ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 77 สองถึงหกเบญจลักขี-2
บทที่ 77 สองถึงหกเบญจลักขี-2
“ขอถามใต้เท้านายกองยังมีธุระใดหรือ”
ผู้สั่งการกองที่เป็นหัวหน้าเอ่ยถาม
ระหว่างพูดยังชำเลืองมองคนในชุดขาวดำห้าคนนั้น
เขาดูออกว่ากลุ่มประหลาดห้าคนตรงหน้านี้เหมือนขัดแย้งกับหลิวรุ่ยอิ่งเล็กน้อย และกำลังอยู่ระหว่างการคุมเชิง
แม้บอกว่านี่เป็นเรื่องส่วนตัวของหลิวรุ่ยอิ่ง พวกเขาไม่อาจหยิบยืมสิ่งนี้สร้างความดีความชอบ แต่อย่างน้อยก็สร้างภาพจำที่ดีให้นายกองหลิวที่กำลังจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็วได้บ้างไม่ใช่หรือ
หนำซ้ำก่อนตนจะมา หัวหน้าอาคารฉินถึงขั้นกำชับเป็นพิเศษให้ลองดูว่านายกองหลิวต้องการความช่วยเหลือตรงไหนหรือไม่ ยังให้ตนลงมือตอนสบโอกาสด้วย แม้กองกำลังกลุ่มนี้อยู่ให้นายกองหลิวเรียกใช้ชั่วคราวทั้งหมดก็ไม่เป็นไร
เห็นเช่นนี้แล้ว หัวหน้าอาคารฉินก็ลงแรงไม่น้อยจริงๆ…
เพราะตัวเขาแบกรับหน้าที่หัวหน้าอาคารเลยออกมาไม่ได้ง่ายๆ
แต่ถ้าดึงกองกำลังชั้นยอดกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้ามาที่นี่เพื่อส่งจดหมายแล้วกลับทันทียังพอว่า หากอยู่ต่อแล้วภายหลังส่วนกลางไล่สืบลงมาก็เป็นความผิดประมาณหนึ่งเช่นกัน
“ทางข้าเรียบร้อยดีทุกอย่าง พวกเจ้ารีบกลับจะดีกว่า ฝากทักทายหัวหน้าอาคารฉินแทนข้าด้วย!”
หลิวรุ่ยอิ่งครุ่นคิดเล็กน้อย ยังคงตัดสินใจให้พวกเขากลับ
หนึ่งคือตนไม่อยากติดค้างน้ำใจใหญ่หลวงเช่นนี้
สองคือความขัดแย้งทางฝั่งตนก็ใช่ว่าเป็นเรื่องที่คนเยอะแล้วจะแก้ไขได้เสียทีเดียว
ยิ่งกว่านั้นคนในชุดขาวดำห้าคนตรงหน้านี้มีฐานะใด สังกัดฝ่ายไหนก็ยังไม่รู้ เพราะไม่รู้อะไรเลยเช่นนี้จึงไม่อาจให้กำลังของกรมสอบสวนมาเกี่ยวข้องมากเกินไป
“นายกองหลิว…ฮิๆ! น่าเกรงขามจริง!”
