ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 90 หลุมศพนกแก้วข้างสระเฟิ่งหวง-2
บทที่ 90 หลุมศพนกแก้วข้างสระเฟิ่งหวง-2
พั่วหมิงรู้สึกว่าวิญญาณพี่น้องร่วมสาบานของตนยังคงอยู่บริเวณหอคัมภีร์จึงออกคำสั่ง ‘ให้นำตำราทั้งหมดในหอคัมภีร์ที่ยังไม่ถูกเผามาคัดลอกอีกครั้ง จากนั้นนำตำราต้นฉบับทั้งหมดไปฝังในพื้นที่ว่างเปล่าซึ่งอยู่ด้านหลังหอคัมภีร์ จากนั้นเปลี่ยนหอคัมภีร์นี้เป็นบ้านเรือนแล้วเข้าไปพักอาศัย’
ผ่านไปสองสามปี จึงมอบตำแหน่งประมุขหอบรรพบุรุษให้กับลูกหลาน ส่วนตนเองนั้นมัวแต่ร่ำสุราพูดคุยกับพี่น้องร่วมสาบานคนนี้ทุกค่ำเช้า
หากจะพูดถึงความชำนาญด้านงานเขียนพู่กันอย่างถ่องแท้ เกรงว่าพั่วหมิงคือสุดยอดในเก้าคัมภีร์ของยุคนั้น
เดิมทีเขาคิดว่าอยากจะเขียนบทประพันธ์สักบท แกะสลักไว้บนแผ่นหินแล้วตั้งไว้หน้าหอคัมภีร์แห่งนี้ แต่กลับพบว่าตนไม่ทราบแม้แต่ชื่อพี่น้องร่วมสาบาน จึงอดไม่ได้ที่จะเศร้ายิ่งกว่า
หรือบางทีอาจเป็นเพราะความหดหู่ที่อัดแน่นอยู่ในใจฝังลึกมากเกินไป บวกกับร่ำสุราหนักไม่บันยะบันยัง พั่วหมิงจึงเสียชีวิตในหอคัมภีร์กลางค่ำคืนหนึ่งของฤดูร้อน
ลูกหลานจึงนำเขาไปฝังอยู่ข้างหลุมศพพี่น้องร่วมสาบานเขา และยังตั้งป้ายโดยเขียนว่า ‘สุสานพั่วหมิงประมุขหอบรรพบุรุษรุ่นแรก’
แต่เมื่อเห็นความโล่งว่างหน้าหอคัมภีร์ ดูแล้วไม่เหมาะสมกัน ถึงได้ตั้งป้ายหลุมฝังศพให้เขา
คนอื่นไม่รู้ว่าเรื่องราวใดๆ เกี่ยวกับองครักษ์ผู้นี้ เพียงคิดว่าประมุขหอรักการอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ จึงสลักหินเพิ่มอีกหนึ่งก้อนและตั้งอยู่ตรงนั้นว่า ‘สุสานประมุขหอบรรพบุรุษผู้รักตำรา’ เวลาทอดมองไปแล้วสบายขึ้นเยอะ
……………….
