ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 92 หลุมศพนกแก้วข้างสระเฟิ่งหวง-4
บทที่ 92 หลุมศพนกแก้วข้างสระเฟิ่งหวง-4
สระเฟิ่งหวงต้องเดินต่อไปทางเหนือ เป็นเขตป่าที่มีขนาดกว้างยาวห้าสิบลี้ หลังจากเขตป่าไปก็เป็นสี่ในเก้าตระกูลที่เหลือ
เจียน เจี่ยน เฟิ่ง อี้
สี่ตระกูลนี้ต่างจากห้าตระกูลที่เอ่ยถึงก่อนหน้า แต่ละตระกูลต่างแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กันมาหลายชั่วคน
ภายใต้การเชื่อมโยงทางสายเลือดเช่นนี้ กลับยิ่งทำให้รักใคร่กันอย่างแน่นแฟ้น และมีอาณาเขตของตนเอง
แม้จะจดจ่ออยู่กับตำราแต่ก็ยังทำการค้ากับภายนอก สั่งสมความมั่งคั่ง รวบรวมความร่ำรวย
ทั้งสี่ตระกูลแย่งกันตกแต่งซ่อมแซมจวนที่พัก ต่อหน้ายกย่องชมเชยแต่แท้ที่จริงแล้วชิงดีชิงเด่นกับอีกฝ่าย
ระหว่างหลายตระกูลที่มีสัมพันธ์ทางสายเลือดแน่นแฟ้น ประตูหน้าต่างเชื่อมถึงกัน ระเบียงมองเห็นกัน
หากกล่าวถึงคนที่เกินหน้าเกินตาที่สุด ก็ต้องเป็นอี้เฮ่าแห่งตระกูลอี้
ภายในเรือนของเขาล้วนสร้างด้วยไม้สนแผงอายุร้อยปี ราวรอบบ่อน้ำใช้หินหยกประดับด้วยเงินและทอง และยังเลี้ยงดูสตรีขับร้องและนางระบำไว้กว่าแปดร้อยนาง แต่ละคนงดงามหาตัวจับยาก
อี้เฮ่าโปรดบู๊ไม่ชอบบุ๋น และยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่โดดเด่นที่สุดในเก้าตระกูล
ตอนนั้นราชสำนักทุ่งหญ้ากำลังก่อร่างสร้างตัว หลังจากที่พวกเขามีไฟใช้ ก็รวบรวมที่ราบทุ่งหญ้าเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างรวดเร็ว และตั้งแคว้นที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมา
กาลเวลาผันผ่าน ใจทะเยอทะยานของหลางอ๋องก็ไม่ได้พอใจแค่ที่ราบทุ่งหญ้า แต่เริ่มทอดสายตามายังหอทรงปัญญาที่อยู่ใกล้เคียง
ความเจริญรุ่งเรืองของหอทรงปัญญาล้วนทำให้พวกเขากระสันอยากครอบครองจนน้ำลายยืดยาวสามฉื่อ…
แม้จะเป็นสิ่งของที่ใช้ไฟทำให้สุกเช่นกัน ผู้คนในที่ราบทุ่งหญ้าก็รู้จักแค่ย่างและต้ม
บางครั้งได้กลิ่นแสนหอมหวนของผัดผักและน้ำมันลอยออกมาจากฝั่งหอทรงปัญญาก็ทำให้จิตใจของพวกเขาเตลิดลอย
หลางอ๋องเองก็อยากพำนักอยู่ในเรือนที่งดงามและอบอุ่นเช่นนั้น อยากนอนบนเตียงกว้างอ่อนนุ่ม อยากดื่มสุราพลางโอบกอดหญิงงามเรือนร่างอ่อนนุ่มเหมือนไร้กระดูกผิวพรรณนวลเนียนเช่นนมวัว
ในที่สุด เขาก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะเริ่มเข้ามารุกรานชายแดนของหอทรงปัญญา
เดิมทีไม่มีผู้ใดให้คุณค่ากับฐานะผู้ฝึกยุทธของอี้เฮ่าเพราะจะอย่างไรหอทรงปัญญาก็ได้ชื่อว่าเป็นแดนสวรรค์ของชาวบุ๋น
หากไม่ใช่เพราะเขามีชีวิตที่ดีและมีสกุลอยู่ในเก้าตระกูลนี้ก็เกรงว่าเขาคงถูกขับไล่ไปนานแล้ว แต่ในยามนี้ เมื่อเสียงเกือกม้าของหลางอ๋องดังแล่นเข้ามา ผู้คนกลับผลักไสเขาไปยังแนวหน้า
เหตุผลนั้นง่ายดายนัก เพราะเจ้าป่าวประกาศว่าตนเป็นผู้ฝึกยุทธอยู่ทุกวัน ในเมื่อยามนี้ต้องต่อสู้กันแล้ว ก็ควรทำโดยไม่ลังเล นอกจากเจ้าแล้วจะมีผู้ใดอีก!
