ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 93 หลุมศพนกแก้วข้างสระเฟิ่งหวง-5
บทที่ 93 หลุมศพนกแก้วข้างสระเฟิ่งหวง-5
“ดวงตาของผู้ใดก็สามารถสังหารคนได้ทั้งสิ้น”
อี้เฮ่ากล่าว
“จะใช้สายตาจ้องให้ข้าตายหรือ”
หลางอ๋องกล่าว
“ใช้สายตาจ้องท่านให้ตาย”
อี้เฮ่ากล่าว
หลางอ๋องเลือกถ่านไฟสองก้อนจากอ่างไฟ แล้วดีดใส่ตาของอี้เฮ่าให้ไฟเผาตาทั้งสองของอี้เฮ่าจนบอด
“แล้วยามนี้เจ้าจะใช้สิ่งใดสังหารข้าได้”
จากนั้นหลางอ๋องก็สั่งให้ทหารองครักษ์ถอนฟันของอี้เฮ่าออกมาทีละซี่
“ข้าก็ยังสามารถใช้ลิ้นสังหารท่าน”
อี้เฮ่ากล่าว
“ใช้ลิ้นเลียข้าให้ตายรึ”
หลางอ๋องกล่าว
“ใช้ลิ้นเลียท่านให้ตาย”
อี้เฮ่ากล่าว
จากนั้นหลางอ๋องก็สั่งทหารองครักษ์อีกครั้ง คิดอยากตัดลิ้นของเขาออกมา
แต่พอคิดอีกครั้ง หากตัดลิ้นแล้วก็ใช่ว่าจะพูดจากับเขาได้อีกจึงยั้งมือ ถามต่อว่า “ลิ้นเจ้าข้าก็จะตัดออกมา แล้วจากนั้นเล่า”
จนยามนี้อี้เฮ่ายังสามารถหัวเราะออกมาได้ เขากล่าวว่า
“ต่อให้ท่านตัดลิ้นของข้าออก ข้าก็ยังมีริมฝีปากสามารถจูบให้ท่านตายได้ และยังมีแขนขาทั้งสี่ สามารถใช้วิธีที่ธรรมดาที่สุด ตีท่านจนตายได้”
“เจ้าจะต้องสังหารฆ่าให้จงได้?”
หลางอ๋องถาม
“ต้องสังหารท่านให้จงได้”
อี้เฮ่ากล่าว
“เพียงเพื่อให้ข้าถอยทัพ?”
หลางอ๋องถาม
“เพียงเพื่อให้ท่านถอยทัพ”
อี้เฮ่ากล่าว
“หอทรงปัญญาเสนอข้อตกลงใดแก่เจ้า ข้าจะมอบให้เจ้าอีกเท่าหนึ่ง ไม่สิ ให้สิบเท่า นับแต่นี้ไปให้เจ้าอยู่ภายใต้อาณัติของข้า ภักดีต่อข้า เจ้าว่าดีหรือไม่?”
หลางอ๋องกล่าว
“ไม่ดี”
อี้เฮ่ากล่างพลางส่ายหน้า
เนื่องจากเสียเลือดไปมาก จึงทำให้สติและน้ำเสียงของเขาค่อนข้างอ่อนแรง
หากไม่ใช่เพราะเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ เกรงว่าคงจะหมดสติไปนานแล้ว
ข้าจะมอบตำแหน่งที่สูงกว่าแม่ทัพใหญ่ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาให้แก่เจ้า จะเป็นรองก็แต่ข้าเท่านั้น เจ้าว่าดีหรือไม่?”
