จะไม่ได้รับความพึงพอใจใดๆ
“ข้ารนหาที่ตาย เจ้าก็แก้แค้นแล้วไม่ใช่หรือ ข้าหวังว่าเจ้าจะหยุดเพียงเท่านี้”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“เจ้าเลยวิ่งมาเสแสร้งผดุงความยุติธรรม? อยากตายเองเพื่อแลกความสงบสุขให้ทั้งเผ่า?”
ผู้ตัดสัมพันธ์กล่าวด้วยน้ำเสียงดูแคลน
ว่าไปก็น่าขัน เรื่องในโลกและคนในโลกล้วนเป็นเช่นนี้เสมอ
หากเจ้าถามเขาว่าทุ่มเทได้เท่าไร เขาจะต้องบอกว่าแม้เป็นภูเขาดาบทะเลเพลิงก็ยินดีมุ่งฝ่าไป ต่อให้ร่างขาดหัวกุดก็ไม่หวั่นกลัวอย่างแน่นอน
แต่ถ้าเจ้าถามเขาว่าคิดค่าเหล้าหนนี้ก่อนได้หรือไม่ เขาอาจพูดอ้อมๆ แอ้มๆ ด้วยข้ออ้างกองโตก็เป็นได้
เจ้าหมิงหมิงเป็นอสูร แต่เหนือกว่าตรงไม่อ้อมค้อม!
ก่อนเริ่มวิวัฒนาการ โลกของพวกนางมีแค่กินกับถูกกิน เป็นกับตาย ไม่ดำก็ขาว
หลังเบิกสติปัญญาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ยากจะเข้าใจว่าความขุ่นเทาในวิถีทางโลกมาจากไหนมากมาย
ผู้คนมักสาบานหนักแน่นต่อวันข้างหน้าอันยาวไกล ทว่าไม่กล้าแบกรับปัจจุบันแม้แต่น้อย
“ข้าไม่ได้อ่อนแออย่างที่เจ้าพูดขนาดนั้น เผ่าจิ้งจอกหูเงินหิมะทองข้าก็หาใช่สิ่งที่เจ้าสั่นคลอนได้ไม่”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยด้วยความโกรธอย่างหาได้ยาก
“เชือกเลื่อยไม้หัก หยดน้ำกร่อนหิน”
ผู้ตัดสัมพันธ์กล่าวชัดถ้อยชัดคำ
“เฮอะๆ แล้วในหลักการของมนุษย์อย่างพวกเจ้ายังมีมดเขย่าต้นไม้[2]อีกประโยคหนึ่ง ต่อให้มดผลักมันเป็นหมื่นปีแล้วต้นไม้ใหญ่ล้มได้หรือ”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“ล้มไม่ได้ แต่มดกับต้นไม้ล้วนไม่อาจอยู่ได้นานขนาดนั้น ขอแค่ข้าไม่ปล่อยดาบในมือก่อนหลับตาก็พอ”
ผู้ตัดสัมพันธ์ยกดาบขึ้นช้าๆ มองมันอย่างเงียบงัน
“ชักกระบี่สิ”
ผู้ตัดสัมพันธ์กล่าว
เขาจำได้ว่าเจ้าหมิงหมิงใช้กระบี่
แต่เจ้าหมิงหมิงกลับส่ายหน้าเบาๆ ดึงดาบเล่มหนึ่งออกจากชายกระโปรง
ไม่เหมือนดาบของผู้ตัดสัมพันธ์ บริเวณด้ามดาบเล่มนี้ตกแต่งสวยงามยิ่ง
“ดาบมาจากไหน”
ผู้ตัดสัมพันธ์เอ่ยถาม
“ยืมมา”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“ยืมดาบสังหารข้า?”