เมื่ออี้เฮ่าได้รับคำสั่งจากตระกูลมาเช่นนี้ก็ทั้งโมโหทั้งขบขัน…
แม้ว่าตนเองจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ไม่ผิดแน่ แต่เรื่องการนำทัพเข้ารบนี้จะเอามาเทียบกับการประมือของผู้ฝึกยุทธ์ได้อย่างไร
แต่เพราะต่างฝ่ายต่างพึ่งพากัน หลักการที่ว่ามีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน เขาเองก็เข้าใจอยู่เช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ในทั้งเก้าตระกูล นอกจากตัวเขาแล้วก็ไม่มีผู้ใดที่จะสามารถรับหน้าที่เข้าไปฟันธงรบของศัตรูได้จริงๆ
แต่ในช่วงเวลาที่รีบเร่งนั้น หนึ่งคือหอทรงปัญญาไร้ทหารที่สามารถเข้ารบได้ สองคือไร้ยุทโธปกรณ์ ม้าศึก ด้วยเหตุนี้อี้เฮ่าจึงตัดสินจะใช้ยุทธวิธีทำลายขวัญคู่ต่อสู้เป็นหลัก ขอเพียงสามารถประวิงเวลาการเข้าโจมตีของหลางอ๋องได้ ก็จะยื้อเวลาให้เก้าตระกูลและหอทรงปัญญาได้
ครั้นแล้วทางหนึ่งเขาก็ให้คนไปกว้านซื้ออาวุธจากทั่วใต้หล้า อีกทางหนึ่งก็เกณฑ์ไพร่พลและซื้อม้าศึก เพราะหอทรงปัญญาให้เบี้ยหวัดที่สูงมาก ในเวลาอันรวดเร็วจึงมีช่างเหล็กจำนวนมาก เหล่าจอมยุทธ์พเนจรล้วนยินยอมพร้อมใจขายชีวิตให้
ตอนนั้นตี๋เหว่ยไท่ยังไม่ใช่ยอดประตูมังกร เขาสมัครใจสมัครเข้ามาอยู่ในกองทหารผู้พิทักษ์แห่งหอทรงปัญญา แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ท้ายที่สุดเขากลับไม่ได้รับคัดเลือก
อี้เฮ่าส่งคนเข้าไปสืบดูสถานการณ์ภายในของราชสำนักทุ่งหญ้า เพื่อสืบดูความคิดอ่านและความต้องการของราษฎรให้แน่ชัด
ผู้สอดแนมกลับมารายงานเขาว่าราชสำนักทุ่งหญ้านี้ผลาญเงินทองในการศึกติดต่อกันหลายปี เพิ่งสงบลงได้ราวสองปีเท่านั้น
แม้ราษฎรของพวกเขาจะเข้มแข็งห้าวหาญ เชี่ยวชาญการศึก รับมือได้หนึ่งต่อสิบ แต่การสู้รบที่ยาวนานเช่นนี้ก็ทำให้คนอ่อนล้าม้าอ่อนแรง…ทุกคนล้วนหวังจะมีวันเวลาที่สงบสุขบ้าง จึงไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับคำสั่งให้นำทัพลงใต้ของหลางอ๋องไปเสียทั้งหมด
เก้าตระกูลเห็นพวกเขาเป็นคนป่าเถื่อนในยุคดึกดำบรรพ์เรื่อยมา จึงไม่เคยสนใจพวกเขามาก่อน นึกไม่ถึงว่าภายใต้เปลือกตาของเก้าตระกูล พวกเขาจะพัฒนาจนมั่งมีและแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
ทว่าอี้เฮ่ากลับรู้ว่าหลางอ๋องแห่งราชสำนักทุ่งหญ้าที่ดูคล้ายน่าเกรงขามและศักดิ์สิทธิ์จนไม่อาจล่วงเกินได้นั้น ที่แท้แล้วกลับมีความสัมพันธ์ระหว่างชนเผ่าที่คลอนแคลนยิ่งกว่าเก้าตระกูลของพวกเขาเสียอีก
