เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1339 คิดเลยเถิดไปไกลแล้วจริงๆ + บทที่ 1340 มาขอโทษ
- Home
- เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า
- ตอนที่ 1339 คิดเลยเถิดไปไกลแล้วจริงๆ + บทที่ 1340 มาขอโทษ
บทที่ 1339 คิดเลยเถิดไปไกลแล้วจริงๆ + บทที่ 1340 มาขอโทษ
บทที่ 1339 คิดเลยเถิดไปไกลแล้วจริงๆ
หนุ่มรูปงามช่างเจริญหูเจริญตาดังคาด! เธอกลืนน้ำลาย รู้สึกเพียงดวงตาทั้งสองข้างเป็นประกายวาววับ
“ข้าช่วยท่านเช็ดผมให้แห้งก่อนก็แล้วกัน!” ขณะกล่าว ก็หยิบผ้าผืนหนึ่งบนหัวเตียงมารวบเส้นผมที่ยังมีน้ำหยดไว้ด้านใน สองมือรวบรวมกลิ่นอายพลังวิญญาณพลางเช็ดไปด้วย ผ่านไปไม่นานก็เช็ดน้ำออกจนแห้ง
เส้นผมสีหมึกนุ่มลื่นอยู่กลางมือเธอ ดำขลับนุ่มสลวยดุจเส้นไหมชวนให้หลงใหล เธอเล่นผมเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยรวบผมสีหมึกของเขาไว้ด้านหนึ่ง
สองมือทาน้ำมันร้อยบุปผาแล้วถูๆ เล็กน้อย ขยับบริหารกล้ามเนื้อและกระดูก ก่อนจะหัวเราะคิกคัก “เช่นนั้นข้าจะเริ่มแล้วนะ” สิ้นเสียง มือของเธอแนบลงไปที่แผ่นหลังเขา เรี่ยวแรงเริ่มจากเบาเป็นหนักขึ้นเรื่อยๆ ค่อยๆ นวดคลึง
“อืม…”
เซวียนหยวนโม่เจ๋อครางออกมาเบาๆ ด้วยความผ่อนคลาย สัมผัสได้ถึงสองมือที่กำลังนวดอยู่บนไหล่เขา ไหล่ที่เดิมทีแข็งตึงพอควรผ่อนคลายลงมา รู้สึกสบายจนต้องหรี่ตาลง
“สบายใช่ไหม?”
เธอยิ้มตาหยี สองมือนวดคลึงจากไหล่ไปยังสองฝั่ง จากนั้นเอามือทั้งสองข้างของเขาที่เดิมทีกอดหมอนอยู่มาวางไว้ข้างตัว และนวดไล่จากไหล่ลงไปจนถึงข้อมือ
“อืม สบาย” เขาหรี่ตาตอบรับ ผ่อนคลายไปทั้งตัวโดยสมบูรณ์ ปล่อยให้เธอนวดต่อไป
“สบายก็ถูกแล้ว”
หลังจากนวดไหล่และมือของเขาแล้ว มือของเธอก็เลื่อนมาที่แผ่นหลังเขา นวดกดจุดลมปราณบนแผ่นหลังด้วยวิธีการที่พิเศษ
กระทั่งมือของเธอไล่ลงมาเรื่อยๆ ตามแนวจนถึงเอว เซวียนหยวนโม่เจ๋อที่กำลังผ่อนคลายสะดุ้งเบาๆ ทันที เขาลืมตาครึ่งหนึ่งแล้วหันมามอง
“เอวไม่ต้องนวดก็ได้กระมัง?” เขาถามขึ้น ตรงนี้มันจุดอ่อนไหวนะ! สำหรับผู้ชายแล้ว มือของผู้หญิงมาลูบคลำส่งเดชตรงนั้น เรียกว่าเป็นการจุดไฟเลยก็ว่าได้
“ได้อย่างไรกัน เอวนี่สิต้องนวด”
เธอหมุนตัวเตรียมตัวนวดต่อไป แต่คราวนี้ เมื่อมือของเธอทาน้ำมันร้อยบุปผาเล็กน้อยแล้วลูบไปที่เอวของเขา ก็เห็นขนบนร่างกายเขาลุกซู่ขึ้นมา
เธอเห็นแล้วอดหัวเราะไม่ได้ “นี่ท่านเป็นอะไร? ขนลุกเช่นนี้เลยหรือ?”
