ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 9 วีรบุรุษจอมอหังการ กระบี่เซียนกระบี่มาร
บทที่ 9 วีรบุรุษจอมอหังการ? กระบี่เซียนกระบี่มาร?
จุดพักม้าทางการ รัฐติง
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าอยู่ต่อไปก็ไม่เสียหาย อย่างไรก็ยังมีภารกิจต้องทำให้ลุล่วง
คนที่นี่รู้ฐานะของตนกันหมดแล้ว ยังไม่สู้ลองไปเดินเล่นที่อื่นอาจจะสืบหาข้อมูลมีประโยชน์มาได้สักเล็กน้อย
เขาบอกให้เจียงเหิงเจียวทราบแล้วก็จะออกไป
“เจ้าจะไปไหน”
ทังจงซงเอ่ยถามเสียงดัง
“รีบไปเพียงนี้เชียวหรือ”
เขาเดินขึ้นมาตบไหล่ของหลิวรุ่ยอิ่งเบาๆ เหมือนตอนเขาสองคนเจอกันครั้งแรก
“ใช่แล้ว ข้า…ต้องไปแล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งเป็นคนบอกลาไม่เก่ง
ที่จริงไม่มีผู้ใดเชี่ยวชาญการบอกลาหรอก
แม้กับสหายที่เพิ่งรู้จักกันวันเดียว คำว่าลาก่อนก็ยากจะเอ่ยออกมา
เขาคลำสมุดเล่มเล็กในห่อผ้าอีกครั้ง อยากหาคำเข้ากับสถานการณ์ที่สง่าผ่าเผยมาพูดสักประโยค จะได้ดูเป็นผู้ใหญ่มากประสบการณ์
แน่นอน บัณฑิตจางดูออกและไม่ชอบใจตั้งแต่แรกแล้ว
“ได้ ขอแค่เจ้ายังอยู่บนแผ่นดินรัฐติง มีเรื่องอะไรก็บอกได้เลย ใต้หล้ากว้างใหญ่ เราสองสหายเจอกันใหม่ในยุทธภพ! อ้อจริงสิ บางทีอีกไม่กี่วันข้าก็จะไปรบที่ชายแดนแล้ว ไม่แน่เจอกันคราวหน้าอาจเป็นข้าไปเล่นสนุกในเมืองหลวงกับเจ้า! ได้ยินมานานว่าสตรีทางนั้นหน้าตางดงาม พูดจาทั้งนุ่มนวลทั้งอ่อนหวาน หน้าอกใหญ่ด้วย เจ้าต้องพาข้าไปเปิดหูเปิดตาสักหน่อยนะ! ฮ่าๆๆ!”
หลิวรุ่ยอิ่งหัวเราะพลางตอบตกลง รู้สึกโล่งอกในใจ
ในที่สุดคำบอกลานี้ก็ไม่จำเป็นต้องให้เขาเอ่ยแล้ว
ตอนออกจุดพักม้าทางการ หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกด้านหลังมีสายตาหนึ่งจ้องมองเขาอยู่ตลอด
ไม่ต้องหันกลับไปก็รู้ว่านั่นคือหลี่อวิ้น
แต่หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้เตรียมตัวบอกลานาง บางความสัมพันธ์รักษาระยะไว้เท่านี้ กำลังดี
ยิ่งกว่านั้นในใจเขายังมีความรู้สึกผิดต่อคนผู้นั้นในเมืองหลวงมาตลอด
‘เจ้าไม่ต้องไปฆ่าคนมากมายเพียงนั้นก็ได้ สักวันหนึ่ง ข้าหมายถึงต้องมีสักวัน…ข้าจะกลายเป็นผู้บังคับการกรมของกรมสอบสวน แต่นี่ไม่ใช่เพื่อข้า แต่เป็นเพื่อเจ้า’
หลิวรุ่ยอิ่งเคยพูดกับนางเช่นนี้
‘เพื่อข้าหรือ’
‘ใช่ เพื่อให้เจ้าสังหารแค่คนเดียว ฉะนั้นเจ้ายังไม่ต้องฆ่าข้าตอนนี้ก็ได้ เจ้าแค่ต้องรอสักสองสามปี รอข้ากลายเป็นผู้บังคับการกรม ข้าจะมาหาเจ้าแล้วให้เจ้าสังหารข้า’
‘ถึงตอนนั้นเจ้าจะให้ข้าฆ่าเจ้าได้อย่างไร’
‘หากเจ้าจะสังหารข้าตอนนี้ก็ย่อมได้ แต่ฝีมือเช่นเจ้าไม่อาจสั่นคลอนกรมสอบสวนได้แม้เพียงนิด ในเมื่อเจ้าอยากได้การแก้แค้นที่สาแก่ใจสักครั้ง เช่นนั้นก็ทำตามที่ข้าบอกเจ้าเมื่อครู่’
นางนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน นัยน์ตาทั้งคู่ค่อยๆ เกิดหมอกสลัวชั้นหนึ่ง
‘หลิวรุ่ยอิ่ง วันนี้ข้าไม่สังหารเจ้าไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่น เป็นเพราะข้ายอมเชื่อเจ้าอีกครั้ง’
‘ขอบใจนะ…’
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยในใจคำหนึ่ง
………………………..
