ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 87 ลับฝีมือย่อมนองเลือด-3
บทที่ 87 ลับฝีมือย่อมนองเลือด-3
จิ่วซานปั้นมอง ‘ฝนดำ’ ทั่วฟ้านี้ ขมวดหัวคิ้วขึ้น
มันรับยากทีเดียว
อย่าว่าแต่รับยาก กระทั่งหลบยังไม่มีที่หลบ
อย่าว่าแต่หลบยาก กระทั่งกั้นยังกั้นไม่ได้
แต่จิ่วซานปั้นยังคงมองออกว่ามือซ้ายของเหลี่ยงเฟินสะบัดสามสิบเจ็ดครั้ง มือขวาสะบัดสามสิบเก้าครั้ง
สองมือรวมกันโยนทั้งหมดเจ็ดสิบหกครั้ง
ก็หมายความว่า ‘ฝนดำ’ ทั่วฟ้านี้น่าจะเกิดจากหมากดำเจ็ดสิบหกเม็ด
แต่ความเป็นจริง ‘ฝนดำ’ นี้กลับมีหมากดำทั้งหมดแปดสิบเม็ด
จิ่วซานปั้นรู้ว่าตนไม่ได้มองพลาดแน่
เพราะตอนที่เขายังอยู่ในหมู่บ้านก็ฝึกดวงตาคู่นั้นจนเหมือนเหยี่ยวนักล่า
หากวันปกติให้เขานับว่าข้างถนนมีต้นไม้กี่ต้นอาจจะสับสน แต่กับวัตถุที่เคลื่อนไหวเหล่านี้ เขาไม่มีทางพลาดเด็ดขาด
จิ่วซานปั้นก็รู้ว่าตัวเองต้องนับถูกแน่นอน
อย่างไรทั้งหมู่บ้านก็มีวัวกับแพะมากมายขนาดนั้น เขารับหน้าที่ดูแลทั้งหมด และเขาไม่เคยทำมันหายเลยสักครั้ง พาออกไปเท่าไรก็พากลับมาเท่านั้น
แล้วหมากสี่เม็ดที่เพิ่มขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุนี้โผล่มาจากไหนกันแน่
จิ่วซานปั้นไม่รู้
เหลี่ยงเฟินก็รู้สึกระแคะระคายแล้วเหมือนกัน
เพราะตอนออกหมากสุดท้ายมือเขาชะงักเล็กน้อย
มือของผู้เล่นหมากล้อมคนหนึ่งจะเกิดความลังเลไม่ได้เด็ดขาด
ไม่ว่าลงหมากตรงจุดไหน ล้วนไม่อาจมีความลังเลใด
จิ่วซานปั้นไม่เคยเล่นหมากล้อมกับเหลี่ยงเฟิน แต่จากความมั่นใจและความเฉียบขาดที่ออกมือก่อนหน้านี้ก็มองออกได้ถึงรูปแบบการเล่นหมากล้อมของเหลี่ยงเฟินผู้นี้
วิธีเล่นหมากล้อมของเหลี่ยงเฟินคล่องแคล่วทรงพลัง ยามปกติเลื่องชื่อด้วยมือเร็ว ลงหมากดุจฟ้าแลบ ทว่ารอบคอบระมัดระวัง
ยามนี้สองคนประมือเหมือนเล่นหมากล้อม
แต่เป็นการรวบรัดที่สุดในการต่อสู้
สองสีหนึ่งดำหนึ่งขาวก็เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่เรียบง่ายที่สุดเช่นกัน
แม้จิ่วซานปั้นมือถือกระบี่ยาว ไม่มีเม็ดหมาก
แต่เหลี่ยงเฟินใช้หมากดำโจมตี ก็เท่ากับจิ่วซานปั้นใช้หมากขาวแล้วไม่ใช่หรือ