หอคัมภีร์ตระกูลสวี่อยู่ห่างจากจุดที่หลิวรุ่ยอิ่งอยู่เล็กน้อย
เมื่อเข้าสู่แดนสุขสัญจร ก่อนถึงสะพานหินข้ามแม่น้ำไหลสี่ฤดู
หากคำนวณตามเวลาแล้ว หอคัมภีร์ตระกูลสวี่ถูกสร้างมานานที่สุด กระทั่งเรียกได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของเก้าคัมภีร์
ได้ยินว่าตอนนั้นสวี่ผิงบรรพบุรุษของตระกูลสวี่ฝันเห็นเทพองค์หนึ่งเปล่งประกายแสงสีทองไปทั้งตัว ยื่นสองฝ่ามือมาให้เขา แล้วโบกไปมาติดต่อกัน
ในฝันเขาเห็นตัวหนังสือบนฝ่ามือทั้งสองข้างของเทพสีทองว่าเขียนต่างกัน
ฝ่ามือหนึ่งเขียนว่าปัจจุบัน อีกฝ่ามือหนึ่งเขียนว่าโบราณ
สวี่ผิงไม่เข้าใจความแปลกประหลาดนี้ แต่ไม่ว่าเขาจะถามอย่างไร เทพสีทองผู้นี้กลับเงียบไม่พูดจา
เวลาประมาณหนึ่งก้านธูป แสงสีทองบนตัวเทพเริ่มหายไป ใบหน้าและรูปร่างเริ่มมองเห็นไม่ชัดเจน
เขารู้ว่าเทพผู้นี้กำลังจะไปแล้ว จึงรีบเดินเข้าไปอยากจะยื้อเวลาเทพให้อยู่ต่ออีกนิด
คิดไม่ถึงว่าเขาจะคว้าฝ่ามือข้างหนึ่งของเทพที่เขียนว่า ‘โบราณ’ เอาไว้
เทพหันมายิ้มให้เขา อ้าปากพูดสองคำแต่กลับไม่มีเสียง
เข้าวันรุ่งขึ้น สวี่ผิงตื่นขึ้นมารีบวิ่งไปที่หน้ากระจก พูดหน้ากระจกโดยไม่ออกเสียง
เขาเสียเวลาตลอดช่วงเช้า สุดท้ายจึงเข้าใจสองคำที่เทพพูดคือ ‘ตื่นรู้ด้วยตนเอง’
แต่ลำพังแค่คำว่าโบราณเพียงคำเดียวจะมีอะไรให้ตื่นรู้
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าสุดท้ายแล้วสวี่ผิงตื่นรู้เรื่องอะไร แต่ต่อมาตัวอักษรสองคำของหอทรงปัญญากลับเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
เพื่อกราบไหว้บูชาเทพองค์นั้น หลังจากซ่อมแซมหอคัมภีร์ตระกูลสวี่เสร็จแล้ว สวี่ผิงเขียนตัวอักษรคำว่า ‘โบราณ’ ตัวใหญ่มากด้วยตนเอง และยังบอกลูกหลานว่าเมื่อตนตายแล้วให้นำไปใส่กรอบ จากนั้นซ่อมห้องเล็กห้องหนึ่ง แล้วนำเข้าไปแขวน
ทว่าหลังจากสวี่ผิงตายไป กลับไม่มีลูกหลานจัดการตามคำขอครั้งสุดท้ายของเขา
ทุกคนต่างคิดว่าคำนี้เป็นคำเตือนของเทพ อยากให้หอคัมภีร์ตระกูลสวี่อยู่เย็นเป็นสุขตลอดไป ดังนั้นจึงจุดธูปบูชาไม่เคยขาด
มีคนไม่น้อยเคยเห็นตัวอักษรคำว่าโบราณมักส่องแสงสีทองในตอนกลางคืนเป็นประจำ ส่องแสงสว่างไปทั่วห้องดังนั้นจึงยิ่งให้ความเคารพกราบไหว้บูชามันมากขึ้น
ด้านหน้าหลุมฝังศพของสวี่ผิง เหล่าลูกหลานสร้างเรือนหลังเล็กที่ทำจากไม้ห้องหนึ่ง และสลักคำว่า ‘โบราณ’ เต็มคานไม้
คิดไม่ถึงว่า วันที่สร้างเรือนหลังเล็กเสร็จในวันเดียวกัน วันที่เก้าเดือนสามซึ่งหนาวจัดกลับมีฝนห่าใหญ่
เช้าวันรุ่งขึ้นเห็นต้นอ่อนเขียวขจีงอกขึ้นมาบนคานไม้ที่อยู่ในเรือนหลังนี้