ออกจากจุดพักม้าทางการ เขาจูงวิชชุของตนออกมาจากโรงม้าด้านนอก แล้วตะบึงไปยังทิศทางเมืองจี๋อิง
เขาจะไปกองบัญชาการทัพกลาง ไปใจกลางเขตสงครามชายแดน
ครึ่งเดือนก่อน เขาออกเดินทางจากเมืองหลวง
หลังจากผ่านแม่น้ำจักรพรรดิและทะลุผ่านรัฐเยวี่ย รัฐฉี รัฐเหมิง รัฐเหิงตามลำดับแล้วมาถึงรัฐติง เขายังไม่ทันได้เข้าหัวเมืองรัฐติงด้วยซ้ำก็ขี่ม้าเลียบกำแพงเมืองผ่านไปเมืองจี๋อิงเลย
ตอนนั้นทางที่ไปก็เป็นถนนสายนี้ แต่เขากลับไม่ได้ตั้งใจมองดูทิวทัศน์ตามทาง คราวนี้ เขาตัดสินใจว่าจะไม่รีบร้อน ไปถึงเมืองจี๋อิงอย่างสุขุมเยือกเย็น
เขาก็ขี่ม้าโอนเอนไปเช่นนี้ จู่ๆ กลับรู้สึกอยากสุราขึ้นมา
หลิวรุ่ยอิ่งเองก็ตกใจกับความคิดนี้ ก่อนหน้านี้เขาแทบไม่ดื่มสุราสักหยด แต่หลังจากสุมหัวอยู่กับทังจงซงมาหนึ่งวันครึ่งก็ติดนิสัยนี้มาเสียแล้ว ควรบอกว่าทังจงซงมีอิทธิพลมากเกินไปหรือสุราเป็นของดีจริงกันล่ะ
เขาค่อนข้างคิดถึงตอนดื่มร่วมกับทังจงซงสองคนคืนนั้น ราวกับความโศกเศร้า ความกังวลและความเกลียดชังหลายปีที่ผ่านมาทั้งหมดล้วนละลายลงสุราจอกแล้วจอกเล่า
แม้ถูกตนดื่มลงไป แต่เมื่อตื่นแล้วความรู้สึกเหล่านี้ล้วนจางไปสามส่วน
“เมาครั้งหนึ่งก็ทำให้จางสามส่วน เช่นนั้นข้าเมาสามครั้งก็เหลือเพียงหนึ่งส่วน แต่ถ้าเมาสี่ครั้งกลับจะติดไว้สองส่วน แล้วเช่นนี้จะคำนวณอย่างไรเล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งฝืนยิ้ม
ความเศร้าโศก ความกังวล ความเกลียดชังไม่ได้ละลายหมดสิ้น ไม่มีเรื่องใดในโลกที่เราติดค้างไว้เท่าไรแล้วยังสามารถชดเชยกลับมาได้ครบถ้วนทุกประการ แม้แต่ยืมเงินก็ยังต้องคิดดอกเบี้ยเลยไม่ใช่หรือ
เมื่อติดค้างมากเกินไป การคิดเล็กคิดน้อยเช่นนี้ก็หมดความหมาย สิ่งที่ทั้งกายนี้มอบให้ได้ ก็มีเพียงชีวิตอันแหลกเหลวนี้
และเขาได้มอบมันไปแล้ว
ดังนั้นทุกสิ่งที่เขาทำมาจนถึงตอนนี้ ก็เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้สุดกำลัง
เนื่องจากเขาได้สูญเสียสิทธิ์นี้ไปแล้ว ทั้งหมดที่เขาจดจ่อมีเพียงทำอย่างไรจึงจะได้นั่งตำแหน่งผู้บังคับการกรม