ไม่ได้เป็นผู้เล่น แต่เอาตัวเองเข้าร่วมในนั้นแทน
ในสายตาเหลี่ยงเฟิน ไม่ว่าเป็นพลังเหนือธรรมชาติหรือโลกของปิศาจเทพเจ้าล้วนหนีไม่พ้นกระดานหมากเล็กๆ นี้
ทุกคนต่างเป็นจุดหนึ่งบนกระดานหมาก
จุดสี่จุดล้อมเป็นตารางช่องหนึ่ง
ตารางทุกช่องก็คือรักชังบุญคุณความแค้น เศร้าโศกยินดีพร้อมหน้าลาจากที่เกิดขึ้นระหว่างคนกับคนไม่ใช่หรือ
วางหมากต้องทำให้ ‘หมากเป็น’
หากมีดวงตาสองดวงก็มีชีวิตแล้ว
ดวงตาหนึ่งดวง ก็คือหมากตาย
แม้บนกระดานหมากมีการเปลี่ยนแปลงแนวขวางประสานแนวดิ่งนับพันหมื่น แต่ก็มาจากความเรียบง่ายเหล่านี้
หนำซ้ำสายหมากล้อมยังไม่เหมือนกับด้านอื่นในสายบุ๋น มันมีการแข่งขันดุเดือดที่สุด
ผู้ฝึกยุทธ์เห็นผู้แข็งแกร่งมักต้องลับฝีมือกันสักรอบอย่างเลี่ยงไม่ได้
ผู้อยู่สายหมากล้อมก็ใจร้อนอยากลอง อยากจะแข่งหมากล้อมให้ได้
ทุกครั้งที่กระบี่ของจิ่วซานปั้นกวัดแกว่งครั้งหนึ่ง
ก็จะมีหมากดำเม็ดหนึ่งถูกฟันเป็นสองซีกอย่างประณีต
กระบี่ของจิ่วซานปั้นกวัดแกว่งทั้งหมดเจ็ดสิบหกครั้ง
หมากดำเจ็ดสิบหกเม็ดที่เหลี่ยงเฟินออกมือถูกฟันเป็นสองซีกทั้งหมด
ไม่เกินไม่ขาดสักเม็ด
มีเพียงสี่เม็ดนอกจากนั้น
จิ่วซานปั้นเบี่ยงตัวหลบหมาก หมากดำสี่เม็ดนั้นลอยเฉียดหนังศีรษะไป
ใช่ว่าเขาไม่ทัน แต่เขาไม่ชายตาแล
สองคนประมือ เขาไม่อยากรับกระบวนท่าที่อีกฝ่ายไม่ได้ออก
สองคนประมือ เขารับแค่กระบวนท่าของอีกฝ่ายเท่านั้น
ก็เหมือนคนดูหมากล้อมไม่พูด
ต่อให้ใช้กระบวนท่าที่คนอื่นตั้งขึ้น พยายามคว้าชัยชนะ แต่บนหน้าก็ยังไร้แสงเหมือนเดิมไม่ใช่หรือ
………………
“ลอบโจมตีไม่นับเป็นวีรบุรุษ!”
จิ่วซานปั้นกล่าว
ในคำพูดเจือแววขุ่นเคือง
เขาเก็บกระบี่ยาวกลับเข้าฝัก
เขาไม่ชอบใจเอาเสียเลย
หากครั้งนี้สู้กันถึงตาย เช่นนั้นเจ้าจะพยายามคิดหาหนทาง ใช้ทุกวิถีทางแบบใดก็ได้ทั้งนั้น
อย่างไรการดำรงอยู่ก็ถูกคุกคามแล้ว ใครจะไม่ใช้ทุกวิถีทางและทุ่มเทต่อสู้สุดชีวิตบ้างหรือ
แต่สองคนลับฝีมือกัน
แข่งเพียงสูงต่ำ ไม่ทำลายชีวิต
พอเห็นเป็นเช่นนี้ จิ่วซานปั้นไม่อยากประลองแล้ว…
“ใครลอบโจมตี?”