ฤดูใบไม้ร่วงในปีนั้น คานไม้นี้กลายเป็นต้นไม้ใหญ่สูงตระหง่าน แตกกิ่งก้านสาขาสีเขียวชอุ่ม
คนผ่านมาต่างคิดว่าเป็นอิทธิฤทธิ์เทพ ต่างไม่ไปบูชาตัวอักษรคำว่าโบราณนั่นแล้ว แต่หันมากราบไหว้ต้นไม้นี้แทน
คำนับหนึ่งครั้ง ต้นไม้ต้นนี้ออกดอก
คำนับอีกหนึ่งครั้ง ออกผลเป็นลูกประหลาดสิบลูก
คำนับครั้งที่สาม ผลไม้นี้กลับสุกร่วงลงพื้น
ผู้ที่ได้กินผลไม้ลูกนี้ ล้วนมีความเฉียบแหลมทางด้านวรรณคดี แค่เขียนเรื่อยเปื่อยก็กลายเป็นบทกวีที่แพร่หลายและเป็นบทประพันธ์ที่ได้รับการสืบทอดต่อกันมา
ตอนนั้นมีประโยคหนึ่งเป็นที่แพร่หลายไปทั่วหล้า ‘อ่านตำราสามร้อยกอง ไม่สู้คำนับหนึ่งทีได้ผลไม้’
ต่อมามีขอทานเร่ร่อนคนหนึ่ง บอกว่าตนสามารถตัดสินที่มาของตำราได้ จึงหยุดที่มาของต้นสายปลายเหตุ
ยามที่เขามาถึงแดนสุขสัญจร เมื่อมองต้นไม้วิเศษของตระกูลสวี่ จึงพูดว่าต้นไม้จะอยู่ไม่ถึงต้นฤดูใบไม้ร่วงปีนี้หลังจากที่ไม่มีผู้ใดเชื่อ ขอทานจึงพูดว่าตนยินดีเอาชีวิตเป็นประกัน
ลูกศิษย์ของตระกูลสวี่เห็นขอทานสบประมาทต้นไม้วิเศษ จึงไม่อาจดูถูกเขา หลังจากตอบรับการท้าพนันแล้วจึงตั้งตารอคอยฤดูใบไม้ร่วงให้รีบมาถึง หนึ่งคือให้เขาได้หมอบคลานคุกเข่า สองคือจะได้ปลิดชีวิตอันบัดซบของขอทาน
แต่พวกเขาก็กลัวว่าหากขอทานพูดถูก ควรจะทำอย่างไรดี…
ชีวิตของขอทานผู้นี้เป็นเรื่องเล็ก แต่หากไม่มีต้นไม้วิเศษความเสียหายใหญ่หลวงนัก…เพราะฉะนั้นจึงจัดเตรียมกำลังคนโดยเฉพาะ หมุนเวียนเปลี่ยนกะคอยปกป้องดูแล ทั้งยังทุ่มเงินหนัก จ้างมือดีอนุรักษ์ป่าไม้ที่มีชื่อเสียงในใต้หล้ามาดูแล
เมื่อต้นฤดูใบไม้ร่วงมาถึง ต้นไม้วิเศษยังคงแตกกิ่งก้านสาขาเขียวชอุ่มดังเดิม
ทุกคนจับขอทานมามัดใต้ต้นไม้ ขอทานร้องตะโกนโหวกเหวกต้องรออีกครึ่งชั่วยาม แต่ไม่มีผู้ใดสนใจ…
ศีรษะของขอทานถูกตัด กลิ้งขลุกๆ ลงไปใต้รากต้นไม้
คิดไม่ถึงว่าขอทานผู้นี้โดนตัดศีรษะแล้วแต่ยังไม่ตาย ใช้ลิ้นพยุงศีรษะแล้วหันหน้ามา ถ่มน้ำลายใส่ตระกูลสวี่ทุกคน แล้วจึงขาดใจตาย
ทันทีที่ถ่มน้ำลายลงพื้น ใบไม้ของต้นไม้วิเศษเริ่มร่วงหล่นไปทั่ว
ไม่นานนักก็ร่วงหมดต้น
หลังจากใบไม้ร่วงหมดแล้ว กิ่งก้านของต้นไม้เริ่มเหี่ยวแห้ง ค่อยๆ หักจนสลายกลายเป็นควัน
ในที่สุดก็เหลือเพียงราก
มีคนใจดีรีบเข้าไปดูเวลา พบว่าตรงกับเวลาที่ขอทานโดนฆ่าครึ่งชั่วยามพอดี
กลางดึกคืนนั้น มีคนเห็นศีรษะของขอทานกับร่างกายที่เสียไปกลับมารวมกันอีกครั้ง กลายเป็นเทพร่างประกายสีทอง ลอยเข้าไปในคำว่า ‘โบราณ’ ที่อยู่ในเรือนกราบไหว้บูชา หลังจากดึงคำนั้นลงมาแล้วจึงลอยขึ้นท้องฟ้าหายวับไป…
ส่วนรากของต้นไม้วิเศษต้นนั้น ตอนนี้กลับถูกตี๋เหว่ยไท่นำไปวางไว้ในบ้าน ทำเป็นโต๊ะสำหรับใช้งาน