ผู้ใต้บังคับบัญชาอาคารกรมสอบสวนหัวเมืองรัฐติงเพิ่งจะขึ้นม้าเตรียมกลับไป คนในชุดขาวดำหลังสุดพลันโพล่งขึ้นอีกประโยค
เมื่อผู้สั่งการกองคนนั้นได้ยิน มือที่กำลังจะยกเชือกบังเหียนขึ้นกลับผ่อนลงทันใด ตามองทางหลิวรุ่ยอิ่งอีกหน
เพียงรอเขาพยักหน้า สิบกว่าคนนี้ก็จะลงมือทันที
แต่หลิวรุ่ยอิ่งยังคงยิ้มโบกมือให้พวกเขา ไม่มีความหมายอื่นใดแม้แต่น้อย
ตอนนี้ผู้สั่งการกองก็จนปัญญา ได้แต่ประสานมือทำความเคารพอยู่บนม้าและควบบังเหียนจากไป
“ไม่ทราบท่านทั้งห้ามาหาข้าด้วยเรื่องใดหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
ทั้งที่ห้าคนนี้รู้ฐานะของตน กลับยังกล้าเอ่ยคำยั่วเย้าต่อหน้ากรมสอบสวนสิบกว่าคน เห็นได้ชัดว่ามีคนหนุนหลังจึงไม่เกรงกลัว หากเมื่อครู่ตนให้สหายกลุ่มนั้นอยู่ต่อละก็ ไม่แน่ว่าพูดขัดใจคำเดียวอาจเกิดการนองเลือดอีกรอบ…
รวมศึกศาลเจ้านั้นเข้าไปด้วย ในกายหลิวรุ่ยอิ่งเหมือนใกล้ตายตั้งนานแล้ว…เคราะห์ดีที่เขากลั่นธรรมลักษณ์บรมครูออกมาแล้ว ยามนี้ยังประคองได้สองสามส่วน ไม่อย่างนั้นต้องล้มหัวฟาดพื้นเป็นแน่!
“พวกเราคือ ‘เบญจลักขี’ ใต้บังคับบัญชาท่านประมุขหอทรงปัญญา ท่านประมุขหอให้พวกเรามารับท่าน ท่านผู้เฒ่าอยากเชิญท่านดื่มชา”
คนในชุดขาวดำผู้เป็นหัวหน้ากล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกคุ้นคำว่า ‘เบญจลักขี’ ยิ่งนัก แต่ชั่วขณะหนึ่งกลับคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก
แต่เขารู้จักประมุขหอทรงปัญญาเป็นอย่างดี
เขาคือหนึ่งในตะวันแพรทองขั้นแปดที่ปัจจุบันมีเพียงสองคนในใต้หล้า มีชื่อเสียงด้วยความสามารถด้านวรรณกรรมจากปลายพู่กันอันทรงพลังกล้าแกร่ง
สกุลตี๋ชื่อเหว่ยไท่
นี่เป็นถึงบุคคลที่เทียบเคียงกับห้าอ๋องในใต้หล้า จะเชิญตนดื่มชาโดยไม่มีสาเหตุได้อย่างไร
อีกอย่าง แล้วเขารู้ได้อย่างไรว่าตนก็อยู่ในเมืองจิ่งผิงนี้ด้วย
นึกถึงตรงนี้ หลิวรุ่ยอิ่งจึงอดสงสัยอาจารย์หมิงหมิงผู้นี้ของตนไม่ได้
“หมิงหมิงก็ไปด้วยกันสิ ท่านประมุขหอบอกเขาคิดถึงเจ้าแล้ว”
คนในชุดขาวดำผู้เป็นหัวหน้าพูดกับหมิงหมิง
“หมายความว่าก็ยังต้องไปหอทรงปัญญาใช่หรือไม่”
จิ่วซานปั้นเอ่ยถามหลังหลิวรุ่ยอิ่งเล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวให้โอวเสี่ยวเอ๋อกับเขาฟังชัดเจนแล้ว
แม้หลิวรุ่ยอิ่งบอกเขาสองคนตามตรงว่าร่วมเดินทางกับตนต่อคงไม่ปลอดภัยนัก ตลอดทางอาจไม่ต้องนึกถึงความสงบสุขอีกเลย เรื่องวุ่นวายมีแต่จะมากขึ้นเรื่อยๆ…
แต่จิ่วซานปั้นไม่สนใจสักนิด ตราบใดที่สถานที่นั้นเป็นจุดมุ่งหมายของเขาเหมือนกัน เช่นนั้นจะเป็นอย่างไรก็ช่าง
ตนฆ่ายอดนักธนูคนนั้นได้ ย่อมสังหารห้าคนในชุดขาวดำกลุ่มนี้ได้เหมือนกัน
สำหรับเขากฎเกณฑ์ในใต้หล้าก็เป็นแค่สุราหนึ่งอึก กระบี่หนึ่งเล่ม
ดื่มสุราอึกหนึ่งเพื่อให้ลำคอชุ่มชื้น จากนั้นเปิดปากพูดหลักการ
ชักกระบี่ออกเพื่อจัดการคนพูดหลักการไร้ประโยชน์ เช่นนั้นก็ตัดหัวมันให้หมดเสีย
ไม่ว่ามีกำลังทำเช่นนี้ได้หรือไม่ แต่ทัศนคติต้องเป็นเช่นนี้!