เหลี่ยงเฟินกล่าวแย้ง
ที่จริงแล้วเขาใจฝ่อยิ่ง…
เดิมประโยคที่พูดเป็นคำถาม แต่เขาใจฝ่อจนยกน้ำเสียงคำถามตรงท้ายประโยคไม่ขึ้น
เพราะหมากดำสี่เม็ดที่เพิ่มขึ้นมา ไม่ได้ออกจากมือเขาจริงๆ…
ส่วนเป็นใคร เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน
ถึงขั้นไม่มีเงื่อนงำเลยแม้แต่น้อย…
“หมากเจ็ดสิบหกเม็ดไม่ใช่ขีดจำกัดของเจ้า แต่เมื่อครู่เจ้าแค่อยากโจมตีติดกันเจ็ดสิบหกเม็ด”
จิ่วซานปั้นส่ายหน้ากล่าว
“เฮอะๆ เจ้าไม่ใช่ข้าสักหน่อย รู้ได้อย่างไรว่าข้าอยากโจมตีกี่เม็ด”
เหลี่ยงเฟินเก็บตะกร้าหมาก
แม้ปากพูดเช่นนี้
แต่ใจของเขากลับฝ่อกว่าเดิม…
เพราะเมื่อครู่เขาอยากโจมตีแค่เจ็ดสิบหกเม็ดจริง ไม่ผิดจากที่จิ่วซานปั้นบอกสักนิด
แทนที่จะบอกว่าลับฝีมือ ไม่สู้บอกว่าเป็นการหยั่งเชิง…
เหลี่ยงเฟินกำลังหยั่งเชิงกระบี่ของจิ่วซานปั้น
หากจิ่วซานปั้นปัดป้องหมากเจ็ดสิบหกเม็ดนี้ได้ทั้งหมด เช่นนั้นเขาถึงจะนับว่ามีคุณสมบัติในการลับฝีมือกับตน
แม้เป็นการหยั่งเชิง แต่หมากเจ็ดสิบหกเม็ดนี้เหลี่ยงเฟินกลับโจมตีอย่างเอาจริงเอาจังทุกเม็ด ไม่ลดละแม้แต่น้อย
แต่หมากดำอีกสี่เม็ดไม่ได้ทำให้เหลี่ยงเฟินใจฝ่อเพียงฉาบฉวยเท่านั้น…
เกรงกลัว
หวาดหวั่น
ขวัญผวา
สามความรู้สึกครอบครองทุกส่วนของเหลี่ยงเฟิน
หมากดำสี่เม็ดนั้นมีคุณสมบัติ น้ำหนักและความโค้งเหมือนกับหมากดำของตนทุกประการ
แต่จุดที่ปล่อยหมากดำกลับไกลกว่าตนมาก
แสดงว่าความเร็วมือของคนขว้างหมากนี้ฉับไวกว่าตนเยอะ
และบริเวณที่ปล่อยหมากสี่เม็ดก็ไม่ใช่สถานที่เดียวกัน แต่กลับปะปนเข้ามาในเจ็ดสิบหกเม็ดของตนแทบจะในเวลาเดียวกัน
แสดงว่าท่าร่างของคนขว้างหมากนี้ต้องคล่องแคล่วกว่าตนไม่น้อย
ชั่วพริบตากลับเดินต่อเนื่องกันทุกจุด ทำให้เวลาที่ปล่อยหมากสี่เม็ดแทบไม่ห่างกันเลย
คนที่มีหมากเหมือนกัน มีเพียงพี่น้องอีกสี่คนของเขาเท่านั้น
แต่ไม่ว่าคนไหน กลับไม่มีท่าร่างและความเร็วมือแบบนี้ทั้งสิ้น
จุดนี้ต่อให้ไม่เกี่ยวก้อย เหลี่ยงเฟินก็กล้ารับประกันด้วยชีวิต
แต่นอกจากพวกเขาห้าพี่น้อง ในใต้หล้ายังจะมีใครที่วิชาเลิศล้ำเช่นนี้อีก
“เจ้าเก็บกระบี่ อยากยอมแพ้แล้วหรือ คนที่ยอมแพ้จะไม่มีคุณสมบัติได้เรียนสิ่งนี้อีก”
เหลี่ยงเฟินหยิบหมากดำออกมาอีกเม็ดหนึ่ง กล่าวพลางถือเล่นในมือ
เขาพยายามข่มความหวาดกลัวในใจ