หลางอ๋องกล่าว
“ไม่ดี”
อี้เฮ่ายังคงกล่าวพลางส่ายหน้า
“เช่นนั้น ต้องอย่างไรจึงจะดีกันแน่”
หลางอ๋องเริ่มท้อถอยถอดใจ… คิดไม่ถึงว่าตนเองเสนอข้อตกลงถึงเพียงนี้แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถซื้อตัวคนตาบอดที่ไม่มีฟันผู้หนึ่งได้…
“ข้ามีนามว่าอี้เฮ่า”
อี้เฮ่ากล่าวออกมาอย่างยากลำบาก
“ข้ารู้ว่าเจ้ามีนามว่าอี้เฮ่า”
หลางอ๋องกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ข้าแซ่อี้”
อี้เฮ่ากล่าว
หลางอ๋องจึงกระจ่างแจ้ง แล้วรีบไปแก้มัดให้อี้เฮ่าด้วยตนเอง
“เชือกใช้มัดผู้ทรยศ แต่ห้ามใช้มัดผู้กล้า”
หลางอ๋องกล่าว
“ช่างมันเถิด คนของหอทรงปัญญา ล้วนคิดว่าข้าคือผู้ทรยศ พวกเขาคิดว่าข้าเป็นคนเย็นชา เห็นแก่ตัวเป็นที่สุด ที่ใดจะรู้ว่าข้าทำเพื่อวงศ์ตระกูลที่อาจจะไม่เหลืออยู่อีกด้วยหัวใจและโลหิตที่เดือดพล่านเพียงนี้…”
อี้เฮ่ากล่าว
เกิดเรื่องใดขึ้นจากนั้นไม่มีคนล่วงรู้
แต่กลับมีคำสั่งทหารให้ถอนทัพฉบับหนึ่งส่งจากกระโจมหลักของหลางอ๋องแห่งราชสำนักทุ่งหญ้ามาถึงแนวหน้า
เวลานั้น ทหารหมาป่าได้สังหารกองทหารผู้พิทักษ์ไปจนหมดสิ้นแล้ว
………………
ตี๋เหว่ยไท่กำลังนำคนหนุ่มแน่นทั้งหมดในหอทรงปัญญาไปที่เมืองจิ่งผิง อาศัยยุทธศาสตร์ที่ดีกว่าไปต้านทัพเอาไว้เป็นระยะๆ
เมื่อเขาเห็นว่าทหารหม่าป่าถอยทัพไปก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ แต่ใบหน้าของเขาที่เปรอะคราบเลือดเต็มไปหมดกลับยิ้มขึ้นมาได้
“พวกเราชนะแล้ว!”
ตี๋เหว่ยไท่ชูมือขึ้น
จากนั้นผู้คนนับพันนับหมื่นในหอทรงปัญญาที่อยู่ข้างหลังก็พากันโห่ร้อง กระโดดโลดเต้นไม่หยุดหย่อน
“เจ้าเป็นทหารหาญผู้ภักดีและกล้าหาญที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมา ข้ารับปากกับเจ้าว่าตลอดช่วงเวลาที่ข้ายังอยู่ จะไม่เข้าไปรุกรานหอทรงปัญญาอีกสักก้าว”
หลางอ๋องกล่าวกับอี้เฮ่าที่สิ้นชีพไปแล้ว
บนตัวเขามีดาบเหล็กกล้าปักอยู่
ด้วยมุมปักดาบที่ประหลาดนัก
ด้วยผลงานยอดเยี่ยมในการศึกครั้งนี้ ตี๋เหว่ยไท่จึงได้นั่งในตำแหน่ง ‘ยอดประตูมังกร’ ซึ่งคล้ายว่าเป็นผู้อยู่ในอันดับหนึ่งแห่งเก้าตระกูลนี้
แต่เขาตระหนักดีว่าตนเองไม่ได้เป็นสิ่งใดทั้งสิ้น
ยอดประตูมังกร ด้วยนามนี้ช่างไพเราะ แต่แล้วจะมีประโยชน์อะไร
กฎเกณฑ์นานาล้วนเป็นเก้าตระกูลกำหนดขึ้น นามก็เป็นเก้าตระกูลตั้งขึ้น
หากเก้าตระกูลพอใจ จะเปลี่ยนนามเป็น ‘ยอดเต่า[1]ยักษ์’ ‘ยอดตะพาบน้ำ[2]ยักษ์’ ตนก็จะต้องน้อมรับไว้อย่างสำนึกในบุญคุณ
แรกเริ่มนั้น ตี๋เหว่ยไท่ปรับตัวไม่ได้
เขาสัมผัสถึงความว่างเปล่าและหวาดวิตกที่ไร้ขีดจำกัด…
เก้าอี้ของยอดประตูมังกรนี้มีหนามแหลม
เมื่อบั้นท้ายไม่มีความชอบสักกี่ส่วน เขาก็นั่งอยู่อย่างไม่เป็นสุข!