“จั๊กจี้นิดหน่อย” เขาพูดงึมงำ ใบหูที่กลับเป็นปกติเพราะความผ่อนคลายกลับมาแดงผ่าวอีกครั้ง
“จั๊กจี้หรือ? ไม่เป็นไร ข้าจะทำให้ท่านไม่จั๊กจี้เอง” เธอยิ้มตาหยี มุมปากเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
เห็นเพียงเธอดึงเสื้อคลุมขึ้นมาปิดไหล่เขา บดบังร่างกายเขาไว้ จะได้ไม่วอกแวกแอบมองส่งเดช เธอนั่งหันหลังบนเอวของเขา สองมือดึงขาทั้งสองข้างของเขาขึ้นมา
“โอ๊ย…”
จู่ๆ เสียงร้องตกใจก็ดังขึ้นมา อิ่งอีกับฮุยหลางที่เฝ้าอยู่ข้างนอกเกือบพุ่งตัวเข้ามาแล้ว แต่พอนึกได้ว่าสองคนข้างในไม่รู้ทำอะไรกันอยู่ พอมาถึงหน้าประตูจึงทำได้เพียงชะงักเท้า แล้วตะโกนเข้ามาข้างใน
“นายท่าน? ไม่เป็นไรใช่ไหมขอรับ?”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องตื่นตูมไป” เสียงของเฟิ่งจิ่วดังมา จากนั้นเธอก็ออกแรงดึงกระดูกเขาอีกครั้ง
“อืม…”
บรรยากาศชวนฝันทั้งหมดพังทลายในชั่วพริบตา ฉากที่เต็มไปด้วยบรรยากาศหวานชื่นคลุมเครือเมื่อครู่ ตอนนี้เห็นเพียงเซวียนหยวนโม่เจ๋อหน้าผากอาบเหงื่อและส่งเสียงร้องครางเพราะถูกดัดกระดูก
เจ็บ เจ็บเกินไปแล้ว!
ถูกดึงขาทั้งสองข้างมาด้านหลัง เหมือนเส้นเอ็นของขาทั้งสองข้างถูกยืดให้ยาวขึ้นอย่างไรอย่างนั้น ทำให้อดไม่ได้ที่จะเปล่งเสียงร้อง ยิ่งไปกว่านั้น เฟิ่งจิ่วยังลงมืออย่างกะทันหันถึงเพียงนั้น บรรยากาศที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันทำให้เขาอึ้งงัน ผ่านไปครู่ใหญ่ ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากข้างหลัง จึงค่อยรู้ว่าตัวเองคิดเลยเถิดไปไกลแล้ว…
………………………………….
บทที่ 1340 มาขอโทษ
กระทั่งผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม เขานอนคว่ำอยู่บนเตียง มองดูผู้หญิงที่พลิกตัวกระโดดลงจากเตียง เขาสูดหายใจลึกๆ แล้วกล่าวว่า “ครั้งหน้าถ้าเจ้าจะนวดให้ข้าก็บอกตรงๆ เถิด!”
เฟิ่งจิ่วยิ้มหัว “ข้าก็ไม่ได้พูดอะไรอย่างอื่น ท่านต่างหากที่คิดไปไกล”
เซวียนหยวนโม่เจ๋อหน้างอ เบนสายตาหนีไม่มองเธออีก ในใจกลับลอบพึมพำว่า ‘พูดจาสองแง่สองง่ามขนาดนั้น เขาจะไม่คิดไปไกลได้หรือ?’
“เอาละ นี่ก็ค่ำมากแล้ว ข้าต้องกลับไปพักผ่อนแล้ว” เธอยิ้มตาหยีเดินออกไปข้างนอก พลางกล่าวว่า “ถ้าไม่เห็นแก่ที่ท่านแบกข้ากลับมา ข้าไม่นวดให้ท่านหรอก เนื้อตัวแข็งกระด้างอย่างกับก้อนหิน นวดจนข้าปวดมือจะตายแล้ว”
ครั้นเปิดประตูก็เห็นฮุยหลางกับอิ่งอียืนอยู่นอกห้อง พอเห็นเธอออกมาก็รีบไหวกายถอยหลังไปหลายก้าว
เธอเหล่ตามองสองคนนั้น ถามว่า “พวกเจ้าสองคนเอาแต่พึมพำอะไรอยู่ตรงนี้?”