ยามนี้มีเพียงแสร้งเยือกเย็น ทำเป็นกุมบางสิ่งไว้ถึงจะหาช่องโหว่เล็กน้อยของอีกฝ่ายเจอ
“ข้าไม่ได้ยอมแพ้ แค่ไม่อยากให้คนอื่นรบกวน”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“ไม่มีคนอื่นตั้งแต่แรก แนะนำให้เจ้าอย่ามั่นใจขนาดนั้นจะดีกว่า”
เหลี่ยงเฟินกล่าว
จิ่วซานปั้นส่ายหน้า ไม่เอ่ยอะไร
เขาแน่ใจมากว่าเหลี่ยงเฟินกำลังพูดโกหก
แต่เขากลับไม่มีหลักฐาน
ยิ่งยืนกรานต่อไปเช่นนี้ กลับชัดเจนว่าตนแพ้แล้ว
อย่างไรเขาก็เก็บกระบี่ก่อน
ดังนั้น จิ่วซานปั้นนิ่งเงียบเป็นเวลาหนึ่งถ้วยชาโดยประมาณ แล้วจึงชักกระบี่ยาวออกมาอีกครั้ง ตรงดิ่งโจมตีใส่เหลี่ยงเฟิน
วิชากระบี่ของคนอื่นอาจสง่างามว่องไว อาจรุนแรงแหลมคม
แต่วิชากระบี่ของจิ่วซานปั้นกลับบิดๆ เบี้ยวๆ อ่อนนุ่มไร้แรง เหมือนชายฉกรรจ์กินข้าวไม่อิ่ม
ฉับพลันนั้นสองมือจับด้ามกระบี่คว่ำ ฟาดลงอย่างแรงเหมือนชาวนายกจอบ
สะเปะสะปะ ไร้ลำดับขั้นตอนโดยแท้จริง
เหมือนชายเมาเหล้าคลุ้มคลั่ง
ทั้งที่เหลี่ยงเฟินก็ยืนตัวตรงอยู่ข้างหน้า กระบี่เขาลงซ้ายทีลงขวาที บนวาดวงกลม ล่างวาดเส้นทาง
มองจากไกลๆ แต่ละจุดรอบกายเหลี่ยงเฟินล้วนถูกกระบี่ของจิ่วซานปั้นปกคลุมไว้
ทว่าไม่ได้คุกคามเหลี่ยงเฟินเลย
เหลี่ยงเฟินไม่เข้าใจว่าจิ่วซานปั้นทำอะไรอยู่กันแน่ แต่เขารู้ว่าคนที่ฟันหมากเจ็ดสิบหกเม็ดของตนได้อย่างสมบูรณ์แบบคนหนึ่ง วิชากระบี่ไม่มีทางเละเทะเช่นนี้
หนำซ้ำ เขาไม่ได้ดื่มเหล้าเมาด้วย
ต่อให้เป็นกระบี่เมา เหลี่ยงเฟินก็เคยเห็นมาก่อน มันไม่ได้โจมตีแบบนี้
แต่เหลี่ยงเฟินไม่กล้าประมาท
ในเพลงกระบี่ที่เหมือนไร้เรี่ยวแรงและชวนสับสนนี้ ไม่รู้กระบี่ไหนจะกลายเป็นอสรพิษจู่โจมครั้งเดียวถึงตายฉับพลัน
เขาจึงตื่นตัวตลอดเวลา คอยหลบเลี่ยงทุกกระบี่อย่างระมัดระวัง
แม้จิ่วซานปั้นออกกระบี่มั่วซั่วตามใจอยาก
แต่รูปร่างและเท้ากลับรวดเร็วดุจสายฟ้า
ไม่ให้เหลี่ยงเฟินมีระยะห่างใดกับตนอย่างแท้จริง
การขว้างหมากโยนหมากนี้เน้นจู่โจมฉับพลัน บุกตอนอีกฝ่ายไม่ตั้งตัว
หน้าต่อหน้า ตาต่อตาเช่นนี้ อย่าว่าแต่ไม่มีโอกาสขว้างหมากโยนหมาก หมากนี้คงได้ร่วงตั้งแต่ยังไม่ทันขว้าง
ท่าร่างเช่นนี้ เหลี่ยงเฟินก็ไม่ค่อยได้เห็นจริงๆ
แต่เงาร่างนี้เร็วเพียงใดก็ไม่ถึงชีวิต ดังนั้นเพลงกระบี่ยังสำคัญกว่า