ตี๋เหว่ยไท่มีความชอบ ไม่เช่นนั้นก็จะไม่มีโอกาสให้แสดงฝีมือ
ทว่าความชอบที่ว่านั้นมีอยู่กี่ส่วน และจะยังคงอยู่ได้กี่ส่วน
เรื่องนี้แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้…
ผู้อื่นไม่รู้ว่าเหล่าฝ่ายอำนาจต่างๆ ล้วนอิจฉาริษยา กระทั่งมองเขาด้วยความแค้นเคือง
ด้วยรู้สึกว่าเมื่อตี๋เหว่ยไท่ยังทำได้ นับประสาอะไรตนเองจะทำไม่ได้
นี่ยังนับว่าเป็นภัยจากภายนอก
ตี๋เหว่ยไท่มีฐานะเป็นยอดประตูมังกร เป็นแบบอย่างที่ดีงามให้กับคนนอก แต่กับภายใน เขาเป็นเพียงเสี่ยวเอ้อร์ผู้หนึ่งในร้านมีระดับแห่งเก้าตระกูลเท่านั้น แม้แต่เถ้าแก่ร้านก็ยังไม่ได้เป็นด้วยซ้ำ
เมื่อเก้าตระกูลให้เขาไปทางตะวันออก เขาก็ยังไม่กล้ามองไปทางทิศตะวันตกสักครั้ง
ฉะนั้น เบื้องบนเขาต้องรับกิจนานาที่ได้รับมอบหมาย เบื้องล่างก็ยังต้องเป็นหนังหน้าไฟเมื่ออยู่ต่อหน้าเหล่าผู้นำต่างสกุลที่มากความสามารถ และยังต้องมีท่าทีนอบน้อม
ชีวิตที่แปลกแยกเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดล้วนไม่อาจทานรับอยู่ได้นานนัก
แต่ตี๋เหว่ยไท่กลับทำได้
ฤดูใบไม้ผลิปีหนึ่ง การล่าสัตว์ในเขตป่าทึบทางเหนือของสระเฟิ่งหวงของเหล่าผู้สูงศักดิ์ในเก้าตระกูล ตี๋เหว่ยไท่ผู้เป็นยอดประตูมังกรย่อมต้องไปร่วมงานด้วย
นี่เป็นท่าทีที่เก้าตระกูลแสดงต่อภายนอก เพื่อให้ผู้คนในใต้หล้าคำนึงถึงพวกตนมากขึ้นอีกส่วนหนึ่ง คล้ายทำให้เห็นว่าพวกเขาเก้าตระกูลมีจิตใจกว้างขวาง
แต่ความจริงคือตี๋เหว่ยไท่ก็แค่ไปจูงม้าจัดบันไดลงม้า[3] ปูกระดาษฝนหมึก โบกธงและโห่ร้องก็เท่านั้น
………………
ครั้งนั้น เกิดคดีที่สร้างความอึกทึกครึกโครมในหอทรงปัญญาอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งก็คือคดีตำราขบถ
สาเหตุเริ่มจากมีการพบตำราบันทึกประวัติศาสตร์เล่มหนึ่ง นามว่า ‘บันทึกประวัติศาสตร์แห่งเก้าตระกูล’ ภายในหอคัมภีร์ตระกูลซวีซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นหออันดับหนึ่งแห่งเก้าตระกูล