แม้ดอกตะไคร่ไม่สวยสง่าเหมือนโบตั๋น แต่ก็เหนือกว่าตรงมีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน
ใครบอกได้ว่าต้องเป็นโบตั๋นถึงจะเรียกเบ่งบาน แล้วตะไคร่น้ำผลิบานไม่ได้กันล่ะ
พูดหลักการชัดเจนหรือไม่ ไม่สำคัญ…ขอแค่เปิดปากพูดเป็นพอ อย่างน้อยก็พยายาม
ตัดหัวขาดหรือไม่ ก็ไม่ค่อยเกี่ยวเท่าไร ขอแค่เจ้าชักกระบี่ตัดเป็นพอ อย่างน้อยก็ไม่ได้คลุกคลีกับคนโฉดชั่ว
สำหรับศัตรู เขามีวิธีจัดการอย่างน้อยเจ็ดวิธี
แต่พูดตามตรงสุดท้ายแล้วทุกวิธีการล้วนเป็นวิธีฆ่าคนทั้งสิ้น
แม้จนบัดนี้เขาเคยสังหารแค่คนเดียว แต่หลังออกจากหมู่บ้านเขาก็กำหนดรูปแบบของเจ็ดวิธีนี้ไว้ในสมองแล้ว
แม้สังหารแล้วหนึ่งคน ใช้แล้วหนึ่งวิธี ก็ยังเหลืออีกหก
แต่ตรงหน้ากลับมีแค่กลุ่มห้าคน
หกต่อห้า ยังเหลืออีกหนึ่ง
มีเหลือเฟือแล้ว
หนำซ้ำใช้วิธีนี้หมดแล้วยังคิดใหม่ได้ด้วย
ไม่เหมือนแต่งกลอนดื่มสุรา
แต่งกลอนมีประโยคดีก็ต้องเขียนไว้ก่อน
ดื่มสุราไม่ว่ายังเหลือเท่าไร ทุกจอกล้วนต้องรินเต็มแล้วดื่ม
หากต้องเก็บไว้ทั้งบทแล้วค่อยเขียน เช่นนั้นอาจพิถีพิถันมากเกินไป
เหมือนเขียนเพื่อให้ได้เขียน ย่อมขาดจุดสำคัญที่มีเสน่ห์และเฉียบแหลม
หากรู้ว่าสุราเหลือไม่เยอะ ก็เริ่มรินน้อยลงคอยเอียงกา ลิ้มรสเล็กน้อยแล้วหยุด
มันคงไม่ถึงอกถึงใจเท่าไร สุรานี้ไม่ดื่มยังดีกว่า
กลอนทุกวรรคล้วนต้องเขียนด้วยอารมณ์ที่ปะทุขึ้น
สุราทุกจอกล้วนต้องฉลองให้ความองอาจผ่าเผย
แต่ทุกกระบี่ที่ฆ่าคน กลับต้องไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนซ้ำแล้วซ้ำเล่า…
โอวเสี่ยวเอ๋อยักไหล่เล็กน้อย ไม่ได้เอ่ยคำใด แต่ฝีมือการขึ้นม้ารวดเร็วทีเดียว
ไม่มีใครรู้ว่านางคิดอย่างไร
หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่เคยครุ่นคิดคาดเดา
อย่างไรการทำเช่นนี้กับสตรีคนหนึ่งก็ไม่ค่อยมีมารยาทนัก
ถึงทำเช่นนี้จะไม่มีใครรู้โดยสิ้นเชิง แต่การปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดแม้อยู่ลำพังก็คือหลักการนี้ไม่ใช่หรือ
หากภายหลังชินแล้ว ไม่ว่าทำอะไรขอแค่ไม่มีใครรู้ก็พอ เช่นนั้นยังมีขอบเขตอะไรให้พูดถึงอีก