ต้นไม้สูงเทียมฟ้าต้นหนึ่ง มีลำต้น มีก้านใบ มีดอกผล แต่ก็มีรากเหง้าด้วย
เหง้าหยั่งรากลึกอยู่ในดิน ดูดซับสารอาหารทั้งวันทั้งคืนแล้วส่งขึ้นไปผ่านลำต้น มันจึงเติบโตได้อย่างอุดมสมบูรณ์
ผู้พบเห็นทุกคนจึงได้แต่ชื่นชมแมกไม้อันงดงาม กิ่งก้านอันแข็งแกร่ง และใบไม้อันเขียวชอุ่ม
แต่ไรมาไม่เคยได้ยินคนกล่าวสักประโยคว่า ‘โอ้ รากเหง้าอันยิ่งใหญ่ หากไม่มีเจ้า ภายนอกจะงดงามเช่นนี้ได้อย่างไร’
ตั้งปณิธานอันยิ่งใหญ่ในใต้หล้า เดินเส้นทางที่ดีงามกว้างใหญ่
หยัดตัวตรง ยืดหลังตรงอยู่เสมอ
เดินลำพังท่ามกลางผู้คนพันหมื่น เมามายในบทเพลงสดุดี สุดท้ายเสียชีพอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกรแล้วได้รับการไว้อาลัยจากทั่วแคว้นสักครั้ง นั่นคือวีรบุรุษ
ใต้ฝ่าเท้าของเขาต้องไม่มีดินโคลนสักนิด ด้านหลังก็ห้ามมีเงามืดแม้แต่น้อย
ต่อให้มี นั่นก็เป็นที่ดวงอาทิตย์ส่องผิดทิศทาง
แกล้งหลอกคนโฉดในยุคแห่งความโง่งม
ผู้ไม่เห็นค่าและไม่เสียใจต่อสิ่งที่เกิด สิ่งที่พลาดหรือแม้กระทั่งสิ่งที่เคยรัก ผู้ไม่เห็นใจและไม่ผ่อนเบากับคนน่าสงสาร คนตัวจ้อยไปจนถึงคนอ่อนแอ นั่นคือจอมอหังการ
เมื่อวีรบุรุษตายแล้วอาจได้บรรลุเป็นเซียน จอมอหังการกลับอยู่ในโลกมนุษย์ตลอดไป
เรื่องเล่าของวีรบุรุษถูกเขียนให้ร้องสรรเสริญ เรื่องราวของจอมอหังการต้องทำเอาหลั่งน้ำตาเป็นแน่
ทว่า มีเพียงจอมอหังการเท่านั้นที่ขึ้นนั่งตำแหน่งผู้บังคับการกรมได้
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ใช่
เขาเป็นคนที่ยินดีมอบชีวิตนี้เพื่อคำมั่นสัญญาประโยคหนึ่ง ทั้งไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคและเผชิญหน้ากับความยากลำบาก
แต่ไม่มีใครสามารถถือบทวีรบุรุษแล้วแสดงบทบาทของจอมอหังการได้ดีหรอก
ไม่ว่ารีบร้อนหรือเอ้อระเหย หลิวรุ่ยอิ่งก็เพิ่งมาถึงเมืองจี๋อิงหลังดวงอาทิตย์ลับไปแล้ว เขาไม่ได้ไปกองบัญชาการทัพกลางทันที เพราะเขาพบว่าโรงเตี๊ยมพูนโชคยังคงเปิดไฟสว่างไสว แม้ในใจหลิวรุ่ยอิ่งจะรู้สึกประหลาด แต่ฝ่าเท้ากลับเดินไปยังหน้าประตูของมันโดยไม่ฟังคำสั่ง
………………………..