ดูจากชื่อแล้วคลายเป็นเพียงตำราธรรมดาที่สรุปสาระสำคัญเกี่ยวกับต้นกำเนิดและประวัติของเก้าตระกูล แต่ความจริงแล้วในเวลานั้นต้นร่างของข้อมูลทางประวัติศาสตร์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับความเป็นมาภายในของเก้าตระกูลยังไม่ได้เปิดเผยต่อภายนอก และยังไม่ได้เริ่มงานการจดบันทึก
เมื่อเปิดตำราเล่มนี้ออกมา หน้าแรกเป็นโคลงตลกขบขันที่ไม่ยึดฉันทลักษณ์ว่า
‘เก้าตระกูลพวกสาระเลวกลุ่มหนึ่ง วันวันได้แต่เล่นกายกรรมต่อตัว
เดิมทีสอนสั่งหลักการให้ฟ้าดินสงบสุข แท้จริงกลับดันทุรังตามตนคิด’
เมื่อพบตำราเล่มนี้ ตี๋เหว่ยไท่ก็ได้รับข่าวนี้ตั้งแต่แรก
เมื่อเขาได้ตำรานี้มาก็ตื่นตระหนกจนหน้าถอดสี หลังจากรีบร้อนกำชับคนที่นำตำรามาส่งว่าห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปแล้ว เขาก็เอาตำราขบถเล่มนี้ซุกไว้ในอกเสื้อและเดินทางไปรายงานในการประชุมเก้าตระกูล
แต่เดินไปได้ครึ่งทาง เขากลับหยุดเท้าในทันใด
เวลานั้น ท่าทีที่เก้าตระกูลมีต่อสกุลอื่นๆ ในหอทรงปัญญาแทบเรียกได้ว่าปล่อยให้ดูแลกันเอง ทั้งคำสั่ง กฎเกณฑ์ ข้อบังคับทั้งหมดล้วนเป็นตี๋เหว่ยไท่กำหนดเองทั้งสิ้น หลังจากให้เก้าตระกูลลงนามแล้วก็จะนำไปประกาศและดำเนินการตามนั้น
ฉะนั้น ตี๋เหว่ยไท่ก็เหมือนดวงตาและปากของเก้าตระกูล
เรื่องที่เขาไม่อยากเห็น เก้าตระกูลก็จะไม่เห็น
เรื่องที่เขาไม่อยากพูดออกไป เก้าตระกูลก็จะไม่ได้ยิน
ตี๋เหว่ยไท่ทบทวนดูแล้ว จึงหันหลังกลับและมีแผนการหนึ่งอยู่ในใจ
เขาเรียกคนสนิทของตนมาจำนวนหนึ่ง ให้พวกเขาคัดลอกตำราเล่มนี้ออกมาจำนวนมาก ดีที่สุดก็ให้เหมือนลมฝนที่ตกทั่วเมือง
ไม่เพียงให้ผู้คนภายในหอทรงปัญญาได้รู้กันถ้วนหน้า นอกหอทรงปัญญาก็ต้องให้แพร่สะพัด
และเขายังคัดโคลงเสียดสีในหน้าแรกเอาไว้โดยเฉพาะ และส่งออกไปสอนเด็กเล็กๆ นอกหอทรงปัญญาให้พวกเขาตบมือร้องเล่นอย่างแพร่หลาย
นี่เป็นการประชุมครั้งแรกที่ตี๋เหว่ยไท่เห็นว่าเก้าตระกูลมากันครบทุกคน แต่ยามนี้เขากลับถูกเฆี่ยนตีจนเลือดเนื้อย่อยยับ สองตาหรี่ลงเพราะอาการบวม นอนหมอบอยู่กับพื้นราวกับสุนัขตายตัวหนึ่ง
นี่ก็คือยอดประตูมังกรทรงบารมียามอยู่ภายนอกในเวลากลางวัน ทว่าสารรูปในยามนี้แม้แต่ขอทานข้างถนนก็ยังไม่ปาน…