ผู้ตัดสัมพันธ์ยิ้มอย่างหาได้ยาก
“ใช้ดาบถึงจะยุติธรรมกับเจ้า และวันนี้ข้าก็จะไม่เผยร่างเดิม”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“ข้าอยากสังหารแค่จิ้งจอกแต่แรก ไม่ได้ทำเพื่อฆ่าคน”
ผู้ตัดสัมพันธ์ส่ายหน้า วางดาบในมือลงอีกครั้ง
“ในเมื่อข้าเปลี่ยนร่างได้แล้ว คนกับจิ้งจอกมันต่างกันมากขนาดนั้น?”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยถาม
“รู้คนรู้หน้ายังยากรู้ใจ หนำซ้ำเจ้ายังเป็นหน้าคนใจสัตว์ของแท้”
ผู้ตัดสัมพันธ์กล่าว
คำพูดนี้ทำให้ความรู้สึกดีงามในใจเจ้าหมิงหมิงที่เพิ่งมีต่อโลกมนุษย์หายไปจนหมดสิ้นอีกครั้ง
แม้เจ้าหมิงหมิงไม่ใช่มนุษย์ แต่ตราบใดที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึกย่อมเกิดความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับสถานที่บางแห่งทั้งสิ้น
ไม่เหมือนการคบค้าในสังคม จากความแปลกหน้าจนคุ้นเคยต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง
แต่ความรู้สึกสบายใจนี้กลับเกิดขึ้นได้ในชั่วพริบตา
อย่างเวลาพลบค่ำวันนั้น เจ้าหมิงหมิงมองดอกไม้ไฟนอกหน้าต่าง ความรู้สึกเช่นนี้ก็งอกเงยในหัวใจนางอย่างช้าๆ
หากไม่มีสิ่งอื่นไปขัดขวางละก็ ต้นกล้าต้นนี้ก็จะค่อยๆ เติบใหญ่ เปลี่ยนเป็นแข็งแรงขึ้นทุกวัน
แต่ตอนนี้ กลับเหี่ยวเฉาในพริบตา
เจ้าหมิงหมิงชักดาบก่อน
นางจ้องดาบในมือผู้ตัดสัมพันธ์ไม่วางตา
ดูว่าเขาชูขึ้นอีกครั้งเมื่อไร
“ในเมื่อเจ้าใช้ดาบแล้ว เช่นนั้นข้าก็ให้เจ้าสามกระบวน”
ผู้ตัดสัมพันธ์กล่าว
เจ้าหมิงหมิงก็ยิ้มแล้ว มนุษย์ตรงหน้านี้กำลังสงสารเห็นใจตนอยู่หรือ
สายฟ้าแลบผ่านขอบฟ้าเล็กน้อย ทันใดนั้นมีเม็ดฝนค่อยๆ ตกลงมา
“อากาศวันนี้เข้าข้างข้า”
ผู้ตัดสัมพันธ์กล่าว
เดิมเขาฝึกวิทยายุทธ์ดาบสายฟ้าอยู่แล้ว วันนี้เจอฝนฟ้าคะนองยิ่งเหมือนเสือติดปีก
“ดังนั้นข้าให้เจ้าสามกระบวน!”
ผู้ตัดสัมพันธ์เน้นอีกรอบหนึ่ง
เจ้าหมิงหมิงกลับไม่รีบร้อนลงมือ ยืนอยู่ที่เดิมไม่เอ่ยคำใด
ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ลมก็พัดแรงขึ้นทุกที
เส้นผมของเจ้าหมิงหมิงถูกลมพัดขึ้นพร้อมกับเศษซากจำนวนหนึ่ง
“รีบหรือ”
เจ้าหมิงหมิงเห็นสีหน้าผู้ตัดสัมพันธ์ฉายแววหงุดหงิด จึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“เปล่า”
ผู้ตัดสัมพันธ์ปฏิเสธ
เพิ่งสิ้นเสียงพูด เจ้าหมิงหมิงก้าวฝีเท้าออกไปแกว่งดาบจู่โจม
เสื้อคลุมนางเปียกน้ำฝนจึงถอดทิ้งไป สวมไว้เพียงชุดกระโปรงเข้ารูปรัดอกสีขาวข้างในตัวเดียว งดงามยิ่งนัก
เป็นอย่างที่ผู้ตัดสัมพันธ์บอก แม้เจ้าหมิงหมิงกลายร่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่มนุษย์ นางย่อมไม่ถือเอาธรรมเนียมปฏิบัติบางอย่างในโลกมนุษย์มาใส่ใจมากนัก
ดีที่สองนัยน์ตาของผู้ตัดสัมพันธ์เหลือแค่ความโกรธแค้น ไม่อาจรับสิ่งบุกรุกอื่นใดเข้ามาได้อีก
สถานการณ์นี้ ภาพเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งอาจรีบโยนดาบจบศึกเลยก็เป็นได้…
เห็นอกนวลเผยกึ่งหนึ่ง รวมถึงแขนเกลี้ยงเกลาสองข้าง แม้ยอมให้เจ้าหมิงหมิงวาดดาบผ่านคอหอยของตนเอง เช่นนั้นก็รู้สึกตายถูกที่แล้ว
ผู้ตัดสัมพันธ์เห็นเจ้าหมิงหมิงฟันมาดาบหนึ่ง เพียงเบี่ยงกายหลบ ยังไม่ได้ชักดาบ
“หนึ่งกระบวน!”