วังติ้งซีอ๋อง
ฮั่ววั่งพิงหลังอยู่บนบัลลังก์ กอดกระบี่ของตนไว้
สีหน้าเขาแดงเล็กน้อย บนโต๊ะมีกาสุราที่ดื่มหมดแล้วหลายกาวางระเกะระกะอยู่
“วงแหวนดารา เหตุใดเจ้าถึงสั่นรุนแรงมากขึ้นทุกที…”
บ่าวรับใช้ในวังอ๋องเห็นสิ่งนี้จนชินไปนานแล้ว
เพราะทุกวันท่านอ๋องล้วนต้องรำพันกับกระบี่เล่มนี้อยู่พักหนึ่ง คุยเรื่องฟ้าดินเหมือนสหายเก่า คุยมาถึงจุดเบิกบานใจยังถึงขั้นร้องเพลงลั่นแผดเสียงยาว
ฮั่ววั่งวางกระบี่วงแหวนดาราไว้บนโต๊ะและรินสุราให้ตนเองอีกจอกหนึ่ง คิดไม่ถึงว่ากระบี่นี้กลับเปลี่ยนทิศทางเอง คมกระบี่ชี้ไปทางตะวันตก
‘หรือมีกระบี่ดาราปรากฏขึ้นที่ราชสำนักทุ่งหญ้า’
คิดถึงตรงนี้ ฮั่ววั่งตึงเครียดทั้งกายทันที ไอร้อนจากสุราแปรเปลี่ยนเป็นเหงื่อเย็นผุดซึมออกมาบนแผ่นหลัง สีหน้าขาวซีด
“ท่านอ๋อง ท่านไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
“ไสหัวไป!”
ฮั่ววั่งสงบสติ ในสมองกำลังนึกถึงประวัติศาสตร์ลับช่วงหนึ่งอย่างละเอียดถี่ถ้วน
สมัยราชวงศ์ก่อนอ๋องทั้งห้าปกครองร่วมกัน
โลกหล้าที่โกลาหลมานาน ถูกผนึกเข้าด้วยกันโดยผู้อาวุโสผู้มีฤทธิ์เดชเหนือใครพร้อมกับศิษย์ยี่สิบแปดคนที่เขาพามาด้วย
ผู้อาวุโสตั้งสมญาให้ตนเองว่าผู้เฒ่ากระบี่ดารา
หลังจากรวมใต้หล้าเป็นปึกแผ่น เขาสถาปนาอาณาจักรใหญ่อันทอดยาวจากทุ่งหญ้าตะวันตกไปจนถึงทะเลตะวันออก เขาแบ่งอาณาจักรออกเป็นแดนเทวะมังกรฟ้าบูรพา แดนเทวะเต่าดำอุดร แดนเทวะเสือขาวประจิม แดนเทวะหงส์แดงทักษิณ แต่ละดินแดนล้วนปกครองร่วมกันโดยศิษย์เจ็ดคนของเขา
ผู้เฒ่ากระบี่ดารามีกระบี่ห้าเล่ม ทุกเล่มล้วนตั้งชื่อด้วยอักษรดวงดาว เล่มหนึ่งเป็นกระบี่ติดตัวข้างกายของเขาเอง ส่วนสี่เล่มที่เหลือในสี่แดนเทวะซึ่งปกครองราชวงศ์นั้น ต้องให้ศิษย์ทั้งเจ็ดร่วมแรงร่วมใจกันจึงจะสั่งการมันได้
เมื่อฮั่ววั่งกับอ๋องอีกสี่พระองค์ในปัจจุบันทะลวงเข้าเมืองหลวงของอาณาจักรในขณะนั้นแล้ว ผู้เฒ่ากระบี่ดาราก็ค่อยๆ ดึงกระบี่ดาราเล่มนั้นออกมา
ยิ่งส่วนคมกระบี่เผยออกจากฝักมากขึ้นเท่าไร แผ่นดินทั้งผืนก็จะเริ่มสั่นสะเทือน
“พวกเจ้า ไม่เลวเลย ข้าเคยนึกว่าต่อไปคงไม่มีโอกาสให้กระบี่หุบเหวดาราออกมาจนหมดฝักเสียแล้ว”