แม้ว่าตี๋เหว่ยไท่จะเตรียมใจกับเรื่องนี้เอาไว้ก่อนหน้าแล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าตนเองถึงกับต้องถูกตีปานตายทั้งเป็นเช่นนี้
เดิมทีเขานึกว่าอย่างมากเมื่อคนของเก้าตระกูลลงทัณฑ์เขาเล็กน้อยแล้ว ก็จะให้ตนเองไปจัดการเรื่องนี้
เพราะอย่างไรเสีย ยอดประตูมังกรผู้นี้ก็คือสุนัขรับใช้และสุนัขแสนภักดีที่ทำงานให้พวกเขาได้ดีเป็นที่สุด
ในขณะที่ตี๋เหว่ยไท่หายใจออกและแทบหายใจเข้าไม่ได้อยู่นั้น ไม่รู้ว่าผู้ใดในเก้าตระกูลเอ่ยออกมาประโยคหนึ่งว่า “พอแล้ว ไม่ต้องตีแล้ว หามเขาไปรักษาแผลเถิด พอหายแล้วค่อยส่งกลับมา”
เมื่อได้ยินคำประโยคนี้ ตี๋เหว่ยไท่ก็รู้ว่าตนเองวางเดิมพันถูกต้องแล้ว
ทันใดนั้นเมื่อประสาทที่ตึงเครียดผ่อนคลายลง เขาก็กลับหมดสติไปทั้งอย่างนั้น
เมื่อได้สติขึ้นมาอีกครั้ง หมอบอกเขาว่ากระดูกเส้นเอ็นเนื้อหนังทั่วตัวเขาไม่เป็นอะไรมาก ทว่าตับและม้ามถูกตีจนเสียหายแล้ว…วันหน้าเขาอย่าอดนอน ดีที่สุดก็ให้เลิกสุราเสีย
หลังตี๋เหว่ยไท่ได้ฟังก็พยักหน้าไม่ได้เอ่ยคำใด ลงจากเตียงด้วยตนเอง จับไม้เท้าแล้วไปยังที่ประชุมของเก้าตระกูล
พอเข้ามาในโถงใหญ่ เขาก็สลัดไม้เท้าทั้งสองด้ามทิ้ง ไม่แยแสว่าบาดแผลสาหัสบนตัวยังไม่หายดี พลันคุกเข่าลงร่ำไห้อย่างหนัก เขาร้องไห้ไปพลางบอกว่าเก้าตระกูลมีบุญคุณชุบเลี้ยงตนมา แต่กับเรื่องที่ร้ายแรงถึงเพียงนี้ตนเองกลับไม่มีแผนการป้องกันระวังภัยเลยแม้แต่น้อย พูดไปๆ ก็เริ่มโขกหัวกับพื้น และภายหลังถึงกับเอาหัวชนเสาหวังฆ่าตัวตาย…
เขาทั้งร่ำไห้ทั้งอาละวาดอยู่เช่นนี้ คนของเก้าตระกูลก็เริ่มใจอ่อน
จะอย่างไรเมื่อเลี้ยงสุนัขตัวหนึ่งมานานก็ยังคงรู้สึกผูกพันกับมัน หนำซ้ำพวกเขาก็เพียงถูกคนภายนอกดูแคลนเท่านั้น ยังนับไม่ได้ว่าเป็นเรื่องร้ายแรงอันใด
เวลานั้นพวกเขาจึงขัดขวางตี๋เหว่ยไท่เอาไว้และยังให้เก้าอี้เขานั่ง
นึกไม่ถึงว่าพอตี๋เหว่ยไท่นั่งลงกลับรีบปาดน้ำตาและเปลี่ยนสีหน้าในทันใด
เขากล่าวทั้งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันว่าตนเองมีวิธีจัดการเรื่องนี้ และสามารถขจัดความวุ่นวายที่เกิดจากตำราขบถเล่มนี้ได้ภายในสามวันเป็นแน่