.………………
หอคัมภีร์ตระกูลจี๋และหอคัมภีร์ตระกูลสวี่เป็นเพื่อนบ้านกัน
ทว่าทั้งสองฝ่ายกลับไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไรนัก
คนของตระกูลจี๋ไม่ค่อยฉลาดหลักแหลมมากนัก แต่มีความพยายามอย่างยิ่งเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
การซ่อมแซมปรับปรุงหอคัมภีร์เรียบง่ายและหยาบยิ่งนัก เสื้อผ้าอาหารก็ไม่ค่อยพิถีพิถัน
คนของตระกูลอื่นต่างรู้สึกว่าตระกูลจี๋ไม่ค่อยไว้หน้า ขี้เหนียวเกินไป
แม้แต่ผู้ที่มาขอร่ำเรียนวิชา น้อยนักที่จะมาตระกูลจี๋ มีเพียงอย่างเดียวคือหลังจากถูกตระกูลอื่นปฏิเสธ หรือคิดว่าไม่ฉลาดมากพอ ถึงจะลองมาที่ตระกูลจี๋
ทว่าคนที่โดนปฏิเสธ มาที่นี่ก็เป็นเพียงตัวสำรอง แต่จะมีบัณฑิตคนไหนคิดว่าตนไม่ฉลาดบ้างมีแต่คนพยายามกระเสือกกระสนอยากจะโดดเด่นไม่เหมือนใครมิใช่หรือ
คนของตระกูลจี๋พัฒนาที่ดินบริเวณใกล้ๆ หอคัมภีร์เพื่อลดจำนวนคนงาน และยังสร้างอ่างเก็บน้ำชลประทานอีกด้วย
แนวคิดของพวกเขา บัณฑิตจำต้องเรียนรู้ชีวิตถึงจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ ดังนั้นผักที่พวกเขากินนั้นโดยพื้นฐานแล้วจะลงมือปลูกด้วยตนเองทั้งสิ้น คนของตระกูลจี๋รู้สึกว่าทำเช่นนี้บางทีอาจจะสามารถชดเชยความโง่เขลาที่พวกเขามีมาตั้งแต่เกิดก็เป็นได้
แปลงปลูกผักของพวกเขาเต็มไปด้วยความเขียวขจี
ร่องผักเรียบเตียนเป็นระเบียบ ระยะห่างของต้นกล้าห่างกันอย่างเข้มงวด ไม่มีหญ้ารกเลยสักนิด
ตำแหน่งของอ่างเก็บน้ำอยู่ตรงกลางแปลงผัก
บัณฑิตของตระกูจี๋เมื่อเหนื่อยก็จะมาแข่งกันปาหินกระดอนบนผืนน้ำ
ดังนั้นก้อนหินในบริเวณหนึ่งร้อยลี้ ถูกพวกเขาเก็บจนเกลี้ยงแล้ว
นานวันเข้า ตระกูลอื่นต่างเรียกตระกูลจี๋เป็นตระกูลหินเขียว
หินเขียว มีความหมายมาจากก้อนหินผักสีเขียว
นำมาใช้ล้อพวกเขาที่คุ้นชินกับการใช้ชีวิตปลูกผักกวางตุ้งและปาหินเล่นได้พอดี
ทว่าตระกูลจี๋กลับไม่คิดเช่นนั้น กระทั่งจี๋หย่วนประมุขหอบรรพบุรุษได้สลักตราประทับ ‘ประมุขหอหินเขียว’ ทรงสี่เหลี่ยม เพื่อหัวเราะเยาะและแก้หน้าให้ตนเอง
จนถึงตอนนี้ อ่างเก็บน้ำนั่นก็ยังอยู่ แต่กลับปกคลุมไปด้วยหญ้าเขียวขจี กลายเป็นหนึ่งในสถานที่มหัศจรรย์ของหอทรงปัญญาในปัจจุบัน
ทุกครั้งที่พระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก จะมีบัณฑิตชายหญิงมายังสระน้ำแห่งนี้ นั่งโต้บทกวี ตั้งวงร่ำสุราช่างมีความประณีตและสุนทรีจริง!
ทว่าแปลงปลูกผักนั่นกลับไม่เห็นแม้แต่เงา…
ร่องผักที่อยู่ห่างกันเป็นระเบียบเต็มไปด้วยหญ้ารก ไม่รู้ว่าถูกกลบฝังอยู่ตรงไหน
ทว่าชื่อของสระน้ำนี้ กลับถูกเรียกว่าหินเขียว
……………….