เสามวลอากาศสีม่วงไหลบ่าลงมาจากนอกผืนฟ้าและบรรจบรวมอยู่บนกระบี่หุบเหวดาราไม่ขาดสาย ฮั่ววั่งรู้สึกบนกายมีแรงกดดันยากจะรับไหวบางอย่างส่งกลับมา ราวกำลังแบกภูเขาใหญ่ลูกหนึ่ง
ฉิงจงอ๋องหลิวจิ่งเฮ่าตะโกนลั่น ตะโกนให้อ๋องอีกสี่พระองค์ต้านแรงกดดันไว้และมุ่งเข้าไป แต่ไม่มีผู้ใดขยับได้แม้เพียงครึ่งก้าว
กระบี่ดาราถูกดึงออกมาทั้งเล่ม จากนั้นฟันลงมา
กระบี่เล่มนี้ไม่มีกลวิธีใดเป็นพิเศษ เพียงฟันมันลงไปตรงๆ เช่นนี้
จากพายัพจรดอาคเนย์
จากทุ่งหญ้าจรดทะเลบูรพา
กระบี่เดียวผ่าออกเป็นช่องว่างที่แบ่งทั่วทั้งใต้หล้าเป็นสองฝั่งสายหนึ่ง
ตามด้วยอุกกาบาตขนาดยักษ์เก้าลูกตกลงมาจากนอกผืนฟ้า ชนเข้าใส่แดนเทวะทั้งสี่
“แค่กๆ…ไม่ควรฝืนเช่นนี้จริงด้วย…นึกถึงตอนนั้นกระบี่นี้ของข้าก็เพียงพอสำแดงเดชสามหมื่นลี้ กวาดล้างสิบเก้าแคว้น ดึงยี่สิบแปดหมู่ดาวลงมาสู่โลกพร้อมกัน แต่ตอนนี้แม้แต่กระบี่เคลื่อนดวงดาวก็ทำไม่ได้แล้ว…มีแค่หินก้อนเล็กๆ ตกลงมาเก้าก้อน”
“ข้าตั้งสมญาให้ตัวเองว่าผู้เฒ่ากระบี่ดารา แต่แท้จริงแล้วเป็นเซียนกระบี่ผู้ก้าวข้ามสะพานเซียนและได้มีตำแหน่งแห่งที่ในหมู่เซียน! หากไม่ใช่เพราะลูกทรพีนั่น…เฮ้อ…”
สีหน้าของผู้เฒ่าเศร้าสร้อยเล็กน้อย คล้ายกำลังฝืนยิ้ม แต่ด้วยระยะห่างและความต่างของกำลังทำให้ฮั่ววั่งกับคนอื่นๆ เห็นได้ไม่ชัดนัก ความรู้สึกเช่นนี้สัมผัสได้จากก้นบึ้งหัวใจ
นับแต่บัดนั้น พวกเขาจึงได้รู้ว่าบนโลกนี้มีเซียนอยู่จริง พวกเขายืนอยู่บนจุดสูงที่ยากจะบรรลุถึง กำลังมองดูตนผู้เป็นดั่งแมลง
จนบัดนี้ฮั่ววั่งกับอ๋องอีกสี่พระองค์ก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดตอนศึกสุดท้ายลูกศิษย์ยี่สิบแปดคนของเขาถึงไม่ออกมาช่วยรบเลยสักคน แล้วลูกเนรคุณที่เขาว่าหมายถึงผู้ใด ทำไมเซียนกระบี่ผู้สง่างามที่ได้นั่งตำแหน่งเซียนแล้วถึงได้ร่อนเร่มาถึงนี่แล้วยังก่อตั้งราชวงศ์ตามวิถีชาวโลก สงครามใหญ่ก็สิ้นสุดลงอย่างคลุมเครือเช่นนี้
ช่องว่างที่ถูกกระบี่หุบเหวดาราผ่าออกมานั้น เนื่องจากน้ำทะเลไหลย้อนเข้ามามันจึงกลายเป็นแม่น้ำจักรพรรดิในปัจจุบัน
สุดท้าย ปิดฉากราชวงศ์
ใต้หล้าแปรเปลี่ยนเป็นสภาพการณ์ปัจจุบันนี้