เรื่องนี้กลับเหมือนกับความคิดของคนในเก้าตระกูล
เพราะอย่างไรเสียตำแหน่งยอดประตูมังกรนี้ก็มีเขาเพียงผู้เดียว
แม้ถัดลงไปจะมีสามศีลธรรม ห้าจรรยา และเจ็ดคุณธรรมเหล่านั้นอยู่ แต่ไม่ว่าเรื่องคุณสมบัติเฉพาะตัว ความสามารถหรือชื่อเสียงบารมี ล้วนไม่อาจเทียบเท่าแม้แต่นิ้วหนึ่งนิ้วของตี๋เหว่ยไท่
ในที่สุด ตี๋เหว่ยไท่ก็ได้รับอำนาจตามต้องการ และเริ่มก้าวแรกในแผนการของเขา
ตี๋เหว่ยไท่เบิกเงินมาก้อนโต ใช้เงินจำนวนนี้ว่าจ้างนักรบเดนตายทั่วใต้หล้าและให้แฝงตัวเข้าไปในหอทรงปัญญาอย่างลับๆ
จากนั้นก็ตามเหล่าคนสนิทที่เคยช่วยคัดลอกตำราขบถก่อนหน้านั้นมาพบ เริ่มด้วยการให้รางวัลอย่างงามแก่พวกเขา จากนั้นก็สั่งพวกเขาอีกว่าให้ตามหาผู้อยู่เบื้องหลังตำราขบถตัวจริงอย่างสุดกำลัง
ในเวลาเดียวกันนั้นก็ยังติดประกาศสนับสนุนให้เหล่าบัณฑิตทั้งมวลร่วมมือกันเปิดโปงตัวคนร้าย
หากผู้ใดช่วยปกปิดก็จะจับทั้งคู่
เพียงชั่วครู่ เบาะแสของเรื่องนี้หลั่งไหลมาหาตี๋เหว่ยไท่รวดเร็วเช่นหิมะปลิดปลิว
เขาใช้เหตุผลว่าคนเดียวมีกำลังจำกัด ไม่อาจจัดการได้เสร็จสิ้น เพื่อก่อตั้งกลุ่มเอกเทศซึ่งเป็นของตนเองได้อย่างสะดวก
เบื้องหน้าแจ้งต่อหอทรงปัญญาว่าเปิดรับผู้มีปณิธานและความภักดีกลุ่มหนึ่ง อย่างเปิดเผยเพื่อเข้ามาทำงานระยะยาว แต่ในทางลับกลับเลือกใช้นักรบเดนตายที่เขาให้แฝงตัวเข้ามาภายในกลุ่มนั้น
คนกลุ่มนี้ก็คือสุนัขรับใช้ในมือของตี๋เหว่ยไท่
หรือจะเรียกพวกเขาว่าเป็นสุนัขรับใช้ของสุนัขรับใช้ก็ไม่ได้เกินเลยแต่อย่างใด
สรุปก็คือ เมื่อใดที่ได้รับเบาะแส ไม่ว่าผลการสืบสวนจะเป็นอย่างไร คนเหล่านั้นต้องถูกลงทัณฑ์อย่างทรมานที่สุดเหมือนกันทุกคน
ด้วยเหตุนี้ อำนาจและบารมีของตี๋เหว่ยไท่จึงพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด
ภายใต้การสืบสวนที่มีการทรมานอย่างโหดร้าย จากนั้นไม่นาน บัณฑิตแซ่หวงผู้หนึ่งก็ยอมรับว่าตนเองคือผู้ริเริ่มทำตำราขบถเล่มนี้
จากนั้นตี๋เหว่ยไท่ก็เรียกคนสนิทหลายคนที่เคยช่วยคัดลอกตำรามาอีกครั้ง ก่อนวางแผนสังหารและจัดฉากว่าพวกเขาฆ่าตัวตายเพราะกลัวความผิด ก่อนจะพาคนไปค้นยังที่พักอาศัยของเขาและพบสมบัติเงินทองจำนวนมาก ทั้งปลอมลายมือของพวกเขาเขียนจดหมายยอมรับผิด