ผู้ตัดสัมพันธ์ตะโกนเสียงลั่น
ดาบนี้เจ้าหมิงหมิงพุ่งใส่อากาศ แต่ยังไม่จบท่า
นางพลันปักดาบลงในดินโคลน ใช้สิ่งนี้เป็นจุดค้ำยัน ขาสวยพร้อมเท้างามเตะเข้าส่วนหัวของผู้ตัดสัมพันธ์อย่างรุนแรง
“สองกระบวน!”
เนื่องจากบนกายผู้ตัดสัมพันธ์คลุมด้วยผ้าห่ม จึงได้แต่ก้มตัวเล็กน้อย แต่ก็พอหลบขาเจ้าหมิงหมิงได้
“กรงเล็บทองคลื่นมัวหม่น!”
เจ้าหมิงหมิงหยุดร่างไว้ สองฝ่ามือเปลี่ยนเป็นกรงเล็บเข้าจู่โจมแทน
ผู้ตัดสัมพันธ์เห็นสองกรงเล็บนี้บุกโจมตีรุนแรงฉับไว ยังแฝงด้วยการแปรผันนับพันหมื่น ถึงขั้นปิดตายทุกทิศทางที่ตนสามารถหลบเลี่ยงได้หมด เขาจนปัญญา ได้แต่ขวางดาบต้านทาน
“บอกว่าสามกระบวนไม่ใช่หรือ จะรังแกผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างข้างั้นหรือ”
เจ้าหมิงหมิงตั้งใจหยอกเย้า แต่ดันใช้วิชาล่อลวงเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
นี่เป็นพรสวรรค์พิเศษของนาง ไม่แบ่งว่าตั้งใจหรือไม่ มันหลอมรวมเข้าในเลือดและกระดูกของนางตั้งนานแล้ว
ตอนนี้ใช้ออกมา แม้แต่นิสัยใจคออย่างผู้ตัดสัมพันธ์ก็ใจสั่นอยู่ครู่หนึ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้
เมื่อได้สติกลับมา บริเวณหัวไหล่สองข้างของตนกลับมีรอยกรงเล็บห้อเลือดเพิ่มมาอีกสามเส้น…
ผู้ตัดสัมพันธ์กระโดดถอยหลัง กล่าวว่า
“ข้าไม่รักษาสัญญาเอง…นับใหม่อีกสามกระบวนก็ได้!”
“เฮอะๆ เจ้ารอข้าสิบปีได้สบาย แต่คืนนี้ข้าไม่ได้อยากอยู่กับเจ้าเลยสักนิด! รีบจบให้เร็วดีกว่า!”
เจ้าหมิงหมิงเปลี่ยนวิชาดาบระหว่างพูด กวาดไปยังส่วนล่างของผู้ตัดสัมพันธ์
นึกไม่ถึง นี่กลับเป็นกระบวนท่าหลอก
เจ้าหมิงหมิงยืมช่องว่างของดาบนี้เคลื่อนพลังตันในกายรวมไว้บนฝ่ามือซ้าย เล็งตอนผู้ตัดสัมพันธ์เลินเล่อจดจ่ออยู่กับช่วงล่าง ฟาดฝ่ามือไปบริเวณกลางแสกหน้าเขา!