ตอนนี้สายตาของทั้งสามรวมอยู่ที่ตัวหมิงหมิงอีกครั้ง อย่างไรก็มีแต่เขาที่รู้จักกลุ่มห้าคนนั้นดี
ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ต้องเปิดปากพูดสองสามประโยคไว้เป็นดี
แต่หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะเอ่ยคำที่มีประโยชน์อะไรออกมาได้ ไม่อย่างนั้นเขาคงอธิบายเรื่องศาลเจ้าให้ตนฟังชัดเจนแจ่มแจ้งตั้งนานแล้ว
บางคนเหมือนปล่อยตัวไม่สนเรื่องแต่งกาย ที่จริงข้างในละเอียดอ่อน บางคนคล้ายอบอุ่นดั่งไฟ เข้าได้กับทุกคน แต่สุดท้ายกลับพบว่าเขาหลีกเลี่ยงเรื่องง่ายๆ และเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ได้เสมอ
“ข้าสกุลลู่ ลู่หมิงหมิง”
เขากล่าว
“พ่อแม่ตั้งให้ ข้าก็จนปัญญา”
ลู่หมิงหมิงรู้ว่าชื่อของตนไม่เข้ากับรูปลักษณ์ร่างกายเช่นนี้เท่าไร แต่ทำได้เพียงยักไหล่อย่างจนใจ
“อาจารย์หมิงหมิง กลุ่มห้าคนนั้นเป็นใคร ‘เบญจลักขี’ คำนี้เหมือนข้าจำได้รางๆ…”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
“บนกำแพงดินศาลเจ้า!”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“ข้าเห็นบนกำแพงดินศาลเจ้ามีภาพออกเดินทางยิ่งใหญ่อลังการอยู่ภาพหนึ่ง ข้างรถม้าหลักมีคำจารึกหนึ่งเขียนไว้ว่า ‘เบญจลักขี’!”
พอจิ่วซานปั้นพูดเช่นนี้หลิวรุ่ยอิ่งก็นึกขึ้นได้เหมือนกัน
“ภาพออกเดินทางภาพนั้นก็คือตอนท่านประมุขหอทรงปัญญาตี๋เหว่ยไท่ท่องเที่ยวชนบทช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิปีหนึ่งแล้วให้จิตรกรบันทึกไว้เป็นการเฉพาะ ส่วนเบญจลักขีก็หมายถึงผู้คุ้มกันประจำกายทั้งห้าของเขา”
ลู่หมิงหมิงกล่าว
“ฮ่าๆ…ชายฉกรรจ์ห้าคนกลับตั้งสมัญญาเหมือนตุ๊กตาอ้วนตัวหนึ่งเช่นนี้ หอทรงปัญญายังบอกว่าตัวเองเป็นปรมาจารย์ด้านการประพันธ์อย่างไม่ละอายอีกหรือ”
จิ่วซานปั้นหัวเราะลั่นกล่าว
จากนั้นเขากลับพลิกตัวลงจากม้าอีกครั้ง สาวเท้าวิ่งกลับเข้าไปในร้านตีเหล็กของลู่หมิงหมิง ใช้ฝักกระบี่ขุดนารีแดงออกมาอีกไหอย่างคล่องแคล่วเตรียมไว้ดื่มระหว่างทาง
“เรื่องลูกสาวท่านข้ารู้แล้วไม่ต้องย้ำ…ข้าจะรอนาง!”