ความจริงแล้ว สมบัติเหล่านั้นก็คือเงินทองที่ตี๋เหว่ยไท่เคยให้รางวัลไปก่อนหน้านี้ ส่วนตำรารับผิดนั้น สำหรับผู้เชี่ยวชาญรูปแบบตัวอักษรทั้งร้อยตระกูลเช่นตี๋เหว่ยไท่แล้ว ก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ ภายในเวลาสามวัน ตี๋เหว่ยไท่จึงจัดการคดี ‘ตำราขบถ’ นี้ได้อย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
นอกจากผู้ร้ายหลักหนึ่งคน และผู้ที่บอกว่าเป็นผู้ร่วมสมคบคิดอีกห้าคนแล้ว ก็สังหารคนไปทั้งสิ้นหนึ่งพันสองร้อยเจ็ดสิบแปดคน
ไม่ยกเว้นสักคน ทุกคนล้วนเป็นคนที่มีความแค้นหรือไม่ก็มีความเห็นขัดแย้งกับตี๋เหว่ยไท่อยู่เป็นประจำ
วันที่สี่ ตี๋เหว่ยไท่ทำพิธีเซ่นไหว้ต่อหน้าธารกำนัล
เขาสรรเสริญคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของเก้าตระกูลอย่างเอิกเกริกชัดเจน จากนั้นด่าทอคนผิดทุกคนที่เกี่ยวข้องกับคดีตำราขบถทั้งน้ำตานองหน้า สุดท้ายอธิษฐานต่อเทพเซียนให้แก่ทุกคนที่ตายไปด้วยตนเอง และผู้นำทุกคนทำพิธีเผาศพและฝังศพ
ส่วนบัณฑิตแซ่หวงผู้นั้นกลับไม่ได้โชคดีเพียงนั้น…
ตี๋เหว่ยไท่สร้างคุกน้ำแห่งหนึ่งไว้กลางสระเฟิ่งหวง และขังเขาไว้ในนั้น ทั้งยังไม่ให้อาหารกิน
ปล่อยให้แช่อยู่ในน้ำเนิ่นนาน ร่างกายพองบวมจนรูปร่างไม่เป็นคน
จากนั้นก็นำนกแก้วนับร้อยตัวที่ไม่ได้กินข้าวกินน้ำมาหลายวันซึ่งเตรียมเอาไว้ก่อนหน้าใส่เข้าไปในคุกน้ำนี้
ท่ามกลางสายตาของธารกำนัล นกแก้วฝูงนี้ก็กรูเข้าไปภายในกรงและยื้อแย่งกันจิกกินทั้งเลือดทั้งเนื้อของบัณฑิตแซ่หวง
แต่เพราะบัณฑิตก็หิวโหยเต็มทน หิวโหยไม่เลือกอาหารจึงจับนกแก้วยัดใส่ปาก
น้ำเลือดปนเปกับขนนกฟุ้งอยู่เต็มกรง
แม้บัณฑิตจะเป็นคน นับว่าได้เปรียบเรื่องเรี่ยวแรง
แต่เขากลับมีเพียงสองมือ และภายในคุกน้ำก็ไม่มีพื้นที่เหลือมากมายพอให้เขาหลบไปมาได้
………………………………………
[1] เต่า ใช้เป็นคำด่าคนว่าขี้ขลาด
[2] ตะพาบน้ำ เป็นคำด่าคนว่าขี้ขลาด
[3] จูงม้าจัดบันไดลงม้า หมายถึง คอยดูแลรับใช้ผู้สูงศักดิ์กว่า (ต้องคอยจูงม้ามาให้ และคอยดูแลดอนขึ้นลงม้า)