เหลี่ยงเฟินแน่ใจ ต่อให้เพลงกระบี่ของจิ่วซานปั้นมีช่องโหว่ทุกจุดก็ไม่อาจบุ่มบ่ามออกมือ
ก็เหมือนหากคนคนหนึ่งพ่ายแพ้หมดรูปแล้ว เช่นนั้นเขาก็สูญสิ้นทุกสิ่ง แพ้จนไม่เหลืออะไร
โอกาสทุกจังหวะและความพยายามทุกครั้งต่อจากนี้ล้วนมีแต่ก้าวไปข้างหน้า
อย่างไรก่อนหน้านี้ก็อยู่จุดต่ำสุดแล้ว ไม่อาจตกต่ำไปกว่านี้อีก
แต่เหลี่ยงเฟินรู้ หากตนเอาแต่หลบเลี่ยงอย่างเดียว ช้าเร็วก็จะถูกต้อนเข้าจุดบอด
ถึงตอนนั้น ต่อให้ตนอยากออกมือก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว…
จนปัญญา เหลี่ยงเฟินขว้างหมากออกมาเม็ดหนึ่งตามจังหวะของจิ่วซานปั้นโดยไม่คิด
เม็ดนี้ไม่มีเส้นทาง ไม่คำนวณความเร็ว ยิ่งไม่มีได้เสีย ก็เหมือนเด็กน้อยโยนก้อนหินทุบผลไม้
‘แกร๊ง!’ เม็ดนี้กระทบกระบี่ของจิ่วซานปั้น เพียงแต่ถูกเปลี่ยนทิศทาง จากนั้นเสียกำลังร่วงตกพื้น
บนหมากดำไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยคมกระบี่ ทำให้เหลี่ยงเฟินสงสัยอย่างยิ่ง
‘กระบี่ของเขาก็แค่นี้หรอกหรือ หลอกคนด้วยหมอนปักลาย[1]?’
เดิมเหลี่ยงเฟินนึกว่าเพลงกระบี่ที่ดูไร้กำลังของจิ่วซานปั้นจะแฝงอันตรายถึงชีวิต
การหลบเลี่ยงต่อเนื่องของตนต้องทำให้ความรู้สึกเขาช้าลงบ้าง จึงขว้างหมากเม็ดหนึ่งเป็นการทดสอบ
ไม่นึกว่าผลลัพธ์จะต่างกับที่ตนคาดการณ์โดยสิ้นเชิง
ตอนนี้ เขาไม่ลังเลอีกแล้ว
เหลี่ยงเฟินตัดสินใจลอยตัวขึ้นมุ่งไปข้างหลัง ขว้างหมากหนึ่งสุดแรงกลางอากาศ
‘แกรก’
จิ่วซานปั้นพลันเปลี่ยนท่า โต้กระบี่ปัดป้องอย่างรวดเร็ว
หมากดำเพิ่งแตะคมกระบี่ก็หักเป็นสองซีก
เหมือนหมากดำเจ็ดสิบหกเม็ดก่อนหน้านั้นไม่มีผิด
หมากดำแบ่งหนึ่งเป็นสองแล้วตกพื้น
จิ่วซานปั้นรับไว้ในมือ ประเมินน้ำหนักพลางกล่าว
“ที่จริงเทียบกับการขว้างหมากโยนหมากนี้ วิทยายุทธ์หมัดเท้าของเจ้าน่าสนใจกว่า”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“ข้าสังเกตเห็นสองวงกลมบนสองแขนของเจ้า มันดูไม่มีที่สิ้นสุด หากไม่มีแรงภายนอกอันแข็งแกร่งก็จะอ่อนนุ่มไร้กระดูก แต่หากมีปราณรุนแรงโจมตีอย่างหนัก เกรงว่าไม่ถึงสามยกก็ถูกสับแหลกแล้ว”
จิ่วซานปั้นโยนหมากดำสองซีกในมือคืนให้เหลี่ยงเฟินพลางกล่าว
เหลี่ยงเฟินไม่ได้ยื่นมือไปรับ แต่ปล่อยให้มันร่วงอยู่ข้างเท้าของตน