เหล่าผู้อยู่ในสายเลือดโดยตรงของหลางอ๋องแม้จะเป็นยอดฝีมือทั้งหมด แต่ก็มีจำนวนไม่มาก นอกจากนี้ สองขั้วอำนาจใหญ่ภายในราชสำนักทุ่งหญ้าก็แยกเป็นฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา
ผู้นำฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาได้รับแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่ มีสิทธิ์เข้าร่วมหารือราชการ ทั้งยังมีกลุ่มเล็กๆ อีกนับไม่ถ้วน แต่ไม่ก้าวก่ายเรื่องภายในราชสำนักเลยแม้แต่น้อย
อี้เฮ่าให้เก้าตระกูลพยายามเอาสมบัติล้ำค่าหายากที่มีเฉพาะในหอทรงปัญญาออกมาให้มากที่สุด จากนั้นเขาก็เป็นคนนำกำลังพลและม้าไปด้วยตนเอง เพื่อนำสมบัติล้ำค่านั้นไปคารวะผู้นำของฝ่ายซ้ายและขวา ซึ่งก็คือแม่ทัพใหญ่ของราชสำนักทุ่งหญ้านั่นเอง
เเม่ทัพใหญ่ทั้งสองหาได้มีปณิธานอันแก่กล้า
เมื่อเห็นเงินทองสมบัติล้ำค่า หญิงงาม สุราชั้นเลิศ ก็รับปากอี้เฮ่าในทันใดว่าหากได้รับราชโองการก็จะยื้อเวลาเอาไว้สุดกำลัง
จากนั้นอี้เฮ่าก็ฉวยโอกาสที่ตนเองอยู่ในดินแดนที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้ พยายามเก็บรวบรวมวัฒนธรรมพื้นบ้านของพวกเขา โดยเฉพาะบทเพลงพื้นบ้าน
เมื่อกลับมาแล้ว ผู้คนที่มีสายตาแสนสั้นในเก้าตระกูลนึกว่าสามารถขจัดภัยไปได้ทั้งสิ้นแล้วจึงเสนอให้ถอนคำสั่งยึดอำนาจคืน เวลานั้น กองทหารผู้พิทักษ์เพิ่งก่อตั้ง ก่อสร้างค่ายใหญ่ และกำลังทำการฝึกทหารอยู่บนแดนสุขสัญจร
อี้เฮ่าได้ยินข่าวก็ไม่พูดพร่ำเพลง วางตราทัพซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจสั่งการกองทหารผู้พิทักษ์ไว้บนโต๊ะ ใช้ตราทัพทับจดหมายฉบับหนึ่งเอาไว้ข้างใต้ มีเนื้อความว่า
‘เรือนข้าใหญ่โตกว้างขวาง มีหอสูงลิ่ว ราวระเบียงอร่ามเรืองรอง เดิมสามารถบรรเลงขับลำนำอยู่ทุกค่ำคืน เป็นนักดื่มที่ถูกจารึกนาม แต่ข้าถือกำเนิดเป็นคนในเก้าตระกูล ด้วยเลือดข้นกว่าน้ำจึงไม่กล้าชักช้าให้เสียการ ด้วยเหตุนี้เสี่ยงตายเข้าไปยังส่วนลึกของราชสำนักทุ่งหญ้าเพื่อขอโอกาสให้ได้หายใจ
ยามนี้ ทหารยอดฝีมือในหอทรงปัญญาไม่มีแม้สักหนึ่ง หรือเรียกได้ว่าแทบเป็นศูนย์ มีแต่แท่นฝนหมึกต่างกำแพงต้านทานเกือกเหล็กกองทหารหมาป่า และใช้พู่กันเป็นหอกแทงทะลุเกราะกองทหารหมาป่า พวกมันคงกระดิกหางฟังคำสั่ง คุกเข่ากับพื้นศิโรราบ มอบบรรณาการให้ทุกปี คิดว่าผู้นำตระกูลทั้งเก้าและประมุขหอคงรู้อยู่แก่ใจ ข้าน้อยต่ำต้อยวาจาไร้น้ำหนัก จะไม่มากความอีก เพื่อไม่ให้เสียการใหญ่ในการต้านรับศัตรูของเก้าตระกูลและหอทรงปัญญา’