“พรวด…”
ฝ่ามือนี้โจมตีอย่างจัง
แม้บอกว่าเจ้าหมิงหมิงไม่ได้ดึงกำลังสิบส่วน แต่อีกฝ่ายโดนพลังทองบริสุทธิ์ที่มีเพียงสามสี่ส่วนนี้ทั้งหมด ทั้งยังเป็นจุดสำคัญ ทำให้ผู้ตัดสัมพันธ์พ่นเลือดสดออกมาคำหนึ่ง ในสมองเหมือนถูกฟ้าผ่ากลางกระหม่อม
“กระบวนท่าที่สาม…ข้าคืนเจ้าแล้ว!”
ผู้ตัดสัมพันธ์กล่าวพลางใช้หลังมือเช็ดเลือดสดที่เหลืออยู่บนคาง
เจ้าหมิงหมิงเห็นฉากนี้ก็ตะลึงเล็กน้อย
นางคาดไม่ถึงว่าผู้ตัดสัมพันธ์มองกระบวนท่าหลอกของตนออกแต่แรกแล้ว ทั้งยังจงใจโดนกระบวนท่าจริงของตนด้วย
เขาไม่เสียดายที่ร่างกายตนบาดเจ็บหนักเพื่อชดเชยสามกระบวนท่านั้นที่ตนยอมให้เมื่อครู่
ชั่วขณะหนึ่ง ยากจะลงมือต่อจริงๆ
แต่ผู้ตัดสัมพันธ์ไม่ได้สนใจขนาดนั้น สุดท้ายยังชูดาบตัดสัมพันธ์ขึ้นมาเต็มที่
สายฟ้าวาบรุนแรงบนตัวดาบ มันค่อยๆ เริ่มลอยขึ้นเตรียมการแล้ว
ทว่าฝ่ามือเมื่อครู่นั้น แม้เขาฝืนต้านทานด้วยร่างกายแล้ว แต่พลังปราณปิศาจที่แฝงพลังทองบริสุทธิ์ไว้กลับเข้ามาในตัวเขาแล้วเช่นกัน…รุนแรงทรงพลัง อีกทั้งเย็นเยือกด้วยเสน่ห์เหลือร้าย
ผู้ตัดสัมพันธ์จำต้องแบ่งพลังอีกส่วนหนึ่งขึ้นไประงับ…ดังนั้นการสะสมอัสนีทมิฬบนดาบจึงช้าไม่น้อย
เจ้าหมิงหมิงรู้อยู่ลึกๆ ว่าอากาศวันนี้แย่ต่อนางเอามาก!
หนำซ้ำวิชาอัสนีทมิฬก็ข่มพลังทองบริสุทธิ์อยู่แล้วด้วย…
หากตอนนี้ปล่อยให้ผู้ตัดสัมพันธ์รวมพลังสายฟ้าได้ เช่นนั้นต้องดึงสายฟ้าบนท้องฟ้าถล่มลงมาเป็นแน่…
เป็นดังคาด…
แสงสีขาวสายหนึ่งผ่าตรงเข้าใส่ผู้ตัดสัมพันธ์ทันที ใบหน้าเขาเผยรอยยิ้ม ยกดาบขึ้นรับ
ขณะสายฟ้านี้กำลังจะสัมผัสถึงดาบตัดสัมพันธ์ มันกลับเปลี่ยนเป็นช้าลงทันใด…
ฟ้าร้องฝนโปรยปราย
แสงตะวันส่องกระเบื้องเขียว
ไม่มีพลังสังหารใด
ไม่งดงามเท่าดอกไม้ไฟ ไม่เสียงดังเท่าประทัดที่เด็กๆ จุดช่วงเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ด้วยซ้ำ
“เจ้าให้ข้าสามกระบวน ข้าก็ไว้ชีวิตเจ้าหนึ่งครั้ง! เจ้ากับข้าไม่ติดค้างกันดังเดิม”
……………………………………………
[1] แต่งไก่ตามไก่ แต่งสุนัขตามสุนัข หมายถึงไม่ว่าสตรีแต่งงานกับใครก็ต้องติดตามคนนั้นตลอดชีวิต
[2] มดเขย่าต้นไม้ หมายถึงคนที่มีความสามารถน้อยนิด แต่คิดทำการใหญ่ ไปต่อกรกับสิ่งที่เหนือกว่าตน