หอคัมภีร์ตระกูลเผิน อยู่ใต้เท้าของหลิวรุ่ยอิ่งกับเซียวจิ่นข่าน
เผินหย่งประมุขหอผู้นำตระกูลเผินมีพรสวรรค์ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่เพียงแต่มีหน้าตาหล่อเหลา แต่ยังได้ชื่อว่าเปี่ยมไปด้วยปัญญาลึกซึ้ง
ไม่ว่าเรื่องใดที่เขาได้เห็นหรือได้ยิน เมื่อผ่านตาแล้วล้วนไม่เคยลืม
ผู้คนไม่ว่าจะเจอปัญหาแปลกประหลาดและยากเย็นเพียงใด เขาสามารถตอบได้อย่างครอบคลุมเสมอ
มีวันหนึ่ง บัณฑิตจากหอคัมภีร์อื่นมาหาเรื่อง จึงเอ่ยถามว่า “ไม่ทราบว่าประมุขหอบรรพบุรุษเผินหย่ง ท่านได้รับการขนานนามว่ารอบรู้ทุกสรรพสิ่ง หรือว่าก็รู้วันตายของตนด้วยใช่หรือไม่”
เผินหย่งหัวเราะพลางเอ่ยว่า “หากเจ้ายังคงรักษาทัศนคตินี้เอาไว้ วันตายของข้าต้องช้ากว่าเจ้าแน่นอน หากเจ้าคิดจะปรับปรุงให้ดีขึ้นในตอนนี้ ไม่ทำตัวกร่างอีก เช่นนั้นวันตายของข้าจะเร็วกว่าเจ้าแน่นอน”
เมื่อคนผู้นี้ฟังจบจึงหัวเราะเสียงดังแล้วเดินจากไป จากนั้นจึงมีข่าวลือภายในหอทรงปัญญาว่ากันว่าเผินหย่งทำการไม่ชอบธรรมเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียง ไม่มีความน่าเชื่อถือ
แต่หลังจากห้าปีผ่านไป เนื่องจากเขาดื่มสุราเกินขนาดเลือดคั่งในปอดและหัวใจสำลักไอจนเสียชีวิต…เสียชีวิตเร็วกว่าเผินหย่งประมุขหอบรรพบุรุษยี่สิบสามสิบปี
บางครั้งหลายคนได้ยินข่าวลือว่า เผินหย่งรอบรู้วิชามนต์ดำ สามารถสั่งให้คนตาย สั่งให้คนเป็นได้ แถมยังสาปคนให้กลายเป็นม้าเป็นลาได้เช่นกันจึงไม่กล้าล่วงเกินเขา
เผินหย่งยังมีบุตรชายคนหนึ่งชื่อเผินชี
เหมือนบิดาของเขา รูปร่างท่วงท่างามสง่า ใบหน้างดงาม และยังรอบรู้วิชาอย่างลึกซึ้ง ฉลาดหลักแหลมทั้งยังตื่นรู้
เขาชอบใส่เสื้อคลุมยาวทอด้วยผ้าดิ้นทอง รัดเข็มขัดลายมังกรขาว เมื่ออยู่ในหอทรงปัญญา บนแดนสุขสัญจร เขาชอบขี่ม้าแต่งบทกวี และบทประพันธ์
ทุกครั้งยามที่เขาควบม้าแล่นผ่าน มักจะได้ยินเสียงบทกลอนอันไพเราะจากปากเขา ผู้คนต่างรู้สึกเลื่อมใส
มีวันหนึ่ง เผินชีขี่ม้าตะบึงตามปกติ แต่กลับเห็นหญิงสาวสวมชุดชาวบ้านคนหนึ่ง เมื่อถามอย่างละเอียดแล้วถึงรู้ว่าเป็นแม่หญิงที่คอยรับใช้อยู่ในหอทรงปัญญา
แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด เผินชีผู้นี้กลับยากที่จะถอนตัวจากแม่หญิงผู้นี้…
จะว่าไปแล้ว แม่หญิงผู้นี้ไม่ได้เป็นหญิงงามล่มเมือง และไม่ใช่คนฉลาดหลักแหลมในใต้หล้า