เมื่อผู้นำเก้าตระกูลและประมุขหอทรงปัญญาเห็นจดหมายฉบับนี้จึงได้เบิกเนตรและตระหนักขึ้นมาในทันใด
และให้พวกที่ไปวิพากษ์วิจารณ์เสียๆ หายๆ ลับหลังเหล่านั้นไปขอขมาและเชิญอี้เฮ่าให้นำทัพอีกครั้ง
นึกไม่ถึงว่าคนเหล่านี้ไปคุกเข่าอยู่หน้าประตูจวนของอี้เฮ่าสามวันสามคืนกลับไม่มีคนมาเปิดประตู
ด้วยอับจนหนทาง ผู้นำตระกูลอี้และประมุขหอจึงต้องออกหน้าไปถึงเรือนด้วยตนเอง ทั้งให้คำมั่นว่าจะไม่คลางแคลงต่อการกระทำของเขาอีก และให้เขารีบลงมือทำตามที่เห็นสมควรโดยเร็ว
เมื่อได้รับการรับประกันเช่นนี้ อี้เฮ่าจึงรับตราทัพมาและรับปากว่าจะนำทัพอีกครั้ง
หลายเดือนจากนั้น เขาขอเข้าคารวะหลางอ๋องอย่างเป็นทางการ เมื่อได้รับความเห็นชอบ เขาจึงนำสมบัติล้ำค่าและหญิงงามเดินทางไปที่ราบทุ่งหญ้าอีกครั้ง
คราวนี้อี้เฮ่าเสนอเรื่องการก่อตั้งเขตกันชนค้าขายเสรี เดิมทีหลางอ๋องปฏิเสธเสียงแข็ง เพราะเป้าหมายของเขาก็คือครอบครองไม่ใช่แลกเปลี่ยนทำการค้า แต่เมื่อได้สองแม่ทัพใหญ่ทั้งฝ่ายซ้ายและขวาช่วยพูดให้ สุดท้ายหลางอ๋องจึงยินยอมและประนีประนอม
เพียงแต่ตำแหน่งที่เป็นรูปธรรมของสถานที่ที่จะจัดให้เป็นเขตกันชนค้าเสรีนั้น อี้เฮ่าบอกว่าต้องกลับไปหารือต่ออีก
ค่อยๆ ก้าวไปทีละก้าวเช่นนี้ อี้เฮ่าจึงยื้อเวลานานออกไปเรื่อยๆ
เมื่อเห็นว่ากองทหารผู้พิทักษ์ฝึกฝนจนสามารถปฏิบัติตามคำสั่งได้ดีแล้ว อี้เฮ่าจึงนำแผนที่เดินทางไปราชสำนักทุ่งหญ้าอีกเป็นครั้งที่สาม
คราวนี้เขาเสนอไปในทันใดว่าให้จัดตั้งเขตกันชนค้าขายเสรีนี้ไว้นอกแดนสุขสัญจร ซึ่งก็คือตำแหน่งของสนามรบโบราณนอกเมืองจิ่งผิงในปัจจุบันนี้นั่นเอง
ตอนนั้นยังไม่มีดินแดนติ้งซีอ๋อง แม้ว่าหอทรงปัญญาจะไม่ได้เป็นผู้ดูแลที่ดินเหล่านี้โดยตรง แต่ที่จริงแล้วก็มีคนอาศัยอยู่ไม่กี่หลังคาเรือน
ทว่าอี้เฮ่าเป็นผู้ที่ทำเรื่องใดๆ อย่างงามสง่าทั้งยังมีแบบแผนเป็นที่สุด และเป็นคนในเก้าตระกูลที่ไม่รังเกียจคนนอกสกุลซึ่งเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ยากยิ่ง
เขานำผัก เนื้อ เงิน ธัญพืชเข้าไปคารวะบ้านเรือนเหล่านั้นด้วยตนเอง พร้อมกับกว้านซื้อเรือนและที่ดินของผู้คนไม่กี่หลังคาเรือนนั้นเอาไว้ทั้งหมด และให้ค่ำมั่นว่าพวกเขาสามารถย้ายเข้าไปพักอาศัยอยู่ในแดนสุขสัญจร หรือสามารถนำเงินไปใช้ชีวิตอยู่ที่อื่นได้
ชาวนาแสนซื่อเหล่านี้ไหนเลยจะเคยเห็นคนในเก้าตระกูลที่ให้ความเป็นกันเองเช่นนี้ จึงพากันพยักหน้ารับอย่างประทับใจ ครึ่งหนึ่งไปอยู่ที่แดนสุขสัญจร อีกครึ่งหนึ่งเลือกเดินทางไกลไปยังเมืองอื่น