แต่ระหว่างอ๋องทั้งห้ากลับมีข้อตกลงลับอย่างหนึ่ง ไม่ว่าผู้ใดล้วนห้ามเปิดเผยความจริงในศึกสุดท้าย ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามค้นหาความลับที่ลึกลงไปกว่านั้น ไม่ว่าผู้ใดได้รับกระบี่เล่มใดก็ตามในบรรดากระบี่ดาราล้วนต้องแจ้งให้อ๋องอีกสี่พระองค์ทราบ และจากนั้นร่วมหารือวิธีจัดการ
เรื่องในอดีตกลายเป็นประวัติศาสตร์ลับ แต่ความทะเยอทะยานอันแรงกล้าที่จะได้รับตำแหน่งแห่งที่ในหมู่เซียนกลับหว่านเมล็ดลงในใจของคนทั้งหลายแล้ว
โดยเฉพาะฮั่ววั่ง
หลังจากได้กระบี่วงแหวนดารามาแล้ว หลายปีมานี้เขาคิดอยากเข้าใจความเร้นลับในกระบี่นี้ให้ทะลุปรุโปร่งโดยตลอด อยากก้าวข้ามสะพานเซียนจากในนั้น แต่ผ่านไปหลายสิบปีแล้วก็ยังไม่สมดั่งใจหวัง
“หากเข้าไม่ถึงไตรรังสี สุดท้ายก็ไปไม่ถึงสะพานเซียนนั้น…”
ไตรสสารนั่นคือฟ้า ดิน มนุษย์ ไตรรังสีนั่นคือตะวัน จันทร์ ดาว
ไม่ว่าใช้อาวุธชนิดใด ขอเพียงสามารถต้านทานได้สี่ทิศก็ถือเป็นขอบเขตปรมบุคคลแล้ว แต่สี่ทิศนี้ต้านได้ไกลเท่าไร ต้านได้นานเพียงใด กลับไม่มีถ้อยแถลงที่ชัดเจน หากก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง ก็คือขอบเขตบรมภูมิ พิชิตแปดทิศ! เข็มสอดไม่เข้า น้ำสาดไม่เข้า[1]
ส่วนขอบเขตเทพผู้บริราชเก้าทวีปนั้นบัดนี้ก็เป็นเรื่องแปลกที่เพิ่งเคยได้ยินในใต้หล้า
ฮั่ววั่งเป็นผู้ใช้กระบี่บรมภูมิแล้ว เดิมทีเขาเป็นผู้ใช้ทวน
ทวนเงินสิบสองไม้เท้าเล่มหนึ่งทำงานหนักมานานปี เมื่อร่ายรำขึ้นมากลับเป็นพายุกระหน่ำนางแอ่นดำร่วงหล่น คลื่นขาวซัดสาดสวรรค์โดยแท้จริง
วงแหวนดาราทำให้เขารู้สึกว่ามันป่าเถื่อน เผด็จการและเย่อหยิ่งจองหองมาโดยตลอด แต่การสั่นสะเทือนเมื่อครู่นี้ ฮั่ววั่งกลับรู้สึกถึงมวลอารมณ์หวาดหวั่น ไม่ใช่ความกลัวในความตายหรืออันตราย แต่เป็นความยำเกรงระหว่างบุตรกับบิดา ขุนนางกับกษัตริย์ และผู้อยู่เบื้องล่างกับผู้อยู่เบื้องบน
“รัฐติงเกิดอะไรขึ้นกันแน่…”
…………………………………………….
[1] เข็มสอดไม่เข้า น้ำสาดไม่เข้า หมายถึง การต่อต้านอย่างหนัก ไม่สามารถโจมตีเข้าไปได้เลย อีกความหมายหนึ่งคือคนที่เชื่อในความคิดตัวเอง ไม่ฟังความเห็นคนอื่น