เขานึกไม่ถึง ตนลำบากฝึกฝนมาหลายสิบปีถึงได้มีขั้นฝึกตน ‘วิถีรวมเป็นหนึ่ง’ ขั้นสองอย่างธรรมชาติรวมเป็นหนึ่งกับความเป็นมนุษย์
แต่จิ่วซานปั้นแค่ต่อสู้กับตนไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็เข้าใจแก่นแท้เรียบร้อยแล้ว
แม้เหลี่ยงเฟินแน่ใจว่าจิ่วซานปั้นต้องไม่เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าความลึกล้ำและความหมายซ่อนเร้นในนั้นแน่นอน…แต่เลือกแก่นแท้ขจัดกากเดน สิ่งที่ใช้ได้จริงก็มีแค่ไม่กี่ประโยคนั้น
หลักการล้วนซื่อตรงชัดเจนยิ่ง
ต่อให้เป็นวิทยายุทธ์ที่ดูล้ำลึกแค่ไหน เพลงยุทธ์ตื่นตาเพียงใด ขอแค่เปิดเผยอธิบายก็เหมือนผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเด็กน้อยทั้งสิ้น เปิดออกมาไม่มีอะไรเลย
แต่พูดก็ส่วนพูด ทำก็ส่วนทำ
จิ่วซานปั้นมองไม่กี่ครั้งก็ประสานเพลงกระบี่ของตนมาใช้ในการรบจริงได้แล้ว
เพลงกระบี่เฉื่อยชาอืดอาดก่อนหน้านั้นหลอมรวมกับแก่นแท้ที่มีในวิถีรวมเป็นหนึ่งของตน นี่จะไม่ทำให้เหลี่ยงเฟินตกใจหน้าถอดสีได้อย่างไร
เขาเคยเห็นผู้มีพรสวรรค์
ที่จริงเขาเองก็เป็นผู้มีพรสวรรค์
ผู้มีพรสวรรค์หมายถึงจุดเริ่มต้นในทุกเรื่องของเขาล้วนสูงกว่าคนอื่นมาก
ไม่ว่าเป็นคุณสมบัติทางกายหรือการตระหนักรู้ทางจิตล้วนเหนือกว่าคนอื่นมากโข
แต่ในยอดฝีมือย่อมมีปรมาจารย์
มักจะมีคนยอดเยี่ยมกว่าเขาเสมอ
ในหอทรงปัญญาที่ผู้มีพรสวรรค์ปรากฏตัวไม่ขาด อัจฉริยบุคคลเทียมเมฆนี้เป็นเรื่องปกติตั้งนานแล้ว เห็นจนชินตา
แต่เหลี่ยงเฟินยังไม่เคยพบไม่เคยได้ยินผู้ตระหนักรู้ในหลักการลึกล้ำอย่างจิ่วซานปั้นมาก่อน
ชั่วขณะหนึ่ง เขากลับไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่ตนเห็นกับตา
ความจริงใช่ว่าเขาไม่เชื่อ แต่ความทะนงตนและความถือดีในใจไม่ยอมให้เขาค้อมศีรษะ
ผู้มีพรสวรรค์ล้วนเย่อหยิ่งกว่าคนทั่วไปมาก
หรือต้องบอกว่าความเย่อหยิ่งเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของผู้มีพรสวรรค์
เพราะเขาแตกต่างจากผู้อื่นทุกด้าน อยู่เหนือกว่าผู้ใด จึงมีต้นทุนของความเย่อหยิ่ง
และเพื่อรักษาความเย่อหยิ่งทะนงตนนี้ไว้ ผู้มีพรสวรรค์มักจะทุ่มเทพยายามมากกว่าคนปกติ
เพราะพวกเขาไม่อยากรับรู้ถึงความห่างชั้นหลังพ่ายแพ้ อยากเป็นคนวิ่งนำหน้าตลอดกาลเท่านั้น
………………………………………..
[1] หมอนปักลาย หมายถึงข้างนอกดูดีข้างในไม่มีอะไรเลย