“ฮี่ๆ เปล่า พวกเราแค่สงสัยว่าพวกท่านทำอะไรกันอยู่ข้างใน?” ฮุยหลางยิ้มแหย แต่กลับอดถามไม่ได้
เฟิ่งจิ่วยกมุมปาก เผยให้เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ พูดเสียงเบาว่า “นายท่านของเจ้าอยู่ข้างใน เจ้าเข้าไปดูก็รู้เอง” บอกแล้วก็เดินผ่านคนทั้งสองตรงไปที่ห้อง
ฮุยหลางเห็นนางกลับไปที่ห้องตัวเองแล้ว ก็เหลือบมองเข้าไปในห้องของนายท่านแวบหนึ่ง ก้าวขาทำท่าจะเข้าไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่ถูกอิ่งอีดึงไว้ก่อน
“เจ้าคิดจะเข้าไปจริงๆ รึ?” อิ่งอีเหล่ตามองเขา “ภูตหมอกำลังหลอกเจ้าอยู่ต่างหาก! เจ้าว่าเจ้าพลาดท่าให้นางกี่หนแล้ว เหตุใดไม่รู้จักฉลาดขึ้นเสียบ้าง?”
“ดูท่าทั้งคู่คงไม่ได้ทำเรื่องอย่างนั้น ข้าก็เลยจะเข้าไปดูนายท่านหน่อยอย่างไรเล่า!” ฮุยหลางพูดเหมือนเป็นเรื่องสมเหตุสมผล ชะโงกหน้าเข้าไปข้างในพลางขานเรียก “นายท่าน? นาย…”
“ออกไป!”
เสียงตะคอกดังมา แฝงไว้ด้วยแรงกดดันทำให้ทั้งสองตกใจ รีบถอยกรูดออกมา
ฮุยหลางเกาหัว ถามด้วยความสงสัยเล็กน้อย “หรือว่านายท่านอดทนมานานเกินไป? เจ้าดูสิอารมณ์ก็เริ่มร้อนแล้ว ค่อนข้างเหมือนอะไรแล้วนะ?”
อิ่งอีเดินไปข้างนอก ไม่สนใจเขา อยู่กับฮุยหลางเขาต้องซวยไปด้วย อย่างไรก็ห่างๆ ไว้หน่อยจะดีกว่า
เซวียนหยวนโม่เจ๋อที่อยู่ในห้องเดิมนึกว่าตัวเองจะนอนไม่หลับ นึกไม่ถึงว่า หลังจากถูกเฟิ่งจิ่วนวดทั้งตัวก็รู้สึกสบายไปหมด โดยเฉพาะกระดูกและเอ็นบนร่างยิ่งผ่อนคลายลงมาก ความง่วงงุนโจมตีเข้ามา ไม่นานเขาก็หลับสนิทไป
เช้าตรู่วันต่อมา หยางหย่งยกอาหารเช้ามาที่เรือนหลักด้วยตนเอง วางไว้ในลานบ้าน แล้วยังสั่งให้ข้ารับใช้เพิ่มผักกับแกล้มอีกหลายอย่าง เขามองสองคนที่อยู่บนต้นไม้ใหญ่ในลานบ้าน
อิ่งอีสองมือกอดดาบไว้ตรงหน้าอกพลางหรี่ตาเหมือนกำลังหลับอยู่ ส่วนฮุยหลางนั่งพิงกิ่งไม้หลับเสียจนกรนเสียงดัง
เมื่อเห็นอย่างนั้น เขามองไปยังอิ่งอี “เมื่อคืนนายท่านนอนดึกมากหรือ?”
“ไม่ค่อยแน่ใจ” อิ่งอีส่ายหน้า กล่าวอีกว่า “ภูตหมอกลับห้องของนางไปตั้งแต่หัวค่ำ ส่วนนายท่านอยู่ข้างในก็ไม่ได้เรียกพวกข้าเข้าไป ก็เลยไม่รู้”
ได้ยินอย่างนั้น หยางหย่งเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย ตอนอ้าปากทำท่าจะพูดอะไร ก็เห็นประตูห้องเปิดออก เซวียนหยวนโม่เจ๋อที่สวมชุดคลุมสีดำก้าวเท้าออกมา
“มีเรื่องใดหรือ?” เขาหันไปถามหยางหย่ง แล้วเหลือบมองอาหารบนโต๊ะแวบหนึ่ง
“ข้าน้อยมาขอโทษขอรับ” หยางหย่งกล่าว แล้วคุกเข่าข้างหนึ่งลงไป “นายท่านได้โปรดลงโทษด้วย” หากไม่ใช่ว่าในจวนตามใจเจ้าสามมากไป เจ้าสามก็คงไม่ก่อเรื่องวุ่นวายพวกนี้ เมื่อนึกได้ว่าแม้แต่นายท่านกับภูตหมอเขายังคิดหาเรื่อง ก็อดตกใจจนเหงื่อท่วมตัวไม่ได้
…………………………………