เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1335 ข้าแบกเจ้าเอง + บทที่ 1336 คนโง่
บทที่ 1335 ข้าแบกเจ้าเอง + บทที่ 1336 คนโง่
บทที่ 1335 ข้าแบกเจ้าเอง
เมื่อเห็นอิ่งอีเดินกลับไปโดยไม่หันมามอง เขารีบสาวเท้าเดินตามไป พลางตะโกนว่า “นี่ อิ่งอี ข้ากำลังพูดกับเจ้าอยู่นะ! เจ้าได้ยินไหม?”
ขณะเดียวกัน ภายในบ่อน หลังจากที่ชายร่างผอมสูงเล่าเหตุการณ์ที่เห็นให้ชายวัยกลางคน คนนั้นฟัง ชายวัยกลางอดตกใจไม่ได้ “โชคดีที่ไม่ได้วู่วามสั่งให้พวกเจ้าทำอะไร ไม่เช่นนั้นไม่อยากนึกถึงผลที่ตามมาเลย”
พอนึกถึงความเป็นไปได้นั้น เขาหวาดเสียวอย่างอดไม่ได้ ในฐานะผู้นำของบ่อน ทุกการตัดสินใจเกี่ยวพันถึงความอยู่รอดของบ่อน เขาเองก็คุ้นเคยกับการคิดรอบคอบก่อนทำ มองปัญหาในภาพรวม และก็เพราะเหตุนี้เอง บ่อนของเขาจึงมีตำแหน่งมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ในเมืองหลวง
วันนี้หากเห็นแก่ผลประโยชน์เล็กน้อยนั่นแล้วสั่งให้ลูกน้องเล่นงานสองคนนั้น ผลที่ตามมาไม่ต้องคิดก็รู้กัน
“นายท่าน ชายไว้หนวดนั่นจะใช่…” ชายตัวผอมสูงคาดเดา มองเขาแล้วถาม
“อืม แปดเก้าส่วนน่าจะเป็นเขา ไม่เช่นนั้น อิ่งอีกับฮุยหลางคงไม่ไปปรากฏตัวอยู่ที่นั่น” ชายวัยกลางคนพูด ก่อนพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ
ได้ยินมาถึงตรงนี้ ชายตัวผอมสูงเองก็แอบตกใจ รู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งเดินเฉียดความตายมา เกือบไปแล้วเชียว
เทียบกับความคึกคักมีสีสันในเมือง บนเขาชมตะวันกลับเงียบสงบและสวยงามเป็นพิเศษ เงาร่างสองร่างนั่งอยู่บนยอดเขาด้วยกัน มองดูอาทิตย์ยามเย็นค่อยๆ ลาลับขอบฟ้า เมฆตรงเส้นขอบฟ้าถูกย้อมเป็นสีแดงน่าหลงใหล
เมื่อดวงอาทิตย์ตกดิน ท้องฟ้าก็ค่อยๆ มืดลง คนทั้งสองนั่งรับลมอยู่บนยอดเขา เฟิ่งจิ่วนั่งพิงอยู่ในอ้อมแขนของเซวียนหยวนโม่เจ๋อ เซวียนหยวนโม่เจ๋อกอดเธอไว้ ปกป้องเธอจากอากาศหนาวเย็นยามราตรีมาเยือน
“บนภูเขาตกดึกแล้วค่อนข้างหนาว พวกเรากลับกันเถิด!” เขากระซิบข้างหูเธอ ดื่มด่ำช่วงเวลาอันแสนผ่อนคลายที่ทั้งสองได้อยู่ด้วยกันอย่างละโมบ
“เช่นนั้นท่านแบกข้ากลับนะ” เธอหยอกเย้า แหงนหน้ามองเขาพร้อมยิ้มระรื่น
“ได้” เขาโน้มตัวลงจูบกลีบปากชวนหลงใหลคู่นั้น จุมพิตเบาๆ จบแล้ว แต่ใจกลับยังไม่หายอยาก “พวกเรากลับไปต่อกันเถอะ” เขากะพริบตาพูดกับเธอ
ได้ยินประโยคนี้แล้ว เฟิ่งจิ่วหลุดขำ มองค้อนเขา “ท่านอย่าได้คิดเลย”
เขาได้ฟังก็ถอนหายใจแล้วลุกขึ้น กล่าวด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่ค่อยพอใจว่า “เช่นนั้นก็ได้! ข้าคิดตอนหลับฝันตอนกลางคืนเอาก็ได้” ขณะพูด กลับหยิบเสื้อคลุมกันลมออกมาผูกให้เธอ แล้วจึงค่อยหันหลังย่อตัวลง พยักพเยิดกล่าวว่า “ขึ้นมา ข้าแบกเจ้ากลับเอง ถ้าเจ้าง่วงหรือเหนื่อย ก็พิงหลังข้าหลับไปสักตื่น”
เห็นเช่นนั้น ดวงตาเฟิ่งจิ่วเป็นประกายเล็กน้อย เขย่งเท้ากระโดดขึ้นไปบนหลังเขา พอขึ้นมาข้างบนก็ใช้มือสองข้างโอบคอเขาไว้ สองเท้าหนีบเอว “เอาละ ไปกันเถิด!”