แม้แต่บิดาของเขาก็ไม่รู้ เหตุใดบุตรชายของตนถึงหลงใหลโงหัวไม่ขึ้นเช่นนี้…
ด้วยความจนปัญญา จึงต้องกักบริเวณ ไม่อนุญาตให้เขาขี่ม้าวิ่งวุ่นไปทั่ว เพื่อไปพลอดรักกับแม่หญิงผู้นั้น
คิดไม่ถึงว่า เนื่องจากเผินชีไม่เห็นแม่หญิงผู้นั้น จึงหดหู่เศร้าใจ ข้าวปลาไม่กิน
แม้แต่น้ำสักหยดก็ไม่ดื่ม สามารถไอแห้งๆ ได้นานครึ่งชั่วยาม
นัยน์ตาไร้ความสดใสเหมือนก่อน ปากก็ไม่พูดบทกลอนด้วยอารมณ์สุนทรีอีกแล้ว
เผินหย่งรู้สึกว่าปล่อยไว้จะไม่ดี จึงพยายามคิดหาทางรีบจัดงานแต่งงานให้เร็วที่สุด เมื่อมีความหวังใหม่แล้วจะดีเอง
ไข้ใจอย่างไรก็ต้องใช้ยาใจ
เผินชีหดหู่เศร้าใจอดข้าวอดน้ำเฝ้าคิดถึงแม่หญิงทำความสะอาดผู้นั้นอยู่ในห้อง แต่บิดาของเขากลับวุ่นอยู่ข้างนอกกับการหาหญิงงามมาแต่งงานกับเขา
ในที่สุด บ่าวรับใช้เก่าแก่ที่ดูแลเผินชีมาตั้งแต่เด็ก ได้แอบบอกเขาเรื่องหนึ่ง
หลังจากมารดาของเขาตายไป มีเพียงคนเดียวที่เข้าใจความคิดและความรู้สึกของเผินชี
หลังจากเผินชีรู้ว่าไม่อาจเปลี่ยนใจของผู้เป็นบิดาได้ แต่เขาคิดได้ว่าตนสามารถละทิ้งฐานะนี้ได้!
จากนั้น ภายใต้ความช่วยเหลือของบ่าวรับใช้เก่าแก่ เขาจึงหนีออกจากการกักบริเวณได้สำเร็จแล้วหนีไปหาแม่หญิงผู้นั้น
เมื่ออยู่ระหว่างทาง เผินหย่งพบว่าบุตรชายของตนหนีไปแล้ว จึงขี่ม้าไปขัดขวางด้วยตนเอง เมื่อเห็นบุตรชายของตนตัดสินใจแน่วแน่แล้ว จึงพูดใส่ร้ายว่าแม่หญิงผู้นั้นโลภในทรัพย์สมบัติของเขา อยากใช้ชีวิตหรูหราเท่านั้น
เผินชีไม่เชื่อ ต้องไปถามด้วยตนเองให้จงได้
เขาไม่รู้ว่า ตอนที่สองคนพ่อลูกกำลังยืนประจันหน้ากัน เผินหย่งได้ส่งคนไปสืบที่บ้านของแม่หญิงผู้นั้น ขังบิดาของนาง บังคับนางให้ยอมรับว่าตนเป็นคนโลภและลุ่มหลงในลาภยศชื่อเสียงเงินทอง
แม่หญิงผู้นั้นฝ่ายหนึ่งก็คนรัก อีกฝ่ายก็ครอบครัว ไม่รู้จะทำอย่างไร
นางไม่อยากให้บิดาโดนทำร้าย และไม่อยากพูดสิ่งที่ไม่ตรงกับใจ พอคิดได้ดังนั้น จึงกระโดดบ่อน้ำฆ่าตัวตาย
เมื่อเผินชีมาถึง ตามหาเท่าไรก็ไม่เจอ จากนั้นมององครักษ์ของตระกูลเผินที่อยู่ตรงนี้ ในใจรู้สึกถึงลางร้ายจึงตวาดถามจนรู้เรื่องราวทั้งหมด เขารู้สึกหดหู่ใจอย่างยิ่ง อยากกระโดดบ่อน้ำฆ่าตัวตายไปพร้อมกับนาง แต่กลับถูกองครักษ์และบิดากดไว้แน่น จากนั้นตีสลบแล้วพากลับหอ
……………………………………………………………………….