ประโยชน์ของเขตกันชนค้าขายเสรีที่อี้เฮ่าก่อตั้งขึ้นนี้ความจริงก็ง่ายดายนัก ง่ายดายตามความหมายของอักษรในคำนี้
ค้าขายเสรีก็คือต้องการแลกเปลี่ยนม้าศึกชั้นดีของที่ราบทุ่งหญ้า เพื่อมาเป็นยุทโธปกรณ์ของตน
เขตกันชนก็ใช้เพื่อกันการรุกรานของศัตรู ซึ่งก็คือพื้นที่ที่เป็นสนามรบโบราณในปัจจุบันนี้
แต่แผนสำหรับการรบกลับยังเป็นหนทางคับแคบ เพราะอี้เฮ่ารู้ว่าด้วยนิสัยโลภมากและโหดเหี้ยมของหลางอ๋องแห่งทุ่งหญ้าจะต้องไม่มีวันอยู่อย่างสงบปรองดองกับหอทรงปัญญาเช่นนี้แน่
ศึกครั้งนี้จึงยากหลีกเลี่ยง และไม่ว่าอย่างไรกองทหารผู้พิทักษ์แห่งหอทรงปัญญาก็จะไม่อาจต้านทานเกือกเหล็กของทหารหมาป่าแห่งทุ่งหญ้าได้
สิ่งที่ต้องมาอย่างไรก็ต้องมา
ดูจากสภาพของสนามรบโบราณนอกเมืองจิ่งผิงในเวลานี้ก็จะรู้ได้ว่าการรบครั้งนั้นดุเดือดยิ่งนัก แม้จะผ่านมานานปีเพียงนี้แล้ว แต่ครั้นพวกของหลิวรุ่ยอิ่งทั้งสามคนเดินผ่านก็ยังอดทอดถอนใจด้วยความอนาถใจไม่ได้…
ครั้งกองทหารผู้พิทักษ์แห่งหอทรงปัญญาเข้าห้ำหั่นกับทหารหมาป่าแห่งทุ่งหญ้าชนิดเอาเป็นเอาตายนั้น กลับไม่เห็นอี้เฮ่าซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาแม้แต่เงา
เขาเพียงผู้เดียวและม้าตัวหนึ่ง เร่งควบไปยังราชสำนักทุ่งหญ้า ซึ่งคือค่ายกระโจมของหลางอ๋อง
คนจำนวนมากในเก้าตระกูลล้วนบอกว่าเขาจะต้องไปยอมศิโรราบต่อศัตรู รับโจรเป็นบิดา กระทั่งทำให้ตระกูลอี้ซึ่งเป็นตระกูลของอี้เฮ่าต้องพลอยตกที่นั่งลำบากทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย
………………
เวลานั้น ณ กระโจมหลักของหลางอ๋องแห่งราชสำนักทุ่งหญ้า
อี้เฮ่ายืนอยู่ตรงหน้าหลางอ๋องด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
แม้ว่าดาบเหล็กของทหารองครักษ์จะตัดผมเขาไปแล้วปอยหนึ่ง แต่เขาก็ยังคงไม่มีทีท่าตื่นตระหนก
ที่แห่งนี้คือกระโจมหลักของหลางอ๋อง ผู้ที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่ก็คือหลางอ๋องที่มียอดทหารแปดแสนนาย ได้รับการขนานนามว่าพญาเหยี่ยวสายเลือดบริสุทธิ์แห่งทุ่งหญ้า
แต่เขายังคงมีสีหน้าเช่นปกติ
ถึงอย่างไร อี้เฮ่าก็ถือกำเนิดในเก้าตระกูลผู้สูงศักดิ์ซึ่งก็เพียงพอให้เขาทะนงตน
“ยามรบผู้บังคับบัญชาไม่ประจำการบัญชาทัพ หรือจะมาเจรจาหย่าศึก?”
หลางอ๋องถาม
อี้เฮ่าส่ายหัวไม่ได้เอ่ยคำใด
“เช่นนั้นเจ้าคิดจะอาศัยปากและลิ้นแสนแยบคายกล่อมให้ข้าถอยทัพ?”