ไหล่กว้างแข็งแรงกำยำ แต่ให้ความรู้สึกแข็งแกร่งพึ่งพาได้ เธอคร่อมอยู่บนแผ่นหลังเขา รับรู้ได้ถึงไออุ่นจากร่างกายเขาแผ่มาถึงตัวเธอ ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน ช่างให้ความรู้สึกที่สบายและอบอุ่นยิ่งนัก
“กอดแน่นๆ”
เขาเอื้อมสองมือไปข้างหลังประคองสองขาของเธอไว้ พลางสาวเท้าเดินลงไปข้างล่างภูเขา ฝีเท้าของเขาไม่เร็วไม่ช้าเกินไป แล้วก็ไม่เร่งรีบขี่กระบี่บินกลับ แต่แบกเฟิ่งจิ่วเดินลงเขาทีละก้าวๆ พูดคุยกันสัพเพเหระ
“ถ้าหนาวก็กระชับเสื้อคลุมให้แน่นหน่อย อย่าให้ลมเข้าไปได้ เจ้าขดตัวนอนอยู่ในเสื้อคลุมสักตื่นก็ได้” เขากล่าวพลางเดินไปด้วยฝีเท้ามั่นคง
“อืม” เฟิ่งจิ่วรับคำ ร่างกายโยกไหวเบาๆ ไปตามย่างก้าวของเขา ทำให้เธออดที่จะหาวไม่ได้ ดวงตาเริ่มปรือแล้ว
………………………………….
บทที่ 1336 คนโง่
เฟิ่งจิ่วรู้สึกเพียงหนังตาหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ เธอซุกหน้าที่ซอกคอเขาแล้วหลับไปอย่างสะลึมสะลือ…
เซวียนหยวนโม่เจ๋อที่กำลังเดินทอดน่องสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่รดต้นคอตนเองอยู่ ก็อดชะงักฝีเท้าไม่ได้ หันไปมองแวบหนึ่ง พบว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้ว จึงไม่พูดอะไรอีก เพียงเดินทอดน่องต่อไปเรื่อยๆ
เขาเดินช้ามาก และก็มั่นคงมาก ราวกับกำลังแบกโลกทั้งใบไว้ เดินอย่างระมัดระวังเหมือนกลัวทำเธอตื่น
และเด็กสาวที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่บนหลังเขา ก็หลับอย่างสบายใจ มีเขาอยู่ข้างกาย เธอไม่เคยต้องกังวลเรื่องอื่น…
ฮุยหลางที่ยืนรออยู่นอกจวนเห็นท้องฟ้ามืดแล้วแต่ยังไม่เห็นทั้งสองคนกลับมา ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ตามหลักแล้ว แค่ไปดูอาทิตย์ตกเท่านั้น ตอนนี้น่าจะกลับมาถึงจวนตั้งนานแล้ว แต่นี่ท้องฟ้ามีดาวส่องแสงวิบวับ แสงจันทร์สาดส่อง กลับยังไม่เห็นคนทั้งสองกลับมาเลย
“ถ้าอย่างไรเราออกไปรอนอกเมืองดีหรือไม่?” ฮุยหลางมองอิ่งอีที่อยู่ด้านข้างพลางถาม
“พลังของนายท่านบวกกับของภูตหมอ ไม่ว่าจอมมารหรือเทพที่ไหนเจอก็ต้องคลานหนี” อิ่งอีถือกระบี่กอดอก ยืนพิงอยู่ข้างประตู
“มันก็ใช่” ฮุยหลางพยักหน้า ด้วยพลังของพวกนายท่านสองคน มั่นใจได้ว่าใครเจอก็ต้องหันหลังวิ่งหนี ก็มีแต่พวกไม่ดูตาม้าตาเรือที่จะท้าทายให้พวกเขาลงมือ
“กลับมาแล้ว” เสียงของอิ่งอีดังขึ้น
“ไหนๆ?” ฮุยหลางรีบหันไปดู ก็เห็นเงาร่างที่คุ้นเคยของนายท่านพวกเขาอยู่บนถนนใหญ่ กำลังแบกคนคนหนึ่งเดินกลับมาท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรี เห็นเช่นนั้นเขาก็รีบวิ่งเข้าไปหา
“นาย…” ตอนกำลังจะอ้าปาก ก็ถูกสายตาคู่หนึ่งห้ามปราม
เห็นอย่างนั้น เขาจึงมองภูตหมอแวบหนึ่ง นางกำลังนอนหลับสบายอยู่บนแผ่นหลังของนายท่าน ดังนั้นจึงลดเสียงเบาลงแล้วถามว่า “นายท่าน ให้ข้าพาภูตหมอเข้าไปดีไหมขอรับ?”