จิ่วซานปั้นเห็นลู่หมิงหมิงทำสีหน้าสับสนอยากพูดแต่ยั้งไว้ จึงชิงเปิดปากพูดก่อน
นี่ทำให้โอวเสี่ยวเอ๋อกับหลิวรุ่ยอิ่งหลุดหัวเราะทันที…พลันทำให้บรรยากาศตึงเครียดจริงจังในตอนแรกกลายเป็นผ่อนคลายลงไม่น้อย
ถึงอย่างนั้น หลิวรุ่ยอิ่งกับโอวเสี่ยวเอ๋อยังคงไม่เชื่อว่าลู่หมิงหมิงแต่งงานแล้ว ทั้งยังมีลูกสาวคนหนึ่งด้วย
“อาจารย์หมิงหมิงสนิทกับห้าคนนั้นมาก?”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ใช่…”
ลู่หมิงหมิงไม่มีม้าขี่
หลิวรุ่ยอิ่งเสนอว่าอยากนั่งร่วมกับเขา แต่กลับถูกโบกมือปฏิเสธ
“ข้าก็คงนับเป็นคนของหอทรงปัญญากระมัง…”
น้ำเสียงลู่หมิงหมิงขมขื่นเล็กน้อย คล้ายออกจะพูดยาก
“ท่านเป็นคนของหอทรงปัญญา? แล้วท่านมีขั้นหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งกับโอวเสี่ยวเอ๋อไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อย
เขาสองคนตระหนักได้นานแล้วว่าลู่หมิงหมิงต่างจากคนอื่น แต่มีเพียงจิ่วซานปั้นที่เริ่มตื่นเต้นอยู่คนเดียว
“คำจารึกที่สูงที่สุดบนกำแพงดินนั้น จันทราโปร่งเหลืองขั้นเจ็ดก็คือขั้นของข้า…หลักดูแลสุขภาพบทนั้นที่เจ้าสนใจข้าก็เป็นคนเขียนเช่นกัน”
ลู่หมิงหมิงเอ่ยถึงตรงนี้กลับยกเส้นเสียงขึ้นอีก ทะนงตนยิ่ง
จันทราโปร่งเหลืองขั้นเจ็ด
นี่คือบัณฑิตขั้นสูงสุดรองจากสองผู้คุมหางเสือแห่งหอทรงภูมิและหอทรงปัญญาสองปรมาจารย์ด้านการประพันธ์เหนือใต้
ตั้งแต่ห้าอ๋องปกครองร่วมกันมา ขั้นนี้มอบให้แค่เจ็ดคน
ในนั้นเหนือสาม ใต้สี่
สังกัดหอทรงปัญญามีสามคน หอทรงภูมิมีสี่คน
ทั้งเจ็ดถูกเรียกรวมว่า ‘เจ็ดหัตถ์เทวะสายบุ๋น’
ถึงตอนนี้หลิวรุ่ยอิ่งกับโอวเสี่ยวเอ๋อถึงได้ตกตะลึงอย่างแท้จริง
พวกเขาคาดไม่ถึงว่ายอดบุคคลสายบุ๋นหนึ่งในสามศาสตร์ผู้นี้จะยืนอยู่ตรงหน้าตนเช่นนี้
ยามนี้หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกไม่เสียแรงสักนิดที่ตนเรียกเขาว่าอาจารย์!
แม้ลู่หมิงหมิงอยู่สายบุ๋น ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์
แต่หลังจากจางซู่เป็นต้นมา บัณฑิตฝึกยุทธ์ ผู้ฝึกยุทธ์เรียนหนังสือก็กลายเป็นเรื่องปกติ
แม้จันทราโปร่งเหลืองขั้นเจ็ดมอบให้ตามระดับความสามารถสายบุ๋นของเขา แต่การฝึกสายบู๊ของคนผู้นี้ก็ไม่ต่ำอย่างแน่นอน
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดหนึ่งในเจ็ดหัตถ์เทวะผู้สง่าผ่าเผยถึงมาตีเหล็กเลี้ยงชีพไปวันๆ อยู่ในสถานที่คับแคบกลางเมืองเล็กๆ ใต้หอทรงปัญญา
มือที่ถือพู่กัน จับกระบี่ที่สังหารคน ยกค้อนที่ตีเหล็กและดีดสายเครื่องดนตรีอันไพเราะ
คราวนี้เขามีทั้งบุ๋น บู๊ ศิลปะครบสามศาสตร์แล้ว!
…………………………………………