หลางอ๋องถามอีก
อี้เฮ่ายังคงส่ายหัว ไม่พูดจา
“เหตุใดถึงมาที่นี่”
หลางอ๋องถาม
“ข้าทำสงครามไม่เป็น”
อี้เฮ่ากล่าว
“และข้าก็รู้ว่าท่านจะไม่ถอยทัพ”
อี้เฮ่ากล่าวต่อ
“ข้ารู้แล้ว เจ้าคิดว่าหอทรงปัญญากำลังตกที่นั่งลำบากจึงคิดจะมาสวามิภักดิ์ต่อข้า?”
หลางอ๋องถามพร้อมรอยยิ้ม
“ข้าไม่มีวันยอมแพ้”
อี้เฮ่ากล่าว
หลางอ๋องแย้มยิ้มเบิกบานยิ่งกว่าเดิม
เขารู้สึกว่าชายวัยกลางคนตรงหน้าที่มีรูปร่างบอบบางกว่าตัวเขามากนักผู้นี้น่าสนใจยิ่ง
รบก็ไม่รบ ถอยก็ไม่ถอย ยอมแพ้ก็ไม่ยอมแพ้
แต่กลับมายังกระโจมหลักของตนเพียงลำพัง หรือว่าจะมาดื่มสุรากินเนื้อ?
“ข้าจะมาสังหารท่าน เมื่อท่านตายแล้ว เหล่าทหารหมาป่าก็จะถอยทัพ”
อี้เฮ่ากล่าว
“แม้แต่ดาบเจ้าก็ยังไม่มี เจ้าจะใช้สิ่งใดสังหาร?”
หลางอ๋องกล่าว
“หากข้าพกดาบมาด้วยก็จะไม่สามารถเดินเข้ามาในกระโจมของท่านได้”
อี้เฮ่ากล่าว
“แต่ในเมื่อเจ้าไม่พกดาบมา แล้วจะสังหารข้าได้อย่างไร ยามนี้เป็นดาบของข้า ต่างหากที่จ่ออยู่ที่ลำคอของเจ้า”
หลางอ๋องเดินลงมา หยิบดาบในมือของทหารองครักษ์ และเข้ามามองอี้เฮ่าใกล้ๆ
คิดไม่ถึงว่าอี้เฮ่ากลับกระโจนเข้าใส่แล้วใช้ฟันกัดหลางอ๋อง
แต่เพราะรูปร่างแตกต่างกันเหลือเกิน และหลางอ๋องก็เคยผ่านศึกมานับร้อย พลันถีบเข้าที่ท้องน้อยของเขาในทันใด
“เจ้าเป็นคนหรือว่าเป็นสุนัขบ้ากันแน่?”
หลางอ๋องกล่าวอย่างเดือดดาล
“จวนเจียนจะบ้านแตกสาแหรกขาดอยู่แล้ว ยังจะมาแบ่งแยกคนหรือสุนัขอันใดอีก?”
อี้เฮ่ากุมท้องร่างโซเซลุกขึ้นมา แต่จากนั้นก็ถูกทหารองครักษ์มันติดอยู่กับเสาในกระโจมใหญ่อย่างแน่นหนา
“ดังนั้นที่เจ้าบอกว่าจะมาสังหารข้า ที่แท้ก็จะมากัดให้ตาย?”
หลางอ๋องกล่าวเย้าแหย่
“ใต้หล้านี้มีวิธีสังหารคนโดยไม่ต้องใช้ดาบหรือกระบี่อีกมากมายนัก”
อี้เฮ่ากล่าว
“เรื่องนี้ก็ถูก…เกาทัณฑ์ ใช้พิษ หรือต่อให้ใช้ฟันก็ยังสามารถกัดคนให้ตายได้”
หลางอ๋องกล่าว
“แต่ยามนี้เจ้าถูกมัดเอาไว้ กัดข้าไม่ได้ แล้วจะทำเช่นไร”
หลางอ๋องจงใจเยาะหยันอี้เฮ่า ด้วยอยากรู้ว่าคนจากหอทรงปัญญาเช่นเขา ยังจะสามารถกล่าวสิ่งใดได้อีก
“ข้ายังมีดวงตา”
อี้เฮ่ากล่าว
“ดวงตาของเจ้าสามารถสังหารคนได้?”
หลางอ๋องถามอย่างสงสัย
………………………………………