เขาเห็นโคลนหนาๆ ติดอยู่ใต้เท้าของนายท่าน ดูก็รู้ว่าเดินกลับมา นี่ถ้าหากเดินกลับมาจากเขาชมตะวันละก็ ระยะทางไม่ใช่สั้นๆ เลย! แบกคนคนหนึ่งกลับมาตลอดทางอย่างนี้ต้องเหนื่อยน่าดู
นึกไม่ถึงว่า ความหวังดีของเขากลับแลกมาได้เป็นสายตาเย็นชาจากนายท่าน “ไปสั่งให้คนเตรียมน้ำไว้อาบ” กล่าวแล้วก็เดินผ่านเขาไปข้างหน้า
ฮุยหลางเกาหัว หันไปมองอิ่งอี “ข้าพูดผิดอีกแล้วหรือ?”
อิ่งอีเหล่ตามองเขา หันตัวเดินเข้าไปในจวน ขณะเดียวกันก็กล่าวว่า “เรื่องของภูตหมอ เจ้าจะใส่ใจพร่ำเพรื่อไปเพื่ออะไร”
ฮุยหลางชะงักเล็กน้อย อ้าปากค้าง ผ่านไปครู่หนึ่งยังพูดไม่ออก เขาก็แค่หวังดี ใส่ใจพร่ำเพรื่อที่ไหนกัน?
ทันทีที่เข้าไปในจวน เฟิ่งจิ่วที่หลับอยู่บนหลังเซวียนหยวนโม่เจ๋อก็ตื่นขึ้นมา ระหว่างที่เธอลืมตาอย่างสะลึมสะลือ ก็เห็นว่ามาถึงจวนแล้ว จึงอดตกใจไม่ได้ “ถึงแล้วหรือ”
“ถึงบ้านแล้ว ข้าพาเจ้าเข้าไปนอนในห้องก็แล้วกัน” เซวียนหยวนโม่เจ๋อเอียงคอมองเธอแวบหนึ่ง กลีบปากเผยรอยยิ้มรักใคร่เอ็นดู
“ปล่อยข้าลงๆ” เธอดิ้นขยุกขยิกจะกระโดดลงมา ทว่าตอนเห็นโคลนหนาๆ ใต้พื้นรองเท้าของเขา ก็ต้องกะพริบตาปริบๆ เงยหน้ามองท้องฟ้าอีกที แล้วจึงถามว่า “ท่านไม่ได้ขี่กระบี่กลับมาหรือ?”
“ขี่กระบี่กลับมาลมแรงเกินไป” เขาตอบพลางนวดคลึงแขนที่เริ่มรู้สึกปวดล้า
“ท่านนี่ซื่อจริงๆ!” เธอถมึงตา แล้วกล่าวอย่างปวดใจ “เช่นนั้นท่านปลุกข้าก็ได้นี่นา! เดินกลับมาจากที่นั่น ต้องเหนื่อยขนาดไหนกัน” ขณะที่พูดก็ตบๆ หัวตัวเอง “ต้องโทษข้า ถ้าข้าไม่ขอให้ท่านแบกกลับมาก็ดีหรอก”
“คนโง่” เซวียนหยวนโม่เจ๋อกุมมือเธออย่างนึกขัน “หากข้าแบกเจ้าไม่ไหว จะกล้าขอเจ้าแต่งงานได้อย่างไร?”
“นี่มันคนละเรื่องกัน